
กลยุทธ์การวางตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning) นั้นมีอยู่หลักๆด้วยกัน 3 ประเภท นั่นก็คือ Functional Positioning ที่เน้นการวางตำแหน่งด้วยคุณลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการ Symbolic Positioning ที่เน้นการวางตำแหน่งด้วยการเปรียบเทียบกับสัญลักษณ์ที่สามารถเติมเต็มความปรารถนาและแสดงความเป็นตัวตนของลูกค้า และ Experiential Positioning ที่เน้นการเชื่อมโยงด้านอารมณ์ให้เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค โดยในแต่ละประเภทนั้นก็สามารถเลือกจุดที่ต้องการนำเสนอมาวางตำแหน่งได้อีกหลายแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ะละแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
ในบทความนี้จะยกตัวอย่างของกลยุทธ์การวางตำแหน่งแบรนด์ในแต่ละแบบ ที่เจอะเจอได้บ่อยๆในตลาดพร้อมกับข้อดีและข้อเสียให้เห็นกันครับ

คุณลักษณะและคุณสมบัติ (Features & Attributes)
การวางตำแหน่งลักษณะนี้เรามักจะเห็นอยู่บ่อยๆในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยการนำเอาคุณลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการ มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการวางตำแหน่งของแบรนด์ที่ดีกว่าคู่แข่งในตลาด ซึ่งเรามักจะเห็นได้จากอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเน้นด้านความปลอดภัยหรืออายุการใช้งาน แล้วการวางตำแหน่งลักษณะนี้มันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรกันบ้างเราลองมาดูกันครับ
- ข้อดี หากคุณสมบัตินั้นโดดเด่นและเป็นเจ้าแรกในตลาด จะช่วยให้แบรนด์นั้นสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากในระยะเวลาอันรวดเร็ว
- ข้อเสีย โอกาสการเกิดคู่แข่งที่สามารถพัฒนาสินค้าและบริการมาเทียบเท่าหรือดีกว่าก็มีเช่นกัน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่างทางการตลาดในอนาคต
ประโยชน์ (Benefits)
กลยุทธ์การวางตำแหน่งที่เหนือกว่าคุณลักษณะและคุณสมบัติของสินค้า ที่เราเรียกว่าการนำเสนอประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
- ข้อดี กลยุทธ์นี้จะช่วยให้สินค้าและบริการนั้นโดดเด่นและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า
- ข้อเสีย แม้ว่าประโยชน์จะดูส่งผลดีมากกว่าการวางตำแหน่งด้านคุณลักษณะกับคุณสมบัติ แต่สินค้าหรือบริการก็จะเป็นต้องแตกต่างซึ่งมีโอกาสที่คู่แข่งจะสามารถพัฒนาไล่หลังเรามาได้เช่นกัน
ปัญหาและทางแก้ไข (Problem Solution)
กลยุทธ์การวางตำแหน่งประเภทนี้ถือว่าสามารถสร้างให้เกิดความสำเร็จได้สูงสุดวิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้คำสัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆของลูกค้า เพื่อลดความยุ่งยากในชีวิต
- ข้อดี ส่วนใหญ่มักจะใช้และได้ผลกับอุตสาหกรรมการเงิน ไอที ประกันภัย การสื่อสาร ที่ส่งผลต่อความรู้สึกทางอารมณ์ของลูกค้าด้านความสะดวกรวดเร็วและความง่ายในการใช้งาน
- ข้อเสีย ศักยภาพของคู่แข่งที่มีทรัพยากรเพียงพอหรือมากกว่า อาจทำให้คู่แข่งสามารถขยายขอบข่ายของการบริการเพื่อตอบสนองต่อปัญหาของลูกค้าได้ดีกว่า

ท้าชนคู่แข่ง (Competition)
เป็นลักษณะของการเคลมว่าแบรนด์ของตนเองนั้นดีกว่า โดยวางตำแหน่งใกล้เคียงหรือเหมือนกับคู่แข่งซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ควรศึกษาการวางตำแหน่งของคู่แข่งก่อนแล้วหาทางปรับเปลี่ยน เพื่อหลีกเลี่ยงกระประกาศสงครามกันโดยตรง
- ข้อดี เหมาะสำหรับการวางตำแหน่งของแบรนด์ระดับองค์กรที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง มีภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงมีการบริหารจัดการที่ดี
- ข้อเสีย ไม่เหมาะกับการวางตำแหน่งสำหรับผลิตภัณฑ์ และอาจใช้งบประมาณในการแข่งขันสูงมากรวมถึงการตลาดหลายแบบเพื่อสู้กับคู่แข่ง
ความเป็นองค์กร (Corporate Identity)
บางแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและชื่อเสียงแล้วก็ใช้การวางตำแหน่ง โดยการใส่ชื่อแบรนด์เข้าไปในผลิตภัณฑ์ (Endorse) หรือการวางตำแหน่งในแบบ House-Brand จะเห็นได้จากแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น IBM, Sony, Nestle เป็นต้น
- ข้อดี ความแข็งแกร่งของแบรนด์จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ในเครือนั้นแข็งแกร่งตามไปด้วย และยังเป็นที่รู้จักในทุกๆตลาดได้อีก
- ข้อเสีย หากแบรนด์ประสบปัญหาวิกฤตใดๆขึ้นมา อาจส่งผลลบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้
โอกาสพิเศษ (Occasion)
กลยุทธ์การวางตำแหน่งที่อาศัยช่วงเวลาพิเศษมาเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ที่ไม่ได้ท้าชนกับแบรนด์ใหญ่ๆในตลาด เพียงแต่นำเสนอจังหวะและโอกาสใหม่ๆในการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า
- ข้อดี โอกาสการได้ส่วนแบ่งทางการตลาดที่ง่ายขึ้น โดยไม่ได้แข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ
- ข้อเสีย เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาในการนำเสนอสินค้าหรือบริการ ทำให้โอกาสในการนำเสนอนั้นมีเวลาสั้นลง
เจาะจงเป้าหมาย (Target User)
สำหรับแบรนด์ที่รู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเองเป็นอย่างดี และนำมากำหนดตำแหน่งของแบรนด์ เช่น กลุ่มคนที่ชอบออกกำลังกาย กลุ่มคนชอบเล่นกีฬาแบบ Extreme หรือกลุ่มคนที่ชอบการวิ่ง
- ข้อดี การรู้จักความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น เหมาะกลุ่มตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Niche)
- ข้อเสีย อาจเกิดโอกาสผิดพลาดทั้งงบประมาณและเวลา หากศึกษาข้อมูลความต้องการของลูกค้าที่ไม่ชัดเจนเพียงพอ

ความปรารถนา (Aspiration)
การวางตำแหน่งที่แสดงออกถึงแรงปรารถนาภายใน โดยอาจแสดงความเป็นตัวตน สถานะทางสังคม การประสบความสำเร็จในชีวิต ความภาคภูมิใจ หรือการเสริมสร้างกำลังใจ
- ข้อดี หากความผูกพันทางอารมณ์นั้นสามารถเชื่องโยงและครองใจลูกค้าได้ แบรนด์ก็จะประสบความสำเร็จอย่างงดงามและจะทรงพลังมากขึ้น
- ข้อเสีย ต้องแน่ใจก่อนว่ารู้จักและเข้าใจความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นการลงทุนอาจจะเสียเปล่าได้
กำหนดคุณค่า (Value)
การนำเอาคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับมาใช้ในการวางตำแหน่ง ที่รวมไปทั้งคุณค่าที่เกิดขึ้นจากคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่เชื่อมโยงกับราคาที่เหมาะสม และการตอบสนองคุณค่าทางอารมณ์
- ข้อดี การนำเสนอคุณค่าหากสามารถเข้าถึงลูกค้าได้แล้ว ราคาก็จะเป็นเรื่องรองลงมา
- ข้อเสีย คุณค่ามักจะมากับความคาดหวังทั้งคุณภาพและราคา หากไม่สามารถสร้างคุณค่าให้เหมาะสมกับราคาได้ก็ยากจะประสบความสำเร็จ
สร้างด้วยอารมณ์ (Emotion)
กลยุทธ์ที่นำการสร้างความผูกพันทางอารมณ์มาใช้ในการกำหนดตำแหน่ง มีผลให้เกิดยอดขายสินค้าหรือบริการที่อาจมีพลังมากกว่าการวางตำแหน่งแบบอื่นทั่วๆไป
- ข้อดี อารมณ์ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้มากกว่าเหตุผล หากสามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้แบรนด์ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง
- ข้อเสีย กลุ่มลูกค้าที่อ่อนไหวต่อราคาและใช้เหตุผลในการซื้อสินค้า อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ที่เหมาะสม
ใช้บุคลิกลักษณะนำ (Personality)
ในการสร้างแบรนด์มักจะใช้พื้นฐานจากการกำหนดบุคลิกลักษณะของแบรนด์ที่มีความสอดคล้องกับบุคลิกของลูกค้า ยิ่งหากแบรนด์นั้นแสดงออกให้เห็นว่าบุคลิกนั้นมีความเหมือนหรือคล้ายกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่ ก็จะกลายเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจลูกค้าได้ไม่ยาก เช่น ดูทันสมัย อบอุ่น เรียบง่าย ความเป็นผู้นำ เข้มแข็ง ซื้อสัตย์ น่าเชื่อถือ ประสบความสำเร็จ
- ข้อดี ส่วนใหญ่ลูกค้าจะตอบสนองกับกลยุทธ์ลักษณะนี้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลต่อส่วนแบ่งทางการตลาดและความภักดีต่อแบรนด์
- ข้อเสีย จำเป็นต้องศึกษาและระบุกลุ่มเป้าหมายให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นความเชื่อมโยงอาจไม่ตรงกันและทำให้สูญเสียลูกค้าและส่วนแบ่งทางการตลาดได้
Photos by freepik – www.freepik.com