เคล็ดลับการผสมผสาน Technology กับการตลาดให้ได้ความรู้สึกแบบมนุษย์

ในยุคที่เต็มไปด้วยอัลกอริทึม (Algorithm) ระบบอัตโนมัติ (Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) คำถามหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักการตลาดทุกคน คือ “เราจะรักษาความเป็นมนุษย์ในการตลาดได้อย่างไร” ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี (Technology) จะมอบความเร็ว ความแม่นยำ และการปรับให้เป็นส่วนตัวให้กับเราได้ แต่เทคโนโลยีก็สามารถลดทอนความอบอุ่น (Warmth) ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)


วิธีสร้าง Marketing Ideas ใหม่ๆด้วยการใช้กระบวนการ Design Thinking

ต้องยอมรับกันตรงๆครับว่า ใจของลูกค้านั้นเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าแคมเปญต่างๆ ทำให้การตลาดที่เคยได้ผลในเมื่อวานนี้ อาจไม่สามารถเข้าถึงใจลูกค้าได้ในวันนี้ก็ได้ นั่นคือ เหตุผลที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักการตลาดในยุคนี้จึงจำเป็นต้องการวิธีการที่เป็นระบบ เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ๆที่มี “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer-Centric) อย่างแท้จริง และในบทความนี้ผมจะขอผสมผสานการนำเอา Design Thinking


การตลาดแห่งอารมณ์กับ Vibe Marketing เมื่อแบรนด์สื่อสารด้วย Vibe มากกว่าแค่คำพูด

ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การตลาดมักจะให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่คุณพูด” (What you said) เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ประโยชน์ จุดขาย หรือคำขวัญ จากนั้นก็เข้าสู่ยุคของการเล่าเรื่อง (Storytelling) หรือการให้ความสำคัญกับ “วิธีการที่คุณพูด” (How you said) แต่ในปัจจุบัน เราได้เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว นั่นคือ ยุคแห่ง “Vibe” หรือยุคแห่งบรรยากาศและอารมณ์ ที่แบรนด์ต่างๆไม่ได้ถูกตัดสินเพียงแค่จากสิ่งที่พวกเขาอ้าง หรือให้คำมั่นสัญญาอีกต่อไป แต่ถูกตัดสินจาก “วิธีการที่พวกเขาทำให้ผู้คนรู้สึก”


สร้างคอนเทนต์แบบมีความหมายด้วย Content Honeycomb Model

การเขียนเนื้อหาหรือสร้างคอนเทนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เฉพาะเรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) หรือการเล่าเรื่อง (Storytelling) เท่านั้น แต่คือ การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ด้วยวิธีที่เป็นระเบียบ มีกลยุทธ์ และใช้งานได้จริง และนั่นก็คือ เหตุผลที่ “โมเดลรังผึ้งเนื้อหา” (Content Honeycomb Model) ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งกรอบแนวคิดที่สิ่งสำคัญ ที่สามารถใช้เพื่อพลิกเกมสำหรับผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator)


FAB Model กับการนำเสนอคอนเทนต์เพื่อขายสินค้า

เมื่อกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ยินเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ คำถามแรกที่พวกเขาถามจากจิตใต้สำนึก ก็คือ “แล้วไงต่อ” และถึงแม้ว่าคุณอาจจะบอกพวกเขาว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าหากคุณไม่เชื่อมโยงมัน ให้เข้ากับวิธีที่ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถช่วยพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้ คุณก็อาจจะเสียกลุ่มเป้าหมายนั้นๆไป ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม FAB Model จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการทำ Content Marketing


คิดคอนเทนต์บนเว็บไซต์แบบเชื่อมโยงด้วย Hub-and-Spoke Model

ในบทความนี้ผมขอเสนออีกหนึ่งวิธีคิด เพื่อจัดโครงสร้างและวางกลยุทธ์การทำ Content โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังออกแบบเนื้อหาในแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ ให้เติบโตเหมือนการวางแผนผังความคิด (Mind Map) ที่มีการเชื่อมโยง และง่ายต่อการค้นหา ที่ชื่อ Hub-and-Spoke Model


กลยุทธ์โฆษณาแบบ Surrogate Advertising เมื่อ “น้ำดื่ม” คือ สะพานไปสู่แอลกอฮอล์

ในแวดวงการตลาด ณ ปัจจุบัน การใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆไม่ใช่แค่สิ่งจำเป็น แต่ถือเป็นวิธีการอยู่รอดในการขยับขยายธุรกิจ และเมื่อคุณอยู่ในธุรกิจที่ต้องผลิตสินค้าที่ต้องมีเงื่อนไขกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ไม่ใช่ด้านการผลิตแต่เป็นเรื่องของการจำกัดการโฆษณาสินค้าบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ หรือการพนัน แบรนด์ต่างๆจึงหันมาใช้กลยุทธ์ทางเลือกที่เรียกว่า “โฆษณาแฝง” (Surrogate Advertising)


ปรากฏการณ์ Overpricing กับ FOMO เมื่อผู้คนเห็นกระแสสำคัญกว่าราคา

ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบันที่เกิดภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอน จนส่งผลกระทบเกือบทุกครัวเรือนไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ทำให้การซื้อขายสินค้านั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคิดให้รอบคอบมากกว่าเดิม แต่มันก็ยังมีสถานการณ์ที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินแพงกว่าราคาจริงถึง 2, 3, 4 หรือแม้กระทั่งอาจถึง 10 เท่าเพื่อซื้อสินค้าบางอย่าง ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ที่เราเรียกว่า “ปรากฏการณ์การตั้งราคาสูงเกินไป” (Overpricing Phenomenon) ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยแรงผลักดันทางจิตวิทยาของ “ความกลัวที่จะพลาดสิ่งดีๆ” หรือ Fear of Missing Out (FOMO)


สร้างคอนเทนต์เพื่อเปลี่ยนใจผู้ซื้อด้วย BAB Framework

คอนเทนต์ที่ดีเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง โดยสะพานนั้นไม่ใช่แค่พาไปให้ถึงจุดหมาย แต่ยังต้องทำให้การเดินทางนั้นมีความหมายและน่าจดจำด้วยนั่นเอง และอีกหนึ่ง Content Framework อย่าง BAB Framework ก็คือ แนวคิดการสร้างคอนเทนต์ที่ใช้หลักการนี้ได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์แบบ


จิตวิทยาและการตลาดกับ Loss Aversion เมื่อผู้บริโภคกลัวความสูญเสียมากกว่าได้

หลักการที่แสดงถึงความไม่ชอบการสูญเสีย (Loss Aversion) ถือ เป็นหนึ่งในแนวคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุด ในสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) โดยเน้นว่ามนุษย์ตอบสนองต่อการรับรู้ถึงการสูญเสีย ที่รุนแรงกว่าการได้รับผลประโยชน์ที่เทียบเท่ากันมาก โดยหลักการนี้ได้ท้าทายแนวคิดที่ว่ามนุษย์ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเสมอ แต่กลับเผยให้เห็นถึงอคติทางอารมณ์ของเราในการหลีกเลี่ยงการสูญเสีย


triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์