AI_Generated_Image_of_A_Group_of_Diverse_Customers

ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ถือเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จทางการตลาด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจ (Trust) ความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Bonding) และความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับลูกค้า แบรนด์ต่างๆ เช่น Coca-Cola, Nike, Apple และ Toyota ก็ได้สร้างอาณาจักรบนรากฐานของแฟนๆที่ภักดี ซึ่งเลือกสนับสนุนพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องของคุณภาพเท่านั้น แต่เป็นเพราะสิ่งที่แบรนด์เหล่านี้เชื่อมโยงถึงชีวิตของผู้คน

แต่ในยุคปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยตัวเลือก และความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จนหลายๆคนอาจมองว่าไม่มีใคร ที่จะมาภักดีกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว จนอาจกลายเป็นยุคอวสานของคำว่า “Brand Loyalty” ผมอยากให้ผู้อ่านมาร่วมค้นหาคำตอบกันในบทความนี้ครับ ว่า “Brand Loyalty” ยังสำคัญและจำเป็นอยู่ในปัจจุบันมากน้อยขนาดไหน

หวนคืนสู่ยุคทองของคำว่า “Brand Loyalty”

ในอดีตความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) นั้นถือว่าทรงพลังเอามากๆ และบางครั้งก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ โดยในช่วงประมาณช่วงปี 1950 ถึง 1990 ซึ่งเป็นยุคก่อนที่โลกอินเทอร์เน็ตจะแพร่หลาย ผู้บริโภคนั้นมักจะ

  • ยึดมั่นกับแบรนด์เดียวไปตลอดชีวิต (Brand for Life)
    ผู้คนมีความผูกพันกับแบรนด์ที่ใช้มาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่ค่อยเปิดใจลองแบรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ยาสีฟัน หรือแชมพู
  • ส่งต่อความชอบจากรุ่นสู่รุ่น (Generational Preference)
    ความเคยชินและความเชื่อมั่นในแบรนด์ (Brand Trust) ถูกปลูกฝังและสืบทอดกันภายในครอบครัว (เช่น “ครอบครัวเราใช้แต่รถฟอร์ด” หรือ “แม่ของฉันใช้แต่ผงซักฟอกบรีสมาตลอด”)
  • มีตัวเลือกที่จำกัด (Limited Options)
    เมื่อมีตัวเลือกของผลิตภัณฑ์น้อย ผู้บริโภคจึงมีแนวโน้มที่จะเลือกแบรนด์เดิมซ้ำๆ และในอดีตมีแบรนด์น้อยกว่าในปัจจุบัน รวมถึงสินค้าก็มีความหลากหลายน้อยกว่า
  • เชื่อมั่นในแบรนด์ที่โฆษณาผ่านช่องทางหลัก (Trusted in Mainstream Channels)
    สื่อหลักเหล่านี้มีอิทธิพลสูง และการเห็นโฆษณาซ้ำๆ ก็ทำให้เกิดความคุ้นเคย (Familiarity) และความน่าเชื่อถือ (Credibility) เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุ
  • เชื่อในคุณภาพที่สม่ำเสมอและเรื่องราวที่สื่ออารมณ์ (Consistent Quality and Emotional Storytelling)
    แบรนด์ที่สามารถรักษามาตรฐานของคุณภาพ และสร้างเรื่องราวที่โดนใจผู้บริโภคได้ จะได้รับความไว้วางใจและความรักจากลูกค้า ซึ่งสร้างความผูกพันอันลึกซึ้งได้อย่างยาวนาน
AI_Generated_Image_of_Mom_and_Daughter_in_Car_Showroom

ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษ 1990 ผู้คนต่อแถวเพื่อซื้อรองเท้า Nike Air รุ่นใหม่ล่าสุดที่ไม่ใช่แค่เพราะแฟชั่น แต่เป็นเพราะเรื่องราวของแบรนด์ที่สื่อถึงความเป็นเลิศ ประสิทธิภาพ และความเท่ ซึ่งถูกซึมซับเข้าไปในจิตใจของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ในยุคนั้น Nike ขายภาพลักษณ์ ความสำเร็จ และการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ทำให้ผู้คนรู้สึกผูกพันและอยากเป็นเจ้าของ

Coca-Cola สร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงด้วยการผสานรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ให้เข้ากับภาพลักษณ์แห่งความสุข ความสดชื่น และการเฉลิมฉลอง ผ่านแคมเปญโฆษณาที่เข้าถึงอารมณ์ สร้างความผูกพันกับความเป็นวัฒนธรรม และรู้สึกว่าแบรนด์นั้นผูกพันจนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว (Cult Brand) ทำให้ Coca-Cola ไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่ม แต่เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาสำคัญในชีวิตผู้คน

ในขณะที่ Harley-Davidson สร้างความภักดีในระดับที่เรียกว่า “ลัทธิ” ด้วยการนำเสนอสิ่งที่มากกว่ารถจักรยานยนต์ แต่เป็นวิถีชีวิตแห่งอิสรภาพ การผจญภัย และจิตวิญญาณของนักบิด เสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ ดีไซน์ที่ดูคลาสสิก และสร้างชุมชนของผู้ขับขี่ที่เหนียวแน่น ทำให้ผู้ขับขี่ Harley-Davidson รู้สึกภาคภูมิใจและผูกพันกับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง

ทั้ง 3 แบรนด์นี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างความภักดีในอดีต ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คุณภาพของสินค้า แต่ยังรวมถึงการสร้างเรื่องราว (Brand Story) คุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Values) และความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่พิเศษ (Sense of Belongings)

Coca_Cola_Christmas_Advertising

Image Source: https://medium.com/

ความเปลี่ยนแปลงของ “Brand Loyalty” ในยุคปัจจุบัน

บริบทในปัจจุบันเกี่ยวกับคำว่า Brand Loyalty ถือว่าแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เรามาสำรวจกันครับว่าเหตุใดความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) จึงดูเหมือนว่ากำลังอ่อนแอลง และดูไม่เหนียวแน่นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

1. การเปลี่ยนแปลงของ Generation ในด้านค่านิยม (Values) และพฤติกรรม (Behavior)

คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials กำลังกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์ใหม่ โดยคนรุ่นใหม่ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่จะพิจารณาว่าสินค้าหรือบริการนั้นคุ้มค่า ตรงกับความต้องการ และมอบประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ คนรุ่นใหม่มีความเฉลียวฉลาดในวิเคราะห์ เรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการตลาด โดยพวกเขาจะไม่เชื่อโฆษณาง่ายๆ แต่จะตรวจสอบข้อมูลและมองหาความจริงอยู่เสมอ การเลือกใช้สินค้าและบริการจากแบรนด์ เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการถูกจำกัดอยู่กับแบรนด์ๆเดียว แบรนด์ใดก็ตามที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Social) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ก็จะเป็นแบรนด์หลักที่พวกเขาสนับสนุน แต่หากแบรนด์ไม่แสดงจุดยืนในประเด็นเหล่านี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสนับสนุนแบรนด์อื่นๆ ที่มีค่านิยม (Values) เดียวกัน

ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นประเด็นสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับคนรุ่น Gen Z และ Millennial โดยจากผลสำรวจพบว่า 62% ของ Gen Z และ 59% ของ Millennial รู้สึกวิตกกังวลหรือไม่สบายใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงเดือนที่ผ่านมา

– ข้อมูลจากการศึกษาของ Deloitte’s ในปี 2024 –

Generation_Z

2. การแข่งขันที่สูงมากขึ้น (Hyper-Competition) และการมีตัวเลือกที่ไร้ขีดจำกัด (Infinite Choice)

หากเปรียบเทียบการแข่งขันในปัจจุบันก็เปรียบเสมือนกับพายุที่รุนแรง และมีตัวเลือกมากมายจนแทบไม่มีขีดจำกัด ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่มีคู่แข่งน้อยกว่า และผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้จำกัดกว่า การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูล อ่านรีวิว เปรียบเทียบสินค้า และทดลองอะไรใหม่ๆ จากหลากหลายแบรนด์ทั่วโลกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การตัดสินใจซื้อจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความภักดีต่อแบรนด์เดิมเพียงอย่างเดียว

แบรนด์น้องใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง (Direct-to-Customer) หรือ D2C ผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นในการนำเสนอสินค้า ที่มีความแตกต่างและตั้งราคาที่แข่งขันได้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อแบรนด์เก่าแก่ที่มีโครงสร้างต้นทุนที่สูงกว่า รวมถึงในอดีตผู้บริโภคมักรู้จักแบรนด์ (Brand Awareness) ผ่านการโฆษณาทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือคำแนะนำจากคนใกล้ชิด แต่ในปัจจุบันแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการแนะนำแบรนด์ใหม่ๆ ที่อาจตรงกับความสนใจของผู้บริโภค ทำให้ความภักดีต่อแบรนด์เดิมลดลง เพราะมีตัวเลือกใหม่ๆมาให้ค้นพบอยู่เสมอ

ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เคยยึดติดกับ L’Oreal อาจเปลี่ยนไปใช้ The Ordinary หรือ Drunk Elephant ได้ง่ายๆ ด้วยรีวิวบน TikTok ที่นำเสนอความโปร่งใสของส่วนผสม และใช้กระแสความนิยมตามเทรนด์ที่เกิดขึ้น

@perfumerism

my favourite products from drunk elephant!💖🐘 #drunkelephant #skincare #sephoraemployee #shoppersbeauty #protini #tlcframboos #fbalmwaterfacial #bouncybrightfacial – *this video is not affiliated with shoppers drug mart, all opinions are my own and do not reflect those of my employer

♬ original sound – IG: perfumerism
@theordinary

new serum pairings unlocked, ur welcome 🔓 #theordinary #skintok #antioxidants #fyp

♬ original sound – logan

3. Digital Transformation และการล่มสลายของ Gatekeepers

ในอดีตบริษัทมีอำนาจในการสร้าง (Create) และควบคุม (Control) ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ผ่านสื่อต่างๆ แต่ในยุคดิจิทัลอำนาจนั้นได้เปลี่ยนมือไปสู่ผู้ของบริโภค ที่สามารถแสดงความคิดเห็น (Opinion) วิจารณ์ (Criticize) และแบ่งปันประสบการณ์ (Share Experiences) เกี่ยวกับแบรนด์ได้อย่างอิสระ ทำให้เรื่องราวของแบรนด์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบริษัทเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Facebook, Reddit, TikTok รวมถึง X เป็นเหมือนเวทีสาธารณะ ที่ผู้บริโภคสามารถแชร์ประสบการณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบได้อย่างรวดเร็ว แบรนด์ที่ไม่ดีจริงหรือไม่ปรับตัวก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะที่แบรนด์ที่นำเสนอสิ่งใหม่ๆ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีก็จะได้รับการยอมรับ และในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เชิงลบเพียงครั้งเดียวที่กลายเป็นกระแสไวรัล ก็สามารถทำลายความเชื่อมั่น (Trust) และความภักดี (Loyalty) ที่แบรนด์สร้างมาเป็นเวลานานได้อย่างง่ายดาย

ลองคิดดูว่าแบรนด์อย่าง Shein, Balenciaga หรือแม้แต่ Samsung ก็เผชิญกับการต่อต้านอย่างฉับพลัน และการเปลี่ยนแปลงความภักดีอย่างรวดเร็ว ที่ไม่ใช่เพราะปัญหาด้านผลิตภัณฑ์ แต่เป็นเพราะการรับรู้เกี่ยวกับข้อโต้แย้งต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม

Balenciaga_Scandal

Image Source: https://www.nytimes.com/2022/11/28/style/balenciaga-campaign-controversy.html


4. การเติบโตของ Personalization ที่เหนือกว่าแค่ความคุ้นเคย (Familiarity)

ในอดีตผู้คนอาจจะเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคยและเป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภค มีความหลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น (Personalize) พวกเขาต้องการสินค้าและบริการ ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของตนเอง ความภักดีในยุคใหม่เกิดจากการที่แบรนด์ เข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และนำเสนอสิ่งที่ตรงใจพวกเขา

Spotify เป็นตัวอย่างที่ดีของการปรับให้เป็นส่วนตัว (Personalization) โดยแพลตฟอร์มจะวิเคราะห์พฤติกรรมการฟังเพลงของผู้ใช้แต่ละคน แล้วนำเสนอเพลงและเพลย์ลิสต์ที่พวกเขาอาจจะชอบ รวมถึงสรุปสถิติการฟังเพลงประจำปี ในรูปแบบของ Wrapped ซึ่งสร้างความรู้สึกพิเศษและผูกพันให้กับผู้ใช้ เพราะพวกเขารู้สึกว่า Spotify เข้าใจรสนิยมทางดนตรีของตนเอง

Spotify_Wrapped_2024

Image Source: https://newsroom.spotify.com/2024-12-04/wrapped-user-experience-2024/


5. ความเหนื่อยหน่ายจากโปรโมชั่น (Promotions) ส่วนลด (Discounts) และรางวัล (Rewards)

หลายแบรนด์ใช้กลยุทธ์การตลาดด้วยการเสนอส่วนลด โปรโมชั่น หรือคะแนนสะสม เพื่อดึงดูดและรักษาลูกค้า ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อความภักดีที่แท้จริงได้ หากความภักดีนั้นกลับกลายเป็นเรื่องของ “การแลกเปลี่ยน” มาแทนที่ “ความผูกพัน” เมื่อลูกค้าเลือกแบรนด์เพียงเพราะ การได้รับส่วนลดหรือคะแนนสะสม แต่พวกเขาไม่ได้มีความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Bonding) กับแบรนด์นั้นๆ เมื่อเกิดการตัดสินใจเชิงตรรกะเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เวลามีข้อเสนอที่ดีกว่าจากแบรนด์อื่นๆ พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปอยู่เสมอ

การเสนอส่วนลดอยู่บ่อยๆ อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีราคา “ที่แท้จริง” ที่ “ต่ำกว่า” ราคาเต็ม และทำให้พวกเขาไม่เต็มใจที่จะซื้อในราคาปกติ ส่วนโปรแกรมสะสมแต้มก็อาจดึงดูดลูกค้าได้ในระยะสั้น แต่ถ้าคู่แข่งมีข้อเสนอด้วยคะแนนที่น่าสนใจมากกว่า ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้แบรนด์คู่แข่งได้ง่ายๆ โดยไม่มีความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์เดิมเลย

ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น บริการเรียกรถหรือแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ อย่าง Grab, Line Man หรือ Shopee, Lazada ลูกค้ามักจะเปรียบเทียบโปรโมชั่นและส่วนลดเป็นหลัก และพร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการรายอื่นทันที หากมีข้อเสนอที่น่าสนใจกว่า โดยไม่ได้มีความภักดีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเป็นพิเศษ

Grab_Line_Man_Shopee_Lazada_Logo

6. ภาวะหมดไฟจากการได้รับสารจากแบรนด์มากเกินไป

ผู้บริโภคถูกรายล้อมไปด้วยสารจากแบรนด์มากมายในทุกช่องทาง จนอาจก่อให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและต่อต้าน การที่แบรนด์พยายามเข้าถึงผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลาผ่านช่องทางต่างๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ และอยากหลีกเลี่ยงมากกว่าที่จะสร้างความผูกพัน โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ต่างก็กล่าวอ้างว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองดีที่สุด

เมื่อทุกสิ่ง “ดีที่สุด” ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอีกต่อไป เพราะเมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์สนใจเพียงแค่ ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจ หรือเงินในกระเป๋าของพวกเขา โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความต้องการ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง พวกเขาก็จะไม่รู้สึกภักดีต่อแบรนด์นั้นๆอีกเลย

ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) หายไปจริงๆ หรือแค่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ

แม้ว่าผู้บริโภคอาจจะไม่ยึดติดกับแบรนด์เดิมๆอย่างเหนียวแน่นเหมือนในอดีต แต่ความภักดีก็ยังไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปตามบริบท และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่า เรามาดูมิติของรูปแบบ Brand Loyalty ในปัจจุบันกันครับ

1. ความภักดีตามคุณค่า (Value-Based Loyalty)

ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ แบรนด์ที่มีค่านิยมที่สอดคล้องกับตนเอง หากแบรนด์แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นทางสังคม (Social) หรือสิ่งแวดล้อม (Environment) และมีการดำเนินงาน (Process) ที่สอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้น ก็จะสามารถสร้างความภักดีจากกลุ่มผู้บริโภค (Customer Loyalty) ที่มีความเชื่อเดียวกันได้ เช่น

  • TOMS
    แบรนด์รองเท้าที่ดำเนินธุรกิจตามโมเดล “One for One” (เมื่อลูกค้าซื้อรองเท้าหนึ่งคู่ TOMS จะบริจาครองเท้าอีกหนึ่งคู่ให้กับเด็กที่ขาดแคลน) ความภักดีของลูกค้า TOMS ส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกว่า การซื้อสินค้าของพวกเขามีส่วนช่วยในการทำสิ่งดีๆให้กับสังคม
toms-one-for-one

Image Source: https://hauteliving.com/2015/11/find-out-how-toms-is-saving-the-world-one-shoe-at-a-time/592060/

  • Ben & Jerry’s
    แบรนด์ไอศกรีมที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง พวกเขามักจะออกมาแสดงจุดยืนในประเด็นต่างๆ เช่น ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย ลูกค้าที่เห็นด้วยกับค่านิยมเหล่านี้ ก็มักจะภักดีต่อแบรนด์อยู่เสมอ
Ben_and_Jerrys_Ice-Cream

Image Source: https://www.benjerry.com/about-us

  • Lush
    แบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย ที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่ทดลองกับสัตว์ และให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลูกค้าที่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้จะรู้สึกดี ที่ได้สนับสนุนแบรนด์ที่มีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ
Lush-Cork-Packaging

Image Source: https://www.greenqueen.com.hk/


2. ความภักดีที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน (Community-Driven Loyalty)

แบรนด์ที่สามารถสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง จะสามารถสร้างความภักดีที่ลึกซึ้งได้ ด้วยการที่ผู้บริโภครู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคน (Sense of Community) ที่มีความสนใจเดียวกัน และมีโอกาสในการร่วมสร้างสรรค์ (Co-Creation) ผลิตภัณฑ์หรือประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ ก็จะนำไปสู่ความผูกพันที่แข็งแกร่งขึ้น ตัวอย่างเช่น LEGO Ideas ที่เปิดโอกาสให้แฟนๆ ออกแบบผลิตภัณฑ์ และ Harley-Davidson ที่มีกลุ่มผู้ขับขี่ที่เหนียวแน่น

Harley_Davidson_Advertising_Campaign_2

Image Source: https://mangobyte.digital/harley-davidson-marketing-strategies/


3. ความภักดีที่เน้นการใช้งานเป็นอันดับแรก (Function-First Loyalty)

สำหรับสินค้าหรือบริการที่เน้นการใช้งานจริง ความภักดีอาจไม่ได้มาจากความผูกพันทางอารมณ์ แต่มาจากความสะดวกในการใช้งาน ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ และความสามารถ ในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างดี ตัวอย่างเช่น Canva, Notion หรือ Google Docs ที่ผู้ใช้เกิดความภักดีเพราะใช้งานง่าย มีประสิทธิภาพ และช่วยให้พวกเขาทำงานได้สำเร็จ

Canva_Landing_Page

4. ความภักดีต่อประโยชน์ทางอารมณ์ (Emotional Utility Loyalty)

แบรนด์ที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น หรือสามารถพัฒนาตนเองได้ จะสามารถสร้างความภักดีในระดับที่ลึกซึ้งได้ ความภักดีในรูปแบบนี้ไม่ได้อิงแค่ฟังก์ชันการใช้งาน แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางอารมณ์และความรู้สึกที่ผู้ใช้ได้รับ ตัวอย่างเช่น แอปฯ Calm ที่ช่วยในการทำสมาธิ หรือ Duolingo ที่ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ภาษา

Duolingo_Dashboard

แบรนด์ในยุคใหม่จะสร้างความภักดีอย่างไร

แม้ว่าการสร้างความภักดีในยุคปัจจุบันจะมีความท้าทายมากขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้ โดยต้องมีแนวทางที่ชัดเจน กล้าที่จะแตกต่าง และรักษาความสม่ำเสมอในสิ่งที่ทำ โดยมีแนวทาง ดังนี้

1. ยืนหยัดเพื่อบางสิ่ง (Stand for Something)

แบรนด์ที่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นต่างๆ ที่มีความหมายต่อผู้บริโภค จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งได้ ตัวอย่างเช่น หนึ่งแคมเปญที่ดีที่สุดอย่าง “Real Beauty” ของ Dove ที่ส่งเสริมความงามในทุกรูปแบบ ทำให้แบรนด์ได้รับความชื่นชมและความภักดีจากผู้บริโภคจำนวนมาก

“ลูกค้าจดจำสิ่งที่คุณเชื่อมั่น ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณขาย”

Video Source: https://youtu.be/rymT28Z6KQY


2. สร้างชุมชน (Create Community)

การสร้างชุมชนรอบตัวแบรนด์ จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและมีความผูกพันมากขึ้น การเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แบ่งปันประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งการมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะช่วยเสริมสร้างความภักดีให้กับแบรนด์ได้ ตัวอย่างเช่น “Nike Run Club” ที่สร้างชุมชนนักวิ่ง หรือ “Adobe Behance” ที่เป็นพื้นที่ให้ครีเอทีฟได้แสดงผลงาน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

“เชิญลูกค้าเข้ามาในโลกของคุณ และให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างมันขึ้นมา”

Adobe_Behance

Image Source: https://blog.adobe.com/

3. เคารพและให้รางวัล (Respect and Reward)

แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่า (Values) ให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่พยายามขายสินค้าหรือบริการ การนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ การสื่อสารด้วยความเป็นมนุษย์และจริงใจ และการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนในทันที จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความผูกพันในระยะยาว

“มีประโยชน์ เป็นมนุษย์ จริงใจ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว”


4. ทำตามสัญญา (Deliver Promises)

การรักษาคำพูดและส่งมอบสิ่งที่สัญญาไว้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความไว้วางใจ ความสม่ำเสมอในการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าจะสร้างความเชื่อมั่น และความผูกพันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่ง

ความไว้วางใจ” ยังคงเป็นรากฐานของทุกความสัมพันธ์ และ “ความสม่ำเสมอ” จะสร้างความเชื่อมั่นทางอารมณ์


5. พร้อมที่จะพัฒนา (Ready to Evolve)

ด้วยโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แบรนด์จึงต้องพร้อมที่จะปรับตัวและพัฒนาอยู่เสมอ การทำความเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และการตอบสนองต่อความต้องการเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยรักษาความภักดีไว้ได้ ความภักดีในยุคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ต้องมีการสร้างและรักษาเอาไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง

เปิดใจเรียนรู้และติดตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ ความภักดีในวันนี้ต้องมีความยืดหยุ่น และไม่ใช่เรื่องตายตัวอีกต่อไป”


โดยสรุปแล้วความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ยังไม่ได้หายไป เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอีกต่อไป แบรนด์ต้องสร้าง ดูแล และรักษาความภักดีนั้นอย่างต่อเนื่อง และในยุคใหม่นี้ ความภักดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยในอดีต แต่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เรื่องของคุณค่า ผลกระทบ และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นสำหรับทุกๆแบรนด์นั่นเอง

Share to friends


Related Posts

The Power of Authenticity กับการสร้าง Brand Story ให้เชื่อมโยงอย่างแท้จริง

โลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยสื่อที่หลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคถูกถล่มด้วยข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ ทำให้การสร้างความโดดเด่นในฐานะแบรนด์อาจกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่าเดิม ในจังหวะที่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และนวัตกรรม (Innovation) และโดยเฉพาะกับการเข้ามาของ AI ที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จทางการตลาด แต่ก็มีองค์ประกอบที่ทรงพลังอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม


วิธีสร้าง Cult Brand ให้แข็งแกร่งอย่างยาวนาน

เคยสังเกตไหมครับว่าหลายๆครั้งเราจะเห็นการรวมตัวหรือการทำกิจกรรมบางอย่าง ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าไปมีส่วนร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ และโดยส่วนใหญ่เราจะเห็นกิจกรรมลักษณะนี้กับงานเปิดตัวสินค้าหรือบรรดาแฟนคลับที่ไปรอรับศิลปิน ที่หลายๆคนยอมเสียเวลาไปตั้งหน้าตั้งตารอกันแบบข้ามวันข้ามคืนก็มี สิ่งที่ผมกำลังจะบอกนั้นมันไม่ใช่เรื่องของแคมเปญการตลาดที่เป็นการทำ Collab Marketing


รู้จัก Brand Loyalty เพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจ

ความภักดีต่อแบรนด์ หรือ Brand Loyalty เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ และเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยผลจากการที่คุณภาพของสินค้าหรือบริการที่สามารถตอบสนองและช่วยส่งเสริมลูกค้าได้ ซึ่งความภักดีต่อแบรนด์ นับเป็นหนึ่งองค์ประกอบของการสร้างคุณค่าของแบรนด์



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์