
5C นับเป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์กที่ได้รับความนิยมและเป็นประโยชน์ ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก มันเป็นส่วนขยายของการวิเคราะห์ 3C ที่ประกอบไปด้วย บริษัท (Company) ลูกค้า (Customer) และคู่แข่ง (Competitor) แต่เพิ่มเติมในส่วนของ ผู้ร่วมมือ (Collaborator) และสภาพแวดล้อม (Climate) ซึ่ง 5C นี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจรวมถึงการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เราสามารถระบุปัญหาและความท้าทายขององค์กร เรามาดูกันครับว่า 5C นั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
บริษัท (Company)
เป็นการวิเคราะห์ภาพรวมภายในองค์กร ตั้งแต่วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ ขีดความสามารถ สายผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และวัตถุประสงค์ มันช่วยให้เราเข้าใจและระบุปัญหาที่มีภายในองค์กร
ลูกค้า (Customers)
การเข้าใจลูกค้านั้นถือเป็นหลักสำคัญในการวิเคราะห์สถานการณ์โดยภาพรวมของธุรกิจ ที่รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรมการซื้อหรือใช้สินค้า ขนาดตลาด อัตราการเติบโตของตลาด รูปแบบการซื้อสินค้า ความถี่ในการซื้อสินค้า รวมถึงช่องทางในการซื้อสินค้า
คู่แข่ง (Competitors)
การวิเคราะห์คู่แข่งจะทำให้เราเห็นถึงสถานการณ์ในตลาดที่เราอยู่ ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ตำแหน่งของแบรนด์ ส่วนแบ่งทางการตลาด และแผนธุรกิจของคู่แข่ง
ผู้ที่เกี่ยวข้อง (Collaborators)
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก ที่ร่วมมือกับองค์กรในลักษณะการเป็นหุ้นส่วนที่มีประโยชน์ร่วมกัน เช่น Agency, Supplier, คู่ค้าทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเข้าใจศักยภาพของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านั้นด้วย เพื่อที่จะสามารถระบุถึงปัญหาต่างในการทำธุรกิจได้
สภาพแวดล้อม / บริบท (Climate / Context)
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้วยการประเมินปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อธุรกิจ เช่น PESTEL Analysis ที่จำเป็นต้องรู้ถึงสภาวะทางการเมือง สภาพเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย ทั้งหมดนั้นมีผลต่อการดำเนินธุรกิจที่เราควรใส่ใจ
อันที่จริง 5C Framework นั้นมีความคล้ายคล้ายคลึงกับการวิเคราะห์ SWOT ที่เราทำในขั้นตอนแรกก่อนการทำเริ่มธุรกิจ แต่มีมุมมองของการวิเคราะห์ที่ลึกกว่า ที่ลงรายละเอียดเข้าไปถึงการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อธุรกิจ ยิ่งเราสามารถหาข้อมูลได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ในการระบุปัญหา และความท้าทายของธุรกิจ เพื่อโอกาสในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรให้ดียิ่งขึ้น