
เมื่อคุณทำธุรกิจไปสักระยะหนึ่ง ก็อาจจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือปัดฝุ่นให้กับแบรนด์ เพื่อให้ดูมีความทันสมัยหรือตามบริบทต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป และทุกๆแบรนด์นั้นต่างก็มีวงจรเป็นของตัวเอง โดยบางแบรนด์ก็อาจต้องการแค่การปรับปรุงเพียงเล็กน้อย (Brand Refresh) บางแบรนด์อาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดครั้งใหญ่ (Brand Revamp) และบางแบรนด์ก็อาจจำเป็นต้องยกเครื่องใหม่ (Brand Revitalization) สู่การพลิกโฉมแบรนด์ (Rebrand) ซึ่งในแต่ละวิธีหากเรามองในเชิงกลยุทธ์นั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน โดยบางครั้งคุณอาจคิดว่าธุรกิจนั้น อาจถึงขั้นต้องิทั้งที่แท้จริงแล้วมันอาจเป็นแค่การปรับปรุงแบรนด์เพียงเล็กน้อย (Brand Refresh) ก็ได้
ในช่วงที่ผมสอนและให้คำปรึกษาเรื่อง Branding นั้น ผมก็เจอคำถามนี้อยู่บ่อยๆซึ่งผู้ประกอบการหลายคนอาจเข้าใจผิด และเสียงบประมาณโดยใช่เหตุไปกับการรีแบรนด์อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายกลับไม่ใช่อย่างที่ตั้งเป้าหมายที่แท้จริง ผมเลยอยากอธิบาย 4 กลยุทธ์ในการปรับโฉมให้กับแบรนด์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนคิดการใหญ่ เพราะเรื่องของแบรนด์ไม่ใช่อะไรที่ปุ้บปั้บแล้วจะเปลี่ยนได้แบบทันทีครับ

Brand Refresh การปรับปรุงเล็กน้อยเพื่อความทันสมัย
Brand Refresh คือ การเปลี่ยนแปลงแบรนด์แบบเบาๆ เพื่อทำให้แบรนด์ดูใหม่และทันสมัยขึ้น โดยที่ยังคงรักษาตัวตน (Brand Identity)
และจุดยืนหลักของแบรนด์ (Brand Positioning) ไว้เหมือนเดิม หัวใจสำคัญของการ Refresh อยู่ที่การปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอก หรือการปรับเปลี่ยนข้อความที่ใช้สื่อสารกับลูกค้า โดยกลยุทธ์นี้เหมาะกับแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ต้องการปัดฝุ่นให้ดูไม่ล้าสมัย ที่สามารนำมาใช้เมื่อ
- แบรนด์ของคุณดูเก่าและไม่ทันยุค เช่น โลโก้ ตัวอักษร หรือสีที่ใช้ ดูเก่าที่เหมือนมาจากยุค 90
- ต้องการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เป็นการปรับดีไซน์ การใช้สี หรือวิธีการสื่อสาร
- ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น มีเทรนด์ใหม่ๆเกิดขึ้นแต่แก่นของธุรกิจของคุณยังคงตอบโจทย์อยู่
Brand Refresh นั้นมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ
- การปรับโลโก้และสี เช่น อาจเป็นการทำให้เส้นสายโลโก้ดูเรียบง่ายขึ้น ใช้สีที่สดใสหรือทันสมัยขึ้นเล็กน้อย
- การปรับเปลี่ยนตัวอักษรและบรรจุภัณฑ์ ด้วยการเลือกใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายและดูร่วมสมัย รวมถึงปรับรูปแบบแพ็กเกจให้ดูน่าสนใจขึ้น
- การปรับปรุงข้อความ เช่น ทบทวนการใช้สโลแกนหรือคำโปรยใหม่ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม
ตัวอย่างของ Brand Refresh ของแบรนด์ที่เราเห็นได้ชัด คือ
- Coca-Cola ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมากตัวอย่างหนึ่ง โดยแบรนด์มักจะเปลี่ยนการออกแบบกระป๋อง และฉลากอยู่เสมอเพื่อให้ดูทันสมัย แต่ก็ยังคงใช้โลโก้ตัวอักษรสีแดงและโค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ทำให้ลูกค้าจดจำได้ทันที
- Starbucks เองก็มีการปรับโลโก้จากโลโก้ที่มีรายละเอียดเยอะๆ ให้เหลือเพียงรูปนางเงือกที่เรียบง่ายขึ้น ทำให้โลโก้ดูสะอาดตาและทันสมัย แต่ทุกคนก็ยังรู้ว่าเป็น Starbucks
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำ Brand Refresh คือ การรักษาฐานลูกค้าเดิม (Customer Retention) โดยการเปลี่ยนแปลงไม่มากทำให้ลูกค้าเก่าไม่สับสนและยังคงความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
อยู่ นอกจากนั้นยังเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น (Brand Image)
ทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือและทันสมัยมากขึ้น ในสายตาลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบัน และไม่ต้องลงทุนสูง (Less Invest) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่



Brand Refresh คือ การ “แต่งหน้า”
ให้แบรนด์ดูสดใสขึ้น โดยที่ตัวตนข้างในยังคงเป็นคนเดิม
ไม่ใช่การ “ทำศัลยกรรม” ครั้งใหญ่ ซึ่งเหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการคงความคลาสสิก
แต่ไม่ต้องการตกยุค

โดยสรุปแล้ว Brand Refresh คือ การ “แต่งหน้า” ให้แบรนด์ดูสดใสขึ้น โดยที่ตัวตนข้างในยังคงเป็นคนเดิม ไม่ใช่การ “ทำศัลยกรรม” ครั้งใหญ่ ซึ่งเหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการคงความคลาสสิกแต่ไม่ต้องการตกยุค

Brand Revamp การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงแก่นแท้เดิม
Brand Revamp คือ การอัปเดตแบรนด์ที่เห็นได้ชัดกว่า Brand Refresh ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ (Image) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Pagkaging) หรือสไตล์การสื่อสาร (Communication) แต่ยังคงรักษาแก่นแท้ของแบรนด์ (Brand Essence)
ไว้เหมือนเดิม โดยกลยุทธ์นี้เหมาะกับแบรนด์ที่เริ่มนื่งหรือรู้สึกว่า ไม่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันเท่าที่ควร ที่มีสาเหตุมาจาก
- แบรนด์เริ่มไม่เชื่อมโยงกับลูกค้า โดยลูกค้าไม่ตื่นเต้นกับแบรนด์ของคุณเหมือนเมื่อก่อน
- ลูกค้ามองว่าแบรนด์ล้าสมัย จนกลายเป็นแบรนด์ที่ดูไม่ทันสมัย และไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
- ต้องแข่งขันด้านภาพลักษณ์ โดยคุณต้องการปรับรูปลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย และน่าสนใจไม่แพ้แบรนด์อื่นในตลาด
Brand Revamp นั้นมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ
- ออกแบบโลโก้ใหม่ทั้งหมด ที่ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เป็นการออกแบบใหม่เพื่อให้ทันสมัยและดูแตกต่างจากเดิม
- ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์และสินค้า โดยเปลี่ยนรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ และวิธีการนำเสนอสินค้าให้ดึงดูดใจมากขึ้น
- ปรับปรุงน้ำเสียงและรูปแบบการสื่อสาร กับการเปลี่ยนโทนการเขียนหรือสไตล์การเล่าเรื่อง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น
ตัวอย่างของ Brand Revamp ของแบรนด์ที่เราเห็นได้ชัด คือ
- Old Spice (ในช่วงปี 2010) ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผู้ชายสุดคลาสสิก ได้มีการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่และใช้แคมเปญโฆษณาที่ตลกและกล้าหาญ ทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยที่ยังคงความเป็นแบรนด์สำหรับผู้ชายอยู่เหมือนเดิม
- Bumble ซึ่งเป็นแอปฯหาคู่ที่ปรับโลโก้ใหม่ให้ดูทันสมัยและเรียบง่ายขึ้น รวมถึงปรับสไตล์การสื่อสารที่เน้นการให้อำนาจแก่ผู้หญิง ทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ใช้กลุ่มใหม่ได้มากขึ้น

Image Source: https://www.brandsonify.com/case-studies/old-spices-2010-rebrand/
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำ Brand Revamp คือ สร้างความน่าสนใจและเป็นที่พูดถึง โดยการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจะช่วยดึงดูดความสนใจจากสื่อและลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า โดยการปรับปรุงภาพลักษณ์ทำให้แบรนด์น่าสนใจสำหรับลูกค้าใหม่ ขณะที่แก่นแท้ของแบรนด์ (Brand Essence)
ที่คงเดิม ก็ช่วยให้ลูกค้าปัจจุบันนั้นยังคงภักดีกับแบรนด์ (Brand Loyalty)
อยู่เหมือนเดิม อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทำให้แบรนด์ดูมีชีวิตชีวาและมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้ามากขึ้น

Brand Revamp คือ การ “แต่งตัวใหม่”
ให้กับแบรนด์ที่เริ่มดูเก่า โดยยังคงรักษานิสัยและบุคลิกเดิมเอาไว้
เป็นทางเลือกที่เหมาะเมื่อคุณต้องการสร้างความตื่นเต้น
และก้าวให้ทันคู่แข่งที่ทันสมัยในตลาด


Brand Revitalization กับการฟื้นคืนชีพแบรนด์
Brand Revitalization คือ กระบวนการฟื้นฟูแบรนด์ที่กำลังสูญเสียความน่าสนใจ ส่วนแบ่งตลาด หรือความสนใจจากผู้บริโภค โดยมักจะทำผ่านการปรับตำแหน่งทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ หรือการปรับปรุงสินค้าและบริการให้ทันสมัยขึ้น โดยที่ยังคงรักษาตัวตนหลักของแบรนด์ไว้ โดยกลยุทธ์นี้เหมาะกับแบรนด์ที่เคยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับ แต่ยอดขายและความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเริ่มลดลง ที่มีสาเหตุมาจาก
- แบรนด์ยังเป็นที่รู้จักแต่กำลังเสื่อมความนิยม โดยผู้คนยังจำแบรนด์ได้แต่ไม่คิดจะซื้ออีกต่อไป
- ตลาดที่เปลี่ยนไปมาก โดยพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ต่างๆเปลี่ยนไป ทำให้แบรนด์ไม่ตอบโจทย์อีกแล้ว
- ต้องการกอบกู้ส่วนแบ่งทางการตลาด โดยแบรนด์ของคุณถูกคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งไปอย่างต่อเนื่อง
Brand Revitalization นั้นมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ
- การปรับปรุงคุณภาพสินค้า ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ แต่เป็นการปรับปรุงตัวสินค้าให้ดีขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น
- การปรับปรุงการสื่อสาร ด้วยการทำคอนเทนต์และแคมเปญการตลาดใหม่ๆ ที่ทันสมัยมากขึ้นและเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีขึ้น
- การปรับตำแหน่งแบรนด์ใหม่ โดยวางตำแหน่งแบรนด์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
ตัวอย่างของ Brand Revitalization ของแบรนด์ที่เราเห็นได้ชัด คือ
- Domino’s Pizza (ในปี 2010) ที่ยอมรับว่าพิซซ่าของพวกเขาไม่อร่อย จึงปรับปรุงสูตรใหม่ทั้งหมด และพัฒนาระบบการส่งสินค้าให้ทันสมัย พร้อมกับใช้แคมเปญการตลาดที่โปร่งใส โดยการยอมรับคำติชมจากลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา
- Burberry (ช่วงต้นปี 2000) ได้กลายเป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายที่เคยดูเก่าและล้าสมัย ที่ได้ฟื้นฟูตัวเองให้เป็นแบรนด์หรูที่ทันสมัย ในขณะที่ยังคงรักษาประวัติศาสตร์และลายผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้

ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำ Brand Revitalization คือ แบรนด์กลับมามีบทบาทในตลาดอีกครั้ง จากการปรับกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์กลับมาเป็นที่พูดถึง และน่าสนใจในสายตาผู้บริโภค อีกทั้งยังสร้างการรับรู้และความภักดี เพราะเมื่อแบรนด์ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ความภักดีก็จะกลับมาได้อีกครั้ง และยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการ Rebrand แบบเต็มรูปแบบ โดยกลยุทธ์นี้ยังคงรักษาชื่อเสียงเดิมไว้ได้ จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและรอบคอบ

Brand Revitalization คือ การ “ฉีดพลัง”
ให้แบรนด์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการปรับปรุงทั้งสินค้าและกลยุทธ์ทาง
การตลาด เหมาะสำหรับแบรนด์ที่หลงทางแต่ยังมีศักยภาพ
ที่จะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง


Rebrand กับการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด
Rebrand คือ การเปลี่ยนแปลงแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่ตัวตน (Brand Identity)
จุดยืนของแบรนด์ (Brand Positioning)
ไปจนถึงคำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise)
ซึ่งอาจรวมถึงการเปลี่ยนชื่อ โลโก้ ภาพลักษณ์ และข้อความที่ใช้สื่อสารทั้งหมด โดยกลยุทธ์นี้เหมาะกับแบรนด์ที่ถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะภาพลักษณ์เดิมอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต ที่มีสาเหตุมาจาก
- แบรนด์ล้าสมัยหรือมีภาพลักษณ์เชิงลบ โดยแบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในแง่ไม่ดี หรือดูไม่น่าสนใจอย่างสิ้นเชิง
- กลยุทธ์ธุรกิจเปลี่ยนไป จากเปลี่ยนทิศทางหรือกลุ่มเป้าหมายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชื่อและภาพลักษณ์เดิมไม่สอดคล้องอีกต่อไป
- แบรนด์เดิมไม่แข็งแรงหรือสร้างความสับสน โดยชื่อเดิมอาจทำให้คนสับสนหรือไม่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจน
Rebrand นั้นมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ
- เปลี่ยนชื่อหรือโลโก้ใหม่ ด้วยการสร้างชื่อและโลโก้ใหม่หมดจดเพื่อสะท้อนตัวตนใหม่
- ปรับวิสัยทัศน์และจุดยืนใหม่ โดยกำหนดทิศทางและเป้าหมายของแบรนด์ใหม่ทั้งหมด
- ยกเครื่องการสื่อสาร กับการเปลี่ยนข้อความและเนื้อหาที่ใช้สื่อสารทุกช่องทาง เพื่อให้สอดคล้องกับแบรนด์ใหม่
ตัวอย่างของ Rebrand ของแบรนด์ที่เราเห็นได้ชัด คือ
- Dunkin’ Donuts ที่เปลี่ยนชื่อจาก “Dunkin’ Donuts” เป็น “Dunkin” และปรับปรุงภาพลักษณ์ให้ทันสมัย สะท้อนถึงการเป็นมากกว่าร้านโดนัท แต่เป็นร้านที่ขายกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆด้วย
- Facebook Inc. เปลี่ยนชื่อเป็น “Meta Platforms, Inc.” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Meta กับกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ที่จะมุ่งเน้นการสร้าง “Metaverse” หรือโลกเสมือนจริงในอนาคต ทำให้บริษัทมีจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง และมีการแยกชื่อแบรนด์ของแอปพลิเคชันอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp ออกจากชื่อบริษัทแม่ ทำให้แต่ละแอปฯยังคงมีตัวตนของตัวเอง

ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการ Rebrand คือ เกิดการ “สร้างการรับรู้ใหม่ในตลาด” โดยการ Rebrand ช่วยให้แบรนด์ถูกมองในมุมใหม่และน่าสนใจขึ้นทันที นอกจากนั้นยัง “ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่” ช่วยให้แบรนด์กลับมามีความเกี่ยวข้อง และดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ แต่ก็มี “ความเสี่ยงสูง” หากทำไม่รอบคอบ ก็อาจทำให้ลูกค้าเก่ารู้สึกแปลกและหันหลังให้กับแบรนด์

Rebrand คือ การ “เกิดใหม่” ของแบรนด์
เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่แบรนด์เดิมไม่มีทางไปต่อ หรือต้องการเปลี่ยนแปลง
ครั้งใหญ่ เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ตารางเปรียบเทียบวิธีการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแบรนด์
| กลยุทธ์ | ผลกระทบ | ความเสี่ยง | เหมาะสำหรับ |
|---|---|---|---|
| Refresh | ระดับน้อย | ต่ำมาก | แบรนด์ที่ต้องการคงความทันสมัยอยู่เสมอ โดยไม่ทำให้ลูกค้าสับสน |
| Revamp | ระดับกลาง | กลางๆ | แบรนด์ที่ต้องการปรับภาพลักษณ์ / การสื่อสารให้ ทันสมัยขึ้น โดยไม่เปลี่ยนแก่นแท้เดิม |
| Brand Revitalization | ระดับกลาง – มาก | กลางๆ | แบรนด์ที่เริ่มไม่ได้รับความสนใจ หรือส่วนแบ่งทางการ ตลาดลดลง และต้องการวางตำแหน่งแบรนด์ใหม่ |
| Rebrand | ระดับมาก | สูง | แบรนด์ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ การวาง ตำแหน่งใหม่ หรือการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์โดยสิ้นเชิง |
การเลือกกลยุทธ์แบรนด์ที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินอย่างรอบคอบ เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของแบรนด์ ตำแหน่งในตลาด และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ โดยจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการทำ Brand Audit เพื่อทำความเข้าใจมุมมองของลูกค้า มูลค่าของแบรนด์ (Brand Value) และความเกี่ยวข้องในตลาด (Relevance) จากนั้นให้ระบุช่องว่าง (Gap) โดยหากแบรนด์ของคุณแค่รู้สึกว่าล้าสมัยไปเล็กๆน้อยๆ การ Refresh ก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่หากอัตลักษณ์หรือการสื่อสารดูน่าเบื่อเกินไป Revamp ก็อาจจะเหมาะสมกว่า

แต่หากแบรนด์ของคุณเริ่มไม่ได้รับความสนใจ ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้าต่ำลง Brand Revitalization ก็อาจจะถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ใหม่ และเป็นการสร้างเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอีกครั้ง และสุดท้ายหากอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) การวางตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning) หรือคำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) ไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว การ Rebrand ก็อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกอย่างสมบูรณ์ที่จำเป็นต้องทำ
ตลอดกระบวนการเชิงกลยุทธ์ สิ่งสำคัญ ก็คือ การ “ประเมินความเสี่ยง” (Evaluation the Risks) เช่น การทำให้ลูกค้าเก่าไม่พอใจหรือการสูญเสียการจดจำ และต้องแน่ใจว่ากลยุทธ์ที่เลือกสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจที่กว้างขึ้นของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนการเติบโต การดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ หรือการกำหนดบทบาทของแบรนด์ในตลาดใหม่
ไม่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงของแบรนด์จะเหมือนกัน การ Refresh เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ส่วนการ Revamp นั้นต้องใช้ความกล้าหาญขึ้นมาอีกนิด การ Revitalization คือ การใช้กลยุทธ์การฟื้นฟู ส่วนการ Rebrand คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อพลิกโฉมแบรนด์ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสุขภาพของแบรนด์ในปัจจุบัน แนวโน้มตลาด กลุ่มเป้าหมาย และเป้าหมายทางธุรกิจ แบรนด์ใดก็ตามที่เข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ จะสามารถเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อรักษาความเกี่ยวข้อง ความน่าสนใจ และความรักจากลูกค้าไว้ได้ โดยไม่ต้องลงทุนอย่างสูญเปล่านั่นเอง
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
