เสริมแกร่งธุรกิจด้วยการสร้าง Brand Partnership

ในการทำธุรกิจหากคุณสามารถสร้างคู่ค้าหรือพันธมิตร ที่เป็นการสร้างความร่วมมือกับแบรนด์ในรูปแบบ Brand Partnership ได้อย่างเหมาะสม ย่อมจะส่งผลดีให้กับแบรนด์และธุรกิจของคุณในระยะยาว เพราะมันคือการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Collaboration) ที่ทั้งสองบริษัทนั้นได้ผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาจจะออกมาในรูปแบบของการผลิตสินค้าร่วมกัน การโปรโมทผ่านแคมเปญร่วมกัน จัดงานอีเว้นท์ร่วมกัน และอื่นๆอีกหลายหลายรูปแบบ โดยข้อดีของการสร้าง Brand Partnership นั้น จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการจดจำและยังสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกได้อีกด้วย เรามาดูกันครับว่า Brand Partnership นั้นมีกี่รูปแบบเพื่อที่คุณจะลองนำไปปรับใช้กับแผนธุรกิจในอนาคต

1. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Content Marketing

ทุกๆคนรู้อยู่แล้วครับว่าการทำ Content Marketing สามารถช่วยสร้างให้แบรนด์ของคุณกลายเป็นที่รู้จักในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงการที่สองธุรกิจให้ความร่วมมือและสนับสนุนกันและกัน ในการสร้างคอนเทนต์ร่วมกันและแชร์ต่อไปยังแพลตฟอร์มต่างๆไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ บล็อก หรือช่องทางดิจิทัลอื่นๆ

2. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Sponsorship Marketing

การทำ Brand Partnership ในรูปแบบนี้จะเป็นการที่แบรนด์หนึ่งสนับสนุนแบรนด์หนึ่งในการจัดอีเว้นท์หรือการทำแคมเปญ อาทิ กิจกรรมการวิ่ง Virtual Run การสัมมนา หรือแม้แต่การเปิดตัวสินค้า โดยเราจะเห็นการสนับสนุนทั้งเป็นผู้จัดร่วม หรือการสนับสนุนแบบตัวเงินอย่างเดียวและได้ชื่อรวมถึงโลโก้ของแบรนด์ในสื่อต่างๆ

3. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Affiliate Marketing

รูปแบบการทำ Affiliate Marketing คือ การที่แบรนด์สร้างคู่ค้าหรือผู้สนับสนุนกับใครก็ตามที่นำสินค้าของแบรนด์ไปโปรโมทผ่านช่องทางต่างๆ ในทางกลับกันการสร้างคู่ค้าในลักษณะนี้จะได้ส่วนแบ่งเป็นรายได้หรือค่าคอมมิชชั่น ตามแต่ที่จะตกลงกับแบรนด์ การทำ Partnership รูปแบบนี้กลายเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Charity

อีกหนึ่งรูปแบบของ Brand Partnership นั่นก็คือ ความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมการกุศล ด้วยการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมารับผิดชอบกิจกรรมต่างๆและมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลกิจกรรมการกุศล ผ่านทั้งเครือข่ายโซเชียลมีเดียและช่องทางอื่นๆเพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมบริจาคหรือทำกิจกรรมการกุศลร่วมกัน

5. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Co-Branding

การทำ Co-Branding ก็คือ การที่ 2 หรือมากกว่า 2 แบรนด์มาร่วมกันสร้างอะไรใหม่ๆร่วมกัน โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นลักษณะของการออกสินค้าใหม่ๆที่นำเอาจุดดีของแต่ละแบรนด์มาผสมผสานกัน ซึ่ง Partnership รูปแบบนี้เรามักจะเห็นกันค่อยข้างบ่อยมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง

6. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Distribution ร่วมกัน

รูปแบบการทำ Brand Partnership นี้หมายถึงการที่แบรนด์ 2 แบรนด์จัดตั้งทีมร่วมกัน เพื่อกระจายสินค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายร่วมกันได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสสร้างให้เกิด Brand Loyalty Link โดยอาจสร้างให้เกิดกับทั้ง 2 แบรนด์เลยก็ได้

7. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Licensing

การทำ Licensing คือ การที่แบรนด์หนึ่งอนุญาตให้อีกแบรนด์ใช้ชื่อหรือโลโก้บนตัวสินค้าหรือบริการ โดยที่เรามักจะเห็นรูปแบบนี้อยู่เป็นประจำก็เช่น แบรนด์อนุญาตให้นำโลโก้ไปติดอยู่บนเครื่องแต่งกายและรองเท้า รวมไปถึงอุปกรณ์กีฬาประเภทต่างๆ แลกเปลี่ยนด้วยค่าลิขสิทธิ์ในแบบต่างๆ (ตัวอย่างเช่น Nike, Adidas)

8. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Product Placement

รูปแบบการทำ Product Placement เราเห็นกันมาตั้งแต่การทำการตลาดสมัยแรกๆ และยังคงเห็นอยู่กันในปัจจุบันครับ โดยการที่แบรนด์ซื้อช่วงเวลาในการนำสินค้าไปวางในรายการเกมโชว์หรืออาจจะเป็นในบางฉากของหนังหรือภาพยนตร์ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งการวางสินค้าเพียงอย่างเดียวและอาจมีการทำคอนเทนต์เพื่อโปรโมทเชิงโฆษณาก็ได้เช่นกัน

9. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Referral

การ Refer หรือ การกล่าวถึง คือ หนึ่งในรูปแบบการทำ Brand Partnership ที่แบรนด์กระตุ้นหรือสนับสนุนให้ลูกค้านั้นกล่าวถึง เสนอแนะ แนะนำแบรนด์ให้กับคู่ค้าหรือแบรนด์อื่นๆ โดยแลกมาด้วยค่าคอมมิชชั่นหรือรางวัล Brand Partnership ในรูปแบบนี้สามารถที่จะช่วยขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้น

10. Brand Partnership ผ่านรูปแบบการทำ Joint Venture

ในรูปแบบของการทำ Joint Venture ระหว่าง 2 แบรนด์ก็เพื่อที่จะสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ที่นำเอาจุดแข็งของทั้งของแบรนด์มาใช้ โดยอาจดูคล้ายกับ Co-Branding ครับ แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดๆนั้นก็คือ Co-Branding จะค่อนข้างเป็นแบบระยะสั้นในเชิงของการตลาด แต่หากเป็น Joint Venture จะมีการทำสัญญาค่อนข้างเป็นระยะยาว และมีการใช้ทรัพยากรร่วมกันในเชิงกลยุทธ์มากกว่าซึ่งเป็นเชิงธุรกิจนั่นเองครับ

การสร้างแบรนด์และการทำการตลาดสมัยใหม่ เราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะการคิดในแบบเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnership) เพื่อให้แบรนด์นั้นสามารถขยายฐานลูกค้าและสร้างความแข็งแกร่ง จากพลังของ Partner ในรูปแบบต่างๆเพื่อให้แบรนด์ของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวนั่นเองครับ


Share to friends


Related Posts

รู้จักประเภทของ Co-Branding เพื่อเสริมแกร่งให้ธุรกิจ

การทำธุรกิจในทุกๆวันเริ่มมีความยากมากยิ่งขึ้น เพราะการเติบโตของเทคโนโลยีและคู่แข่งรวมถึงความต้องการของลูกค้าในหลากหลายกลุ่ม นักการตลาดก็จำเป็นต้องการกลยุทธ์เมื่อสร้างความแตกต่างและพยายามยึดส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างให้แบรนด์นั้นกลายเป็นที่รู้จักและอยู่ในตลาดได้อย่างยาวนาน นั่นก็คือการเชื่อมสายสัมพันธ์กับแบรนด์อื่นๆเพื่อสร้างให้เกิดความน่าสนใจที่สามารถเพิ่มทั้งฐานลูกค้าเดิมรวมไปถึงฐานลูกค้าใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า Co-Branding นั่นเองครับ


รวมวิธีการสร้าง Collaborative Marketing

ในบทความก่อนผมได้อธิบายสรุปและยกตัวอย่างเกี่ยวกับการทำ Collab Marketingหรือเรียกเต็มๆว่า Collaboration Marketing หรือ Collaborative Marketing ไปแล้วครับว่ามันคือการ Collab หรือการสร้างความร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ 2 แบรนด์ เพื่อสร้างให้เกิดพลังหรือแรงผลักดันทางการตลาดในการขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งมันส่งผลดีทั้งต่อตัวแบรนด์เองและได้ประโยชน์กับลูกค้า


ยุคแห่งการทำ Collab Marketing

Collaboration Marketing คือ กิจกรรมทางการตลาดอย่างหนึ่งที่เป็นการสร้างความร่วมมือในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยอาจเป็นไปได้ทั้งการสนับสนุนเงิน การสนับสนุนทรัพยากร หรือการร่วมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งของฝ่าย (Win-Win Situation)



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์