
Spotify ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดย Daniel Ek และ Martin Lorentzon ในประเทศสวีเดน โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นทางออกที่ถูกกฎหมาย สำหรับการฟังเพลงออนไลน์เพื่อต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์ และในปี 2008 ก็ได้เปิดให้บริการในยุโรป และขยายไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 2011 แพลตฟอร์มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Freemium ที่ผสมผสานการฟังฟรีแบบมีโฆษณาและการสมัครสมาชิกแบบพรีเมียม และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบริการสตรีมมิ่งเพลงของโลก เรามาดู Case Study ตัวอย่าง Business Model Canvas (BMC) ของ Spotify กันครับ


1. กลุ่มลูกค้า (Customer Segments)
- ผู้ฟังรายบุคคลทั้งฟรีและพรีเมียม (Free & Premium Invidual Users)
กลุ่มผู้ใช้งานหลักที่ต้องการฟังเพลงและพอดแคสต์ ทั้งผู้ที่เลือกใช้งานฟรีและผู้ที่จ่ายเงินเพื่อรับสิทธิพิเศษ - นักเรียน / นักศึกษา (Students)
กลุ่มนักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับส่วนลดค่าบริการ เพื่อเป็นการดึงดูดผู้ใช้งานรุ่นใหม่ - ครอบครัว (Families)
กลุ่มครอบครัวที่สามารถใช้งานบัญชีพรีเมียมร่วมกันได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า - ธุรกิจ (Businesses)
กลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้เพลงลิขสิทธิ์ เพื่อเป็นเพลงในสถานประกอบการ - ศิลปินและผู้สร้างสรรค์ (Artists and creators)
กลุ่มศิลปิน นักดนตรี และผู้ผลิตพอดแคสต์ ที่ใช้แพลตฟอร์มในการเผยแพร่ผลงาน และเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก - ผู้โฆษณาและแบรนด์ (Advertisers and brands)
กลุ่มธุรกิจที่ต้องการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงผู้ฟัง
2. คุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า (Value Propositions)
- ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเพลงและ Podcast นับล้าน ด้วยความสะดวกสบายในทุกที่ทุกเวลา
- การนำเสนอเพลงและพอดแคสต์ ที่ตรงกับความชอบของผู้ใช้งานแต่ละคน
- ความสามารถในการดาวน์โหลดเพลงและพอดแคสต์ เพื่อฟังได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (สำหรับผู้ใช้งานระดับพรีเมียม
- การฟังแบบไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้ระดับพรีเมียม เพื่อเพิ่มประสบการณ์การฟังที่ต่อเนื่องโดยไม่มีสิ่งรบกวน
- มีเครื่องมือสำหรับศิลปินในการจัดการผลงาน ติดตามสถิติ และเชื่อมต่อกับแฟนๆ
- เพลย์ลิสต์ที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อแนะนำเพลงใหม่ๆที่ผู้ใช้อาจชื่นชอบ เช่น Discover Weekly & Daily Mix
- ความสามารถในการใช้งาน Spotify บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทได้อย่างราบรื่น
3. ช่องทาง (Channels)
- ช่องทางหลักในการเข้าถึงบริการสำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ผ่าน Mobile Application (iOS / Android)
- ช่องทางสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ (ระบบ Windows / Mac)
- ช่องทางสำหรับการฟังเพลงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน
- การเล่นและเข้าถึงบริการไปยังอุปกรณ์ต่างๆในบ้าน เช่น Smart TVs, Gaming Consoles, Smart Speakers
- การร่วมมือกับบริษัทอื่นๆเพื่อนำเสนอบริการ Spotify ผ่านช่องทางของพันธมิตร เช่น Telecom, Automotive
4. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships)
- การให้บริการฟรีเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานจำนวนมาก (Freemium) และกระตุ้นให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้บริการแบบเสียเงิน (Premium)
- คำแนะนำส่วนบุคคลและเพลย์ลิสต์ที่สร้างโดย AI เพื่อสร้างความผูกพันกับผู้ใช้งาน ผ่านการนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจ
- การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้งาน ผ่าน Customer Support Help Centers และ Chatbots
- การสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน และรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาบริการ ผ่านชุมชนออนไลน์และฟอรัมต่างๆ
- การมอบเครื่องมือให้ศิลปินสามารถสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์กับแฟนๆได้
5. แหล่งที่มาของรายได้ (Revenue Streams)
- ค่าสมาชิกแบบพรีเมียม (Premium Subscriptions)
รายได้หลักจากการเก็บค่าบริการรายเดือนหรือรายปี จากผู้ใช้งานที่ต้องการสิทธิพิเศษ - รายได้จากการโฆษณา (Advertising Revenue)
รายได้จากการแสดงโฆษณาคั่นระหว่างเพลง สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่เสียค่าบริการ - เพลย์ลิสต์ที่มีผู้สนับสนุน (Sponsored Playlists)
รายได้จากการร่วมมือกับแบรนด์ ในการสร้างเพลย์ลิสต์พิเศษ หรือการโปรโมทสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม - การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)
รายได้จากการนำข้อมูลผู้ใช้งานมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงบริการหรือนำเสนอข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด (ซึ่งอาจไม่ได้เป็นแหล่งรายได้โดยตรง แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้)
6. ทรัพยากรหลัก (Key Resources)
- อัลกอริธึมแนะนำเพลงที่เป็นกรรมสิทธิ์ (ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลัก) ที่ช่วยสร้างประสบการณ์การฟังเพลงที่เป็นส่วนตัว
- สิทธิ์ในการเข้าถึงและนำเสนอเพลงจากค่ายเพลงต่างๆ ด้วยการทำข้อตกลงใบอนุญาตกับค่ายเพลง
- เทคโนโลยีพร้อมระบบที่รองรับการให้บริการ สตรีมมิ่งเพลงและพอดแคสต์จำนวนมหาศาล
- การสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ เพื่อเพิ่มความนิยมของผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก
- การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล
7. กิจกรรมหลัก (Key Activities)
- การเจรจาและรักษาความสัมพันธ์กับค่ายเพลง เพื่อให้มีเพลงใหม่ๆมาให้บริการอย่างต่อเนื่อง
- การพัฒนาเทคโนโลยีแนะนำเพลงและสตรีมมิ่ง เพื่อปรับปรุงอัลกอริธึมและระบบสตรีมมิ่ง ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
- การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ ทั้งค่ายเพลงและศิลปิน
- การออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพื่อเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้งาน
- การโปรโมทบริการผ่านแคมเปญต่างๆ และสร้างความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆเพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน
8. พันธมิตรหลัก (Key Partners)
- ผู้จัดหา Music Content หลักให้กับแพลตฟอร์ม เช่น Universal, Sony, Warner
- แหล่งคอนเทนต์เพลงและพอดแคสต์อื่นๆ นอกเหนือจากค่ายเพลงใหญ่จากศิลปินอิสระและผู้รวบรวมเพลง
- พันธมิตรในการนำเสนอบริการ Spotify ร่วมกับแพ็กเกจโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต
- พันธมิตรในการติดตั้งแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ หรือการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ เช่น Google, Apple, Samsung
- ผู้ซื้อพื้นที่โฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ
9. โครงสร้างต้นทุน (Cost Structures)
- ค่า Licensing และ ค่า Royalty ถือเป็นค่าใช้จ่ายหลัก ในการจ่ายให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงและพอดแคสต์
- ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบเซิร์ฟเวอร์ เครือข่าย และการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Cloud, CND
- ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานใหม่
- ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในการดำเนินงาน
- ค่าใช้จ่ายในการให้บริการลูกค้า และดูแลความสัมพันธ์กับศิลปินและค่ายเพลง

สรุป Spotify Business Model Canvas (BMC)
Spotify ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Freemium โดยมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น ผู้ใช้ทั่วไป (แบบฟรีและแบบพรีเมียม) นักเรียน ครอบครัว ธุรกิจ ศิลปิน และครีเอเตอร์ โดยแพลตฟอร์มได้มอบ “คุณค่าหลัก” คือ การให้บริการฟังเพลงและพอดแคสต์นับล้าน ด้วยระบบการแนะนำแบบเฉพาะบุคคล ใช้งานได้หลายอุปกรณ์อย่างราบรื่น พร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น ฟังแบบออฟไลน์ และไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้พรีเมียม นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยเหลือศิลปินในการกระจายผลงาน วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างรายได้
Spotify เข้าถึงผู้ใช้ผ่านแอปฯมือถือ เดสก์ท็อป เว็บไซต์ และ Smart Device ต่างๆ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและโทรคมนาคม บริษัทสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านประสบการณ์ส่วนบุคคลจากอัลกอริทึม การบริการลูกค้า และช่องทางสื่อสารต่างๆ โดยมีรายได้หลักมาจากค่าบริการแบบพรีเมียม โฆษณาสำหรับผู้ใช้ฟรี รวมถึงเพลย์ลิสต์ที่ได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ
ทรัพยากรหลักที่ใช้ ได้แก่ ระบบแนะนำเพลงแบบอัจฉริยะ เทคโนโลยีการสตรีมมิ่ง ข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์กับค่ายเพลง และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง โดยมีกิจกรรมหลัก คือ การจัดการลิขสิทธิ์ การพัฒนาเทคโนโลยี การดูแลศิลปิน และการทำตลาด
Spotify มีพันธมิตรสำคัญทั้งค่ายเพลง ศิลปินอิสระ บริษัทด้านโทรคมนาคม บริษัทมือถือ และผู้ลงโฆษณา โดยต้นทุนหลักๆของบริษัท คือ ค่าลิขสิทธิ์ ค่าพัฒนาเทคโนโลยี การตลาด และบุคลากร และด้วยการปรับตัวพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ Spotify ยังคงเป็นผู้นำในตลาดสตรีมมิ่งเพลงระดับโลกนั่นเอง