
การแข่งขันเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงในทุกอุตสาหกรรม แต่การหมกมุ่น (Obsession) อยู่กับคู่แข่ง (Competitors) ก็อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี แม้ว่าการจับตาดูสภาวะตลาดจะเป็นสิ่งสำคัญแค่ไหนก็ตาม แต่การให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นกำลังทำมากจนเกินไป ก็อาจทำให้ธุรกิจของคุณเดินหลงทาง และอาจพ่ายแพ้ในการแข่งขัน (Lost in the Race) จนดึงคุณออกจากจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์และความต้องการของลูกค้าของคุณ ผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือ ธุรกิจจะกลายเป็นเพียงการรอตอบสนองกลับแทนที่จะเป็นฝ่ายรุกนั่นเอง เรามาดูกันครับว่าทำไมการให้ความสำคัญกับคู่แข่งมากเกินไป ถึงทำให้ความพยายามในการทำธุรกิจของคุณล้มเหลว และคุณจะกลับไปสนใจในที่สำคัญอย่างแท้จริงได้อย่างไร

ทำไมการให้ความสำคัญกับคู่แข่งมากเกินไป จึงเป็นบ่อนทำลายธุรกิจของคุณ
แม้ว่าการวิเคราะห์คู่แข่งขันเป็นเรื่องที่ถูกต้องในการทำธุรกิจ แต่เชื่อไหมครับว่าในหลายๆครั้งเราก็จะแพ้ให้กับคำว่า “ใครๆก็ทำกันแล้ว” “ไม่รู้จะคิดอะไรให้ต่าง” จนกลายเป็นผลิตสินค้าหรือบริการให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งซะเลย ที่อาจมีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ “ไม่มีอะไรแตกต่างเลย” จนสุดท้ายก็พ่ายแพ้ในการแข่งขัน (Lost in the Race) ไป และเหตุผลที่เราทำตามคู่แข่งเพราะเขาประสบความสำเร็จ จนทำให้ธุรกิจของคุณไปต่อไม่ได้ มีดังนี้
1. การสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ (Loss of Originality)
การลอกเลียนแบบคู่แข่งอยู่เสมอจะขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ และขัดขวางไม่ให้ธุรกิจของคุณพัฒนาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และเมื่อคุณกลมกลืนไปกับตลาด คุณก็จะสูญเสียโอกาสในการสร้างความแตกต่างออกมา เพราะหลายๆครั้งเราจะพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนกับคู่แข่ง จนไม่สามารถสร้างแตกต่างและน่าสนใจได้ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะสร้างจุดยืนที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำและเลือกพวกเขามากกว่าคู่แข่งที่ดูเหมือนๆกัน
ตัวอย่างเช่น แทนที่คุณจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว บริษัทที่มุ่งแต่จะเลียนแบบคู่แข่ง อาจจะออกผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันทุกประการ สุดท้ายจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณไปอยู่ในหมวด Copycat ได้

2. การตัดสินใจแบบตั้งรับ (Reactive Decision-Making)
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่คู่แข่งทำจนเกินไป มักจะอยู่ในสภาวะของการตั้งรับอยู่เสมอ จนอาจยอมเสียสละกลยุทธ์ระยะยาวของตัวเองเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ในระยะสั้น แทนที่ธุรกิจจะวางแผนและดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ (Vision) และเป้าหมาย (Purpose) ของตนเอง แต่กลับถูกชี้นำโดยการกระทำของคู่แข่ง เช่น เมื่อคู่แข่งลดราคาสินค้า พวกเราก็ต้องลดราคาตาม หรือเมื่อคู่แข่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พวกเราก็ต้องรีบออกผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมกับกลยุทธ์หลักของตนเอง
ตัวอย่างเช่น บริษัทที่เตรียมแผนการตลาดสำหรับปีหน้าเอาไว้แล้ว แต่ต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมดเพราะคู่แข่งเปิดตัวแคมเปญใหญ่ที่คล้ายกัน ทำให้ต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการปรับเปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด

3. การละเลยความต้องการของลูกค้า (Neglecting Customer Needs)
การหมกมุ่นอยู่กับคู่แข่งมากจนเกินไป สามารถเบี่ยงเบนความสนใจให้ออกจากความต้องการ และความชอบของลูกค้าได้ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับคู่แข่งมากจนเกินไป จะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์สิ่งที่คู่แข่งทำ และพยายามแข่งขันกับพวกเขาในทุกๆด้าน ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะสำรวจความต้องการของลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัทกลับมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของคู่แข่งว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง และพยายามใส่คุณสมบัติเหล่านั้นลงในผลิตภัณฑ์ของตนเอง หรืออาจจะเพิ่มคุณสมบัติให้ดู Wow กว่า โดยไม่แน่ใจว่าลูกค้าต้องการหรือไม่

4. การสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่จำเป็น (Unnecessary Resource Drain)
การพยายามเทียบเคียงหรือทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในทุกด้าน อาจทำให้ทรัพยากรของคุณถูกใช้ไปอย่างไม่เหมาะสม ส่งผลให้ธุรกิจของคุณไม่สามารถทำสิ่งที่โดดเด่นที่สุดได้ เพราะหากจะแข่งขันกับคู่แข่งในทุกมิติ ก็อาจต้องใช้เงินทุน แรงงาน และเวลาจำนวนมาก เช่น การลงทุนในการโฆษณาที่เท่าเทียมกับคู่แข่ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือเหนือกว่าในทุกด้าน ซึ่งอาจทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่างที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น บริษัทขนาดเล็กที่พยายามแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น กับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณทางการตลาดมากกว่า อาจทำให้ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงเกินความจำเป็น และไม่สามารถลงทุนในด้านอื่นๆที่สำคัญได้ เช่น การพัฒนาคุณภาพสินค้าหรือการบริการลูกค้าให้ดี


ตัวอย่างแบรนด์ที่หลงทางเพราะให้ความสำคัญกับคู่แข่งมากเกินไป
ความหมกมุ่นของ Pepsi กับ Coca-Cola
ในอดีต Pepsi พยายามสร้างความแตกต่างจาก Coca-Cola มาโดยตลอด ผ่านแคมเปญการตลาดที่เปรียบเทียบ 2 แบรนด์โดยตรง (เห็นเฉพาะในต่างประเทศ) แม้ว่าความพยายามเหล่านี้จะสร้างกระแสได้บ้างในหลายครั้ง แต่บ่อยครั้งก็ทำให้ Pepsi ถูกวางตำแหน่งเป็นเพียง “ทางเลือก” แทนที่จะเป็น “ตัวเลือกที่ไม่เหมือนใคร” ในขณะเดียวกัน Coca-Cola กลับมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของแบรนด์และการเชื่อมโยงทางอารมณ์ ทำให้ยังคงครองตลาดได้อย่างโดดเด่น การพยายามตามหลัง Coca-Cola ในทุกๆด้าน ทำให้ Pepsi ไม่สามารถสร้างจุดยืนที่ชัดเจนและเป็นที่ต้องการของลูกค้าในระยะยาว เมื่อเทียบกับ Coca-Cola ได้

Image Source: https://theaddigest.com/pepsi-ad/
การตอบสนองของ Yahoo ต่อ Google
Yahoo เคยครองอินเทอร์เน็ตในยุคแรก แต่กลับตกหลุมพรางของการพยายามเอาชนะ Google ในเกมของ Google เอง แทนที่จะทุ่มเทให้กับจุดแข็งของตนเอง เช่น บริการด้านอีเมล์และพอร์ทัลสำหรับข่าวสาร Yahoo กลับเพิ่มความสนใจออกไปเกินขอบเขตและพยายามแข่งขันในด้านต่างๆ เช่น การทำเครื่องค้นหา (Searh Engine) โดยพยายามพัฒนาของตนเองให้ทัดเทียมกับ Google รวมถึงการโฆษณา (Advertising) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ การค่อยๆลดความนิยมลงไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ Google ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แทนที่ Yahoo จะมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งเดิม และสร้างนวัตกรรมในด้านอื่นๆที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ การแข่งขันครั้งนี้ทำให้ Yahoo สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายๆด้านให้กับ Google และกลายเป็นเพียงผู้เล่นรายเล็กในตลาดที่เคยครองความเป็นใหญ่

ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การให้ความสำคัญกับคู่แข่งมากเกินไป อาจทำให้แบรนด์สูญเสียทิศทางและเอกลักษณ์ของตนเองได้ ดังนั้น การมุ่งเน้นไปที่การสร้างความแตกต่าง บนพื้นฐานของจุดแข็งของตนเอง และความต้องการของลูกค้า ถือเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการพยายามเอาชนะคู่แข่งในทุกๆด้าน
ตัวอย่างแบรนด์ที่มุ่งไปตาม Vision ของตัวเอง
Tesla
ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมแข่งขันกันในด้านต่างๆ เช่น ราคา ระยะทาง เทคโนโลยี และประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน Tesla ได้สร้างตลาดเฉพาะกลุ่มของตนเองโดยมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนผ่าน ไปสู่พลังงานที่ยั่งยืนแทนที่จะไล่ตามกลยุทธ์ของคู่แข่ง Tesla ได้บุกเบิกนวัตกรรมในด้านรถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และโซลูชันด้านพลังงาน และสาเหตุที่ Tesla ประสบความสำเร็จก็มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
- การสร้างแบรนด์ที่เน้นความรู้สึกทางอารมณ์ (Emotional Branding)
Tesla ดึงดูดความปรารถนาของผู้บริโภคในด้านนวัตกรรม (Innovation) และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability) ทำให้ Tesla แตกต่างจากคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น - แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจ (Mission-Driven Approach)
การที่ Tesla มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนได้สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมของแบรนด์ - เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovative Technology)
Tesla ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีล้ำสมัย มากกว่าการเทียบเคียงคุณสมบัติที่มีอยู่ของคู่แข่ง

Image Source: https://kerinmarketing.com/2024/04/25/tesla-is-now-spending-on-advertising/
IKEA
IKEA ไม่ได้แข่งขันกับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายอื่นๆที่เน้นการออกแบบที่หรูหรา ราคาแพง หรือการบริการแบบครบวงจร แต่ IKEA มุ่งเน้นไปที่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้จริง ราคาเข้าถึงได้ง่าย และวิธีการจัดส่งแบบ Flat-Pack เพื่อลดต้นทุน และทำให้ลูกค้าสามารถขนย้ายและประกอบเองได้ด้วยตัวเอง IKEA สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์ ในร้านขนาดใหญ่ที่ลูกค้าสามารถเดินชมและสัมผัสสินค้าได้ IKEA ไม่ได้เน้นการขายเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูป แต่ส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการประกอบสินค้า จนกลายเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม

Image Source: https://www.purcell.eco/blogs/news/how-ikea-revolutionized-the-furniture-industry-and-what-grocery-retail-can-learn-from-it

วิธีหลีกเลี่ยงกับดักการโฟกัสคู่แข่งมากจนเกินไป
- มุ่งเน้นไปที่ข้อเสนอถึงคุณค่าที่ไม่เหมือนใคร (Unique Value Proposition – UVP)
ระบุสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างและให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นให้มากขึ้น โดยเน้นย้ำจุดแข็งของคุณแทนที่จะพยายามเลียนแบบผู้อื่น สำหรับข้อเสนอคุณค่าที่ไม่เหมือนใครหรือ (Unique Value Proposition – UVP) คือ สิ่งที่ทำให้ลูกค้าเลือกคุณมากกว่าคู่แข่ง โดยอาจเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสบการณ์ที่โดดเด่น และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแบบที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ การทำความเข้าใจและสื่อสาร UVP ของคุณอย่างชัดเจน จะช่วยให้คุณสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งในตลาดและดึงดูดลูกค้าที่เหมาะสม
- รับฟังลูกค้าของคุณ (Listen to Your Customers)
สร้างกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า (Customer Insight)แทนที่จะเป็นจากการกระทำของคู่แข่ง (ทุกอย่าง) โดยใช้แบบสำรวจความคิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลที่มี หรือทำ Social Listening เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของพวกเขา เพราะลูกค้า คือ หัวใจสำคัญของธุรกิจ และสิ่งสำคัญ ก็คือ การทำความเข้าใจความต้องการ ความคาดหวัง และปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ก็จะช่วยให้คุณสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ และแคมเปญการตลาดที่ตรงเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามตามคู่แข่ง
- ให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะยาว (Prioritize Long-Term Goals)
พัฒนาวิสัยทัศน์ (Vision) และกลยุทธ์ (Strategy) ที่สอดคล้องกับค่านิยม (Vore Values)และพันธกิจ (Mission) ของธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงการทำอะไรในระยะสั้นที่อาจทำให้แผนระยะยาวของคุณต้องสะดุด การมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีทิศทาง และไม่หลงไปกับการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นของตลาด หรือการกระทำของคู่แข่ง การยึดมั่นในค่านิยม (Vore Values)
และพันธกิจ (Mission) จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อใจ (Brand Trust)
รวมถึงความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว
- ติดตามคู่แข่งอย่างมีกลยุทธ์ (Monitor Competitors Strategically)
จับตาดูคู่แข่งเพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มตลาด แต่อย่าปล่อยให้การกระทำของคู่แข่งมากำหนดกลยุทธ์ของคุณ ใช้การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นแรงบันดาลใจไม่ใช่เอาเป็นคู่มือการดำเนินงาน การติดตามคู่แข่งอย่างมีกลยุทธ์ หมายถึง การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน กลยุทธ์ และแนวโน้มของพวกเขา เพื่อทำความเข้าใจตลาดและหาโอกาสในการสร้างความแตกต่าง การใช้ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่การลอกเลียนแบบหรือการตอบสนองต่อการกระทำของพวกเขาแบบทันทีทันใด
- สร้างสรรค์นวัตกรรมในแบบของคุณเอง (Innovate on Your Own Terms)
ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) เพื่อสร้างสรรค์ข้อเสนอที่ไม่เหมือนใคร มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่คู่แข่งยังไม่ได้แก้ไข การลงทุนในสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
แม้ว่าการทำความเข้าใจคู่แข่งจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากปล่อยให้พวกเขาเข้ามามีอิทธิพล ในการกำหนดการกระทำของคุณธุรกิจของคุณก็จะกลายเป็นอะไรที่ดูธรรมดาไป ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของตนเอง รับฟังลูกค้า และสร้างเส้นทางของตนเองอยู่เสมอ และจงจำไว้ว่าการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่วิ่งเร็วที่สุดหรือแข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับผู้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดนั่นเอง