Brand Naming Mistakes

การตั้งชื่อให้กับแบรนด์หรือธุรกิจของคุณถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะมันจะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและสะท้อนถึงหลายๆอย่างตั้งแต่ความเป็นมาเป็นไปของธุรกิจ ประเภทธุรกิจ ความเป็นตัวตนของธุรกิจ ลักษณะของธุรกิจ รวมไปถึงการรับรู้ของลูกค้า ไม่ว่าคุณจะนำไปตั้งชื่อให้กับแบรนด์ สินค้า บริการ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆก็ตาม ชื่อของแบรนด์มักจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าจดจำได้เป็นอันดับแรกๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ก็ตาม ซึ่งแน่นอนครับว่ามันเป็นเรื่องของกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องมองในเรื่องของตัวแบรนด์หรือธุรกิจเอง คู่แข่ง และลูกค้า เพื่อตั้งชื่อแบรนด์ให้โดดเด่นแตกต่างและสร้างความประทับใจให้ลูกค้าให้ได้

ในบทความนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของรูปแบบการตั้งชื่อแบรนด์ หรือกระบวนการตั้งชื่อแบรนด์ว่ามันมีอะไรบ้าง แต่จะเป็นอีกมุมหนึ่งของการตั้งชื่อแบรนด์ที่มักเกิดความผิดพลาดจนทำให้เกิดผลกระทบถึงตัวของธุรกิจครับ สำหรับผู้อ่านที่อยากรู้ว่าการตั้งชื่อแบรนด์นั้นมีรูปแบบการตั้งอย่างไรบ้างก็ลองเข้ามาอ่านบทความได้ที่นี่ครับ >> รูปแบบการตั้งชื่อแบรนด์ (Brand Naming) มีอะไรบ้าง Link

What's next?

ข้อผิดพลาด 8 ประการกับการตั้งชื่อแบรนด์

1. ระดมสมองแบบมากคนจนเกินไป

การระดมสมองเป็นเรื่องที่ถูกครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตั้งชื่อของแบรนด์ สิ่งที่ผมกำลังจะอธิบายให้เห็นนั่นก็คือในหลายๆครั้งจากที่ผมเคยได้ตั้งชื่อแบรนด์ทั้งตัวธุรกิจและสินค้า ทั้งการทำงานประจำและการเป็นที่ปรึกษา ปัญหาที่พบเจอมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือการนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาช่วยคิดมากจนเกินพอดีไป จนกลายเป็นหลุดกรอบในสิ่งที่ควรจะเป็นและส่งผลต่อความไม่เชื่อมโยงของธุรกิจได้ เช่น การเอาครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ ที่ไม่รู้จักธุรกิจเลยมาช่วยคิด ดังนั้นควรระดมสมองเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจที่เข้าใจธุรกิจ ตลาด คู่แข่ง และลูกค้า เพื่อให้การตั้งชื่อแบรนด์นั้นออกมาเหมาะสมที่สุดครับ

2. คิดแบบล้ำและยากจนเกินไป

เราจะเห็นธุรกิจประเภท Startup โดยเฉพาะสาย Tech เกิดขึ้นใหม่ในโลกของธุรกิจมากมาย และหลายๆแบรนด์นั้นก็มาพร้อมกับชื่อที่แปลกแหวกแนวหรือเป็นชื่อที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ (Invented Word) การใช้คำแปลกๆ (Tweaked Name) หรือแนว Abstract Name ซึ่งมันก็ดูล้ำสมัยตามแนวของธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือมันอาจจะดูพูดแล้วติดหูดูแปลก แต่บางครั้งมันไม่สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่ธุรกิจทำอยู่ อาจยากเกินไปที่จะอ่านและอาจต้องสร้างการรับรู้ที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน

3. ใช้คำที่ง่ายจนเกินไป

ล้ำเกินไปก็ไม่ดีและง่ายเกินไปก็ไม่ดีเช่นกันสำหรับการตั้งชื่อแบรนด์ เพราะคำง่ายๆนั้นมันอาจไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ได้ สิ่งที่ผมพูดถึงคือคำที่อธิบายธุรกิจแบบตรงๆตัวไปเลยโดยไม่ต้องตีความให้มากนัก เช่น บริษัท อินเทอร์เน็ตไร้สาย จำกัด บริษัท แม่บ้านรายวัน จำกัด แม้ว่าการตั้งชื่อในลักษณะนี้จะอธิบายลักษณะของธุรกิจได้ดีและสร้างความเข้าใจให้กับลูกค้าในทันที แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ยากต่อการจดจำ และอาจดูล้าสมัยไม่โดดเด่นไปบ้างเช่นกันครับ

4. ตั้งชื่อแบบ Emotional Feeling

แม้ว่าจะเป็นยุคของการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ที่เป็นการสื่อสารเชิงอารมณ์มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่การตั้งชื่อแบรนด์นั้นก็ไม่ได้จำเป็นต้องตั้งแบบเชิงอารมณ์ครับ เพราะการตั้งชื่อแบรนด์ควรเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน ตีความง่าย มีความหมาย และเป็นชื่อที่มีพลังเพียงพอที่จะขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ

5. ไม่เคยทดสอบชื่อแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย

อย่าลืมนะครับว่าชื่อแบรนด์ก็คือหนึ่งในการวางกลยุทธ์ ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีการวางแผนและทดสอบเพื่อดูว่า กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์หรือธุรกิจมีความรู้สึกกับชื่อแบรนด์นี้ในลักษณะใดบ้าง แม้ว่าการตั้งชื่อแบรนด์โดยหลักๆแล้วจะเป็นเรื่องภายใน แต่อย่าลืมนะครับว่าแบรนด์หรือธุรกิจอยู่ได้ด้วยลูกค้า และชื่อแบรนด์ที่สามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึกและการตีความหมายของลูกค้าได้ มันมักจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้อยู่เสมอ

6. ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์

อันนี้ถือว่าสำคัญมากครับเพราะการตั้งชื่อนั้นจะอยู่กับเราไปอีกนาน และมันเป็นเรื่องของต้นทุนในการออกแบบโลโก้ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ งานโฆษณาและการสื่อสารการตลาดต่างๆ ซึ่งหากคุณลงทุนทำทุกอย่างไปแล้วและเกิดชื่อที่คุณคิดนั้นเป็นชื่อที่ซ้ำกับแบรนด์อื่นๆที่ได้มีการจดลิขสิทธิ์เอาไว้แล้ว คุณอาจโดนฟ้องร้องทางกฎหมายและอาจทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจผิดว่าแบรนด์ของคุณเป็นแบรนด์ที่ลอกเลียนแบบคนอื่นก็ได้ครับ

7. ใช้ชื่อเดียวกับทุกบริบท

บริบทมีส่วนสำคัญกับการทำธุรกิจครับที่ไม่ใช่แค่เพียงการตั้งชื่อแบรนด์เท่านั้น ยิ่งหากคุณจำเป็นต้องทำการตลาดในประเทศต่างๆ ยิ่งจำเป็นต้องเข้าใจบริบทรอบด้านที่อาจส่งผลต่อการตั้งชื่อของแบรนด์ เช่น ความหมายของชื่อ ความเหมาะสมของชื่อกับเรื่องของวัฒนธรรม การตีความหมายของแต่ละภาษา เป็นต้น

8. รู้ว่าใช้ชื่อผิดแล้วแต่ไม่ยอมเปลี่ยน

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามเมื่อคุณรู้ตัวแล้วว่าชื่อแบรนด์ที่ตั้งขึ้นมานั้น มันไม่ใช่ชื่อแบรนด์ที่ดีและเหมาะสมเลยสักนิด อย่าพยายามฝืนใช้ชื่อนั้นต่อไปเพราะมันอาจจะทำให้อะไรหลายๆอย่างดูเลวร้ายลงก็ว่าได้ครับ เคยมีหลากหลายกรณีเกิดขึ้นกับการตั้งชื่อแบรนด์สินค้าที่ในบริบทของประเทศหนึ่งนั้นใช้ได้ แต่ในอีกประเทศหนึ่งนั้นดันเป็นชื่อที่มีความหมายเชิงลบแบบสุดขั้ว คุณก็จำเป็นต้องตัดใจเปลี่ยนชื่อใหม่แม้ว่าจะเสียงบประมาณหรือต้นทุนไปแค่ไหนแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงกับชื่อเสียงของแบรนด์รวมไปถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าไปมากกว่าเดิม

เห็นไหมครับว่าการตั้งชื่อแบรนด์นั้นเป็นเรื่องเชิงกลยุทธ์ ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการทำธุรกิจเลย หลักการตั้งชื่อแบรนด์ที่ไม่ควรนำมาใช้ที่ผมได้ยกตัวอย่างไป นั้นถือเป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณสามารถนำไปตั้งชื่อแบรนด์ของคุณให้เหมาะสมกับธุรกิจ และสิ่งที่คุณกำลังจะส่งมอบให้กับลูกค้านั่นเองครับ


Share to friends


Related Posts

รูปแบบการตั้งชื่อแบรนด์ (Brand Naming) มีอะไรบ้าง

ชื่อบริษัทรวมไปถึงสินค้าหรือบริการ นับเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดให้ลูกค้ามาติดต่อกับคุณ หรือเรียกได้ว่าความประทับใจในครั้งแรกก็ไม่ผิดนะครับ คำถามถัดมาก็คือคุณต้องการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในครั้งแรก เพื่อให้ลูกค้าของคุณรู้ว่าคุณน่าสนใจเพียงใด มีเรื่องราวอะไรจะจะเล่าหรือไม่


สร้าง Brand Identity ให้แข็งแกร่ง

อัตลักษณ์ของแบรนด์ นั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนจดจำเป็นอันดับแรกๆ เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาขององค์กร หรือแบรนด์นั้นๆเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่หน้าตาของโลโก้ การใช้โทนสี การเลือกใช้ตัวหนังสือ รวมไปถึง template ต่างๆ การออกแบบอัตลักษณ์ของแบรนด์นั้น ไม่ใช่อยู่ๆคิดจะออกแบบก็ออกแบบกันได้ง่ายๆนะครับ


วิธีสร้าง Brand Differentiation Strategy

หนึ่งในวิธีการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จก็คือการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม และกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ หรือที่เราเรียกว่า Brand Differentiation Strategy นั้น ก็เป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นเอาชนะคู่แข่งและเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้ ซึ่งมันก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์