ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ก็จำเป็นต้องมีการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจและการทำการตลาด ซึ่งหากไม่มีแผนการที่เหมาะสมก็อาจทำให้คุณเสียเงินและเวลาไปเปล่าๆ วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การเริ่มต้นธุรกิจของคุณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การที่คุณสามารถระบุปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) เพื่อความมั่นใจในการทำธุรกิจให้เติบโตและประสบผลสำเร็จ
อะไรคือ Key Success Factors
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ หรือ Key Success Factors คือหนึ่งในกลยุทธ์ของการวางแผนธุรกิจที่มีความสำคัญมากสำหรับการสร้างความสำเร็จและความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าของคุณ โดย Key Success Factors นั้นควรเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยความต้องการของตลาดและลูกค้าของคุณ มากกว่าสิ่งที่คุณกำหนดขึ้นมาเอง ซึ่งต้องมีการทำการสำรวจหรือวิจัยความต้องการของตลาดและลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการอะไรจากบริษัท และอะไรทำให้พวกเขายอมที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ
ธุรกิจมักจะตั้ง Key Success Factors ประมาณ 3-5 ข้อ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ซึ่งอาจจะครอบคลุมถึงจุดอ่อนขององค์กร ที่ต้องการจะเปลี่ยนเป็นจุดแข็ง
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า
5 Key Success Factors ในการทำธุรกิจ
1. กลยุทธ์
ไม่มีองค์ใดสามารถขับเคลื่อนได้หากไม่มีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่เหมาะสม ที่ครอบคุลมด้านความเป็นผู้นำ การบริหารจัดการ และการวางแผน โดยปัจจัยด้านกลยุทธ์นั้นก็ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 10 อย่างด้วยกัน คือ
- ธุรกิจควรตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Customer-Driven) ไม่ใช่ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของธุรกิจ โดยที่ไม่เข้าใจลูกค้าเลย
- คุณค่าหลัก (Core Value) หรือสิ่งที่สร้างให้เกิดความเชื่อมั่นของทีมงานในการทำธุรกิจ และส่งมอบให้กับลูกค้า ผ่านการสื่อสารที่เหมาะสม
- ความเป็นผู้นำ (Leaders) ที่ต้องสื่อสารคุณค่าผ่านกิจกรรมต่างๆที่ทำ ไม่ใช่แค่คำพูดแต่จำเป็นต้องลงมือทำ
- ทำในสิ่งที่ถนัด (Focus) คุณสามารถคิดใหญ่โตได้ แต่ควรเริ่มต้นจากสิ่งที่ธุรกิจถนัดที่สุดก่อน แล้วค่อยๆขยายธุรกิจในโอกาสที่เหมาะสม และควรทำอย่างยั่งยืน
- มีจุดมุ่งหมาย (Purpose) ที่สร้างแรงบันดาลใจทั้งวิสัยทัศน์ และพันธกิจที่สามารถจับต้องได้ เป็นจริงได้
- ยืดหยุ่นและสามารถทำได้จริง (Flexible and Achievable) ที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ SMART Goal คือ มีความเจาะจง วัดผลได้ สามารถทำได้จริง อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และมีระยะเวลาที่ชัดเจน
- ความชัดเจน (Clear) ทั้งกลยุทธ์ กลวิธี และหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละทีมงาน
- มีความคืบหน้า (Progress) แผนที่ทำออกมาแล้วต้องนำมาใช้จริง ซึ่งควรมีระบบและแนวทางในการปฏิบัติอย่างชัดเจน ไม่ใช่ทำออกมาแล้วนำไปขึ้นหิ้งทิ้งไว้เฉยๆ
- แผนสำหรับอนาคต (Future Plan) ทำการปรับเปลี่ยนแผนรวมถึงทำให้ข้อมูลทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อดูว่าอะไรที่มันล้าสมัยไปแล้ว อะไรที่มันไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
- ความสอดคล้อง (Alignment) ถือเป็นความสำคัญที่สุดในการทำกลยุทธ์ เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องต้องมีความสอดคล้อง ทั้งวิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย ทรัพยากร
2. พนักงาน
บริษัทดูแลและบริหารจัดการพนักงานอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ ด้วยมุมมองด้านการบริการงานบุคคล ตัวพนักงาน การเรียนรู้ และการพัฒนา
- การจ้างงานอยู่บนพื้นฐานของความสามารถผู้สมัครงานแล้วหรือยัง
- โครงสร้างองค์กรชัดเจนหรือไม่ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หรือไม่
- โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือความรู้มีมากน้อยเพียงไร
- พนักงานเข้าใจในกลยุทธ์ทั้งหมดขององค์กร และสิ่งที่บริษัทคาดหวังหรือไม่
- มีระบบการให้รางวัลตอบแทนเมื่อพนักงานทำผลงานออกมาได้ดีหรือไม่
- มีการสำรวจความคิดเห็นพนักงานเรื่องความพึงพอใจในการทำงานหรือไม่
- พนักงานได้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆที่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์หรือไม่
- พนักงานได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องหรือไม่
3. กระบวนการทำงาน
การบริหารจัดการกระบวนการทำงานภายในองค์กรเป็นอย่างไร ทั้งมิติของกระบวนการ และการทำงาน
- ทุกอย่างมันสอดคล้องกันและสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าหรือไม่
- มีเอกสารต่างๆ การควบคุม การวัดผล พร้อมสำหรับการทำงานหรือไม่
- มีการอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจในหน้าที่รับผิดชอบมากน้อยเพียงใด
- มีการสนับสนุนและสร้างความร่วมมือในการนำเอานวัตกรรมมาใช้ในองค์กรหรือไม่
- การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และระบบต่างๆในการทำงานมีมากน้อยเพียงใด
- มีแผนในการเปลี่ยนหรือแก้ไข หากเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการต่างๆหรือไม่
4. การตลาด
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กร ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ยอดขาย และการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
- มีการกำหนดตลาดเป้าหมายที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
- มีการตรวจสอบหรือสำรวจความต้องการของลูกค้า คุณค่า รวมไปถึงความพึงพอใจของลูกค้าแล้วหรือยัง
- มีการระบุตำแหน่งของแบรนด์ที่แตกต่างกว่าคู่แข่งแล้วหรือยัง
- เตรียมช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อดึงดูดลูกค้าที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
- วิธีการขายเชิงกลยุทธ์รวมไปถึงระบบติดตามลูกค้าเป็นอย่างไร
- มีการเตรียมการจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจมากน้อยแค่ไหน
- มีการบริหารจัดการความคิดเห็นจากลูกค้า และสื่อสารให้ทุกคนรู้อย่างไร
- มีการตรวจสอบคู่แข่งและแนวโน้มตลาดเพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้าหรือไม่
5. การเงิน
ปัจจัยสุดท้าย คือ ด้านการเงิน ทั้งสินทรัพย์ รวมไปถึงอุปกรณ์และทรัพยากรต่างๆ
- ราคาที่ตั้งเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ควรใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบใด ราคาเหมาะสมกับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับหรือไม่
- มีทีมในการจัดทำและวิเคราะห์เรื่องการทำ Cash flow รวมไปถึงวิเคราะห์ผลกำไรหรือไม่
- ผู้บริหารระดับสูงมีความเข้าใจและสามารถติดตามผลทางการเงินได้อย่างเหมาะสมเพียงใด
- การกำหนดราคามีความยืดหยุ่น หรือมีตัวเลือกให้ลูกค้ามากน้องเพียงใด
- ต้นทุนของสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงการกำหนดราคามันสร้างผลกำไรหรือไม่
- พนักงานทุกคนเข้าใจถึงผลกระทบของต้นทุน ยอดขาย กำไรกับการทำธุรกิจหรือไม่
- สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานเพื่อสร้างยอดขาย และกำไรมากเพียงพอหรือไม่
ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการทำธุรกิจ ซึ่งทุกปัจจัยจะมีความสอดคล้องกันที่ผู้บริหารและพนักงานต้องทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อร่วมผลักดันธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ
Photos by freepik – www.freepik.com