7 เทคนิคการบริหารจัดการความประทับใจ (Impression Management) ให้เกิดขึ้นกับแบรนด์
หลักการของการ “ส่งเสริม / โปรโมทตนเอง” ในทฤษฎีการจัดการความประทับใจนั้น มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอจุดเด่น และความสามารถของแบรนด์อย่างตรงไปตรงมา โดยจำเป็นต้องมีหลักฐานสนับสนุน การกระทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ (Credible) และความไว้วางใจ (Trust) จากผู้บริโภค ซึ่งมันก็เปรียบเสมือนบุคคลที่แสดงให้เห็นถึงทักษะ (Skill) และประสบการณ์จริง (Real Experience) ในการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะเพียงแค่พูดคุยโวโอ้อวด
วิธีนำเสนอ Brand Identity แบบมืออาชีพด้วย Impression Management Theory
ทฤษฎีการจัดการความประทับใจ (Impression Management Theory) มีรากฐานมาจากงานของนักสังคมวิทยาชาวแคนาดา-อเมริกัน ที่ชื่อ เออร์วิง กอฟฟ์แมน (Erving Goffman) จากหนังสือ “The Presentation of Self in Everyday Life” ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 1959 ในหนังสือเล่มนี้ กอฟฟ์แมนนำเสนอแนวคิดเชิงทฤษฎี ที่เปรียบเทียบปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับการแสดงละคร โดยอธิบายว่า บุคคลต่างๆพยายามที่จะสร้างความประทับใจที่ต้องการ ให้กับผู้อื่นในระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แนวคิดเรื่อง “ฉากหน้า” (Frontstage) และ “ฉากหลัง” (Backstage)
อวสานของ Brand Loyalty? เมื่อความภักดีของลูกค้า ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ถือเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จทางการตลาด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจ ความผูกพันทางอารมณ์ และความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับลูกค้า แบรนด์ต่างๆ เช่น Coca-Cola, Nike, Apple และ Toyota ได้สร้างอาณาจักรบนรากฐานของแฟนๆที่ภักดี
Sustainable Branding กับวิธีสร้างภาพลักษณ์แบบ Eco-Friendly ให้กับแบรนด์ของคุณ
ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าธุรกิจต่างก็มุ่งไปในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) เนื่องจากแนวโน้มหลายๆอย่างจากทั้งสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้น หลายๆธุรกิจพยายามสร้างแบรนด์ของตัวเองให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์แห่งความยั่งยืน (Sustainable Brand) ซึ่งแน่นอนครับว่ามีทั้งความต้องการจะช่วยสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง และการทำเพื่อตามกระแสของความเปลี่ยนแปลง
เจาะลึกโลกของ Fashion Luxury สัญลักษณ์ของความ Prestige และ Exclusivity
แฟชั่นแห่งความหรูหรา (Fashion Luxury) นั้นเป็นมากกว่าเสื้อผ้าชั้นสูง เพราะมันคือสัญลักษณ์ของความเป็นเอกสิทธิ์ (Exclusivity) เกียรติยศ (Prestige) และงานฝีมืออันประณีต (Craftsmanship) คำว่า “แฟชั่นแห่งความหรูหรา” (Fashion Luxury) มีความแตกต่างจาก “แฟชั่นระดับหรู” (Luxury Fashion) ด้วยการเน้นย้ำถึงแนวทางเฉพาะตัว ในเรื่องความเป็นเอกสิทธิ์ (Exclusivity) และการสร้างแบรนด์ (Branding)
ความเสี่ยงของการ Overpromising เมื่อคำสัญญากลับกลายเป็นผลเสียต่อแบรนด์
ลองนึกภาพผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีไปกว่าคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังถูกหลอกลวง เกิดความผิดหวัง เหมือนถูกทรยศ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนนั้นคงต้องเคยพบเจอกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างน้อย 1 ครั้งแน่ๆ สิ่งนี้เราเรียกว่า “การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง” (Overpromising) ซึ่งอาจดูเหมือนทางลัดในการดึงดูดความสนใจในการทำ Content Marketing แต่ผลิตภัณฑ์เกิดส่งมอบที่ไม่ใช่อย่างที่สื่อสารเอาไว้ การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overprimising) จะกลายเป็นวิธีที่เร็วที่สุด
สร้างแบรนด์แบบ Human-Like Storytelling ที่ดึงดูดอารมณ์ผู้ชม
ในโลกที่เต็มไปด้วยโฆษณาโดยจะมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างแท้จริง และสิ่งที่ทำให้โฆษณาเหล่านี้ดูโดดเด่นก็คงเป็นการเล่าเรื่องราวแบบมนุษย์ (Human-Like Storytelling) ซึ่งเป็นหนึ่งเทคนิคที่เปลี่ยนการตลาดจากการเป็นเพียงแค่การส่งเสริมการขาย ไปสู่การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ดึงดูด เชื่อมโยงอารมณ์ และเปลี่ยนแปลงให้เกิดการกระทำ ในบทความนี้ผมจะอธิบายถึงลักษณะของ Human-Like Storytelling
The Power of Authenticity กับการสร้าง Brand Story ให้เชื่อมโยงอย่างแท้จริง
โลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยสื่อที่หลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคถูกถล่มด้วยข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ ทำให้การสร้างความโดดเด่นในฐานะแบรนด์อาจกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่าเดิม ในจังหวะที่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และนวัตกรรม (Innovation) และโดยเฉพาะกับการเข้ามาของ AI ที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จทางการตลาด แต่ก็มีองค์ประกอบที่ทรงพลังอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
100 อันดับแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นที่มีมูลค่ามากที่สุดประจำปี 2025 (Best Japan Brands 2025)
ที่ปรึกษาด้านแบรนด์ระดับโลกอย่าง Interbrand ในประเทศญี่ปุ่น (Interbrand Japan) ได้สรุปแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดประจำปี 2025 หรือ Best Japan Brands 2025 โดยใช้วิธี Brand Valuation™ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเพื่อแปลงมูลค่าแบรนด์ให้เป็นมูลค่าทางการเงิน และปีนี้ถือเป็นปีที่ 17 แล้วที่มีการประกาศอันดับ Best Japan Brands หรืออันดับแบรนด์ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ที่ใช้วิธีการประเมินแบบเดียวกับที่ใช้ใน Best Global Brands
ความเสี่ยงของการสร้างแบรนด์ที่ไม่มี Vision ในระยะยาว
แบรนด์ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว (Long-term Vision) ก็เหมือนเรือที่แล่นโดยไร้ซึ่งเข็มทิศ ล่องลอยไปตามโอกาสที่ผ่านเข้ามาโดยไม่มีจุดหมายชัดเจน และเมื่อขาดพื้นฐานที่มั่นคงแบรนด์ย่อมเสี่ยงต่อความไม่สม่ำเสมอ ทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และท้ายที่สุดก็อาจหมดความสำคัญในตลาดลงได้ แต่ในทางกลับกัน แบรนด์ที่มีวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ชัดเจนและแข็งแกร่งจะสามารถอยู่รอดผ่านการเปลี่ยนแปลงของตลาด
