AI_Generated_Image_of_Influencer_Giving_Hate_Speech

เราอยู่ในยุคที่ดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สำหรับการสื่อสาร การเชื่อมต่อ การแสดงออก และการสร้างชุมชนรูปแบบออนไลน์ ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีอีกด้านของความเป็นความจริงที่เป็นมุมมืด ซึ่งนั่นก็คือ “ถ้อยคำ / คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง” (Hate Speech) ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล ชุมชนออนไลน์ต่างๆ และสามารถทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ รวมถึงสวัสดิภาพส่วนบุคคล

ในบทความนี้ผมจะพามาทำความเข้าใจ เกี่ยวกับ Hate Speech และเรียนรู้วิธีรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เราอยู่กับโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียได้ดีมากขึ้นครับ

Hate Speech คืออะไร

ถ้อยคำ / คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง (Hate Speech) หมายถึง การสื่อสารทุกรูปแบบ (ทั้งการพูด การเขียน ภาพ หรือสัญลักษณ์) ที่โจมตี ดูถูกเหยียดหยาม หรือปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความรุนแรงต่อบุคคลหรือกลุ่มคน โดยมีพื้นฐานจากคุณลักษณะต่างๆ เช่น

  • เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์
  • ศาสนาหรือความเชื่อ
  • เพศหรือรสนิยมทางเพศ
  • ความพิการหรือสถานะสุขภาพ
  • สัญชาติหรือถิ่นกำเนิด
  • อุดมการณ์ทางการเมือง

ลักษณะสำคัญของถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง ก็คือ “สิ่งที่อยู่เหนือกว่าความคิดเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์” โดยมีเจตนาที่จะทำร้าย ผลักไส หรือยั่วยุให้เกิดความเป็นปรปักษ์

รูปแบบของ Hate Speech บนโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย

1. การโจมตีด้วยถ้อยคำโดยตรง (Direct Verbal Attacks)

เป็นการใช้คำดูถูก คำสบประมาท หรือชื่อที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม เพื่อมุ่งเป้าไปที่บุคคลหรือกลุ่มคนโดยตรง เช่น การแสดงความคิดเห็นเชิงเหยียดผิว หรือเหยียดเพศในช่องคอมเมนต์

2. การปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง (Incitement of Violence)

เป็นการสร้างเนื้อหาที่ยุยงให้เกิดการทำร้าย หรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น เช่น โพสต์ที่เรียกร้องให้มีการทำร้ายร่างกายต่อชุมชนบางกลุ่ม

3. การให้ข้อมูลบิดเบือนและการเหมารวม (Disinformation & Stereotyping)

เป็นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือสร้างภาพเหมารวมที่เกินจริง เพื่อลดทอนคุณค่าของกลุ่มคน เช่น การกล่าวอ้างว่าศาสนาหรือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง เป็นพวกที่ชอบใช้ความรุนแรงโดยกำเนิด

4. การคุกคามและการกลั่นแกล้ง (Harassment & Bullying)

เป็นการพุ่งเป้าโจมตีบุคคลอย่างต่อเนื่อง ด้วยคอมเมนต์ที่ใช้คำหยาบคาย หรือการรุมโจมตีแบบเป็นกลุ่ม (Trolling) เช่น การโจมตีบุคคลสาธารณะทางออนไลน์อย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะผู้พิการ ผู้หญิง กลุ่ม LGBTQ+ หรือชนกลุ่มน้อย

5. มีมและภาพที่แสดงความเกลียดชัง (Memes & Visual Hate)

เป็นการใช้รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหวแบบไฟล์ GIF หรือมีมต่างๆ เพื่อล้อเลียน ดูถูก หรือเผยแพร่ข้อความ ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เช่น การใช้รูปภาพที่ตัดต่อเพื่อล้อเลียนรูปลักษณ์ หรือความพิการของผู้อื่น

AI_Generated_Image_of_Angry_Person

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าเป็น “Hate Speech” หรือไม่

ไม่ใช่ทุกความคิดเห็นเชิงลบจะจัดเป็น Hate Speech เสมอไปครับ แต่จำเป็นต้องประเมินว่าข้อความใดเข้าข่ายหรือไม่ โดยอยากให้ลองพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้

1. เป้าหมาย (Target)

คำพูดนั้นเป็นการมุ่งโจมตี “ตัวตน” (Identity) ของบุคคล เช่น เชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือไม่ หรือเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมหรือความคิดเห็นเท่านั้น หากคำพูดมุ่งโจมตีตัวตนอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเข้าข่ายของการเป็น Hate Speech

2. เจตนา (Intent)

ดูที่ผู้สื่อสารว่ามี “เจตนา” ที่จะดูถูก ข่มขู่ หรือยุยงให้เกิดการทำร้ายหรือไม่ ถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง จะแตกต่างจากคำวิจารณ์ทั่วๆไป ตรงที่มีเจตนาแฝงเพื่อสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น

3. เนื้อหา (Content)

เมื่อพิจารณาดูแล้วเนื้อหาของข้อความมี “คำหยาบคาย การเหมารวม การข่มขู่ หรือภาพที่ดูถูกเหยียดหยาม” หรือไม่ การใช้คำพูดรุนแรงหรือภาพเชิงลบ ที่สร้างความอคติอย่างชัดเจน เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าเป็น Hate Speech

4. บริบท (Context)

คำพูดนั้นถูกกล่าวขึ้นใน “บริบท” แบบใด เช่น เกิดขึ้นระหว่างการโต้เถียงที่ดุเดือด เป็นการเสียดสี หรือเป็นการโจมตีด้วยความมุ่งร้ายอย่างแท้จริง โดยการทำความเข้าใจบริบท จะช่วยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงเบื้องหลังคำพูดนั้นๆ

5. ผลกระทบ (Impact)

คำพูดนั้นส่งผลให้เกิด “ความหวาดกลัว ความเป็นปรปักษ์ หรือความเจ็บปวดทางจิตใจ” ต่อผู้ที่ถูกโจมตีหรือต่อชุมชนของพวกเขาหรือไม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่า คำพูดนั้นสร้างความเสียหายและเข้าข่ายว่าเป็น Hate Speech มากน้อยแค่ไหน

AI_Generated_Image_of_Angry_Person_Speaks_in_Event

วิธีรับมือกับ Hate Speech

เรามาดูแนวทางปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ Hate Speech กันครับ เพื่อนำไปใช้ในการปกป้องตัวเอง และสร้างสภาพแวดล้อมบนโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้ดีขึ้น

1. ตั้งสติและประเมินสถานการณ์

ก่อนจะตอบสนองใดๆให้ “ตั้งสติ” และอย่าเพิ่งตอบโต้ด้วยอารมณ์ทันที โดยใช้เวลาประเมินว่าข้อความนั้นเป็นเพียงคำวิจารณ์ (Criticism) การปั่นประสาท (Trolling) หรือเป็น Hate Speech อย่างแท้จริง การประเมินอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณ เลือกวิธีรับมือได้อย่างเหมาะสม

2. ทำความเข้าใจและรายงานตามนโยบายของแพลตฟอร์ม

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น Facebook, X (Twitter), Instagram, YouTube และ TikTok ล้วนมีนโยบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรฐานชุมชนและการแสดงความเกลียดชัง ดังนั้นคุณควร “เรียนรู้กฎเหล่านี้และใช้เครื่องมือรายงาน” ที่มีอยู่เพื่อ และแจ้งผู้ดูแลแพลตฟอร์มให้ลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออก

3. ใช้เครื่องมือกลั่นกรองและผู้ดูแล

สำหรับธุรกิจและบรรดา Content Creators การตั้งค่าฟิลเตอร์เพื่อ “บล็อกคำหยาบคาย” โดยอัตโนมัติ จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของคำพูดที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ การมีผู้ดูแลชุมชน (Community Managers) ที่คอยตรวจสอบ และจัดการช่องคอมเมนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยรักษาบรรยากาศที่ดีในการสนทนาได้

4. ตอบโต้อย่างชาญฉลาด

หากสถานการณ์ปลอดภัยให้ “ตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงหรือสร้างเรื่องราวเชิงบวก” เพื่อหักล้าง แต่ถ้าเป็นพวกที่ต้องการเพียงแค่สร้างความวุ่นวาย การ “เพิกเฉยหรือลบข้อความทิ้ง” อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และสำหรับแบรนด์ การออกแถลงการณ์สาธารณะ (Public Statement) เพื่อยืนยันคุณค่าขององค์กร เช่น การยอมรับความหลากหลาย (Inclusion) ก็เป็นวิธีที่สร้างความน่าเชื่อถือได้

5. ขอความช่วยเหลือจากระบบสนับสนุน

หากคำข่มขู่เริ่มรุนแรงขึ้นคุณควร “ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ข้างคุณ” ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ชุมชน หรือแม้แต่ใช้กฎหมายในกรณีที่จำเป็น หากมีภัยคุกคามร้ายแรง เช่น การขู่ฆ่าหรือการใช้ความรุนแรง ก็ให้รายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ทันที

6. ให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้

วิธีการรับมือที่ดีที่สุด คือ การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการสร้างแคมเปญให้ความรู้ การเล่าเรื่องเชิงบวก และการสนับสนุน สิ่งเหล่านี้จะช่วย “ต่อต้าน Hate Speech ด้วยพลังแห่งการศึกษา” นอกจากนี้ การส่งเสริมความเข้าใจเรื่องความรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) ก็จะช่วยให้ผู้คนแยกแยะได้ว่า สิ่งใดคือความคิดเห็น และสิ่งใดคือคำพูดที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริง

AI_Influencer_Serving_Internet

ตัวอย่างของ Hate Speech ในสถานการณ์ต่างๆ

เราลองมาดูตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง วิธีรับมือกับ Hate Speech ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆกันครับ

ตัวอย่างที่ 1: ผลกระทบต่อแบรนด์

สถานการณ์ คือ เมื่อแบรนด์ชุดกีฬาระดับโลกถูกโจมตีด้วยคอมเมนต์ที่เหยียดผิว เพราะการลงโฆษณาที่มีนางแบบที่มีความหลากหลาย วิธีรับมือ คือ แทนที่จะลบคอมเมนต์เหล่านั้นอย่างเงียบๆ แบรนด์ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืน ในเรื่องของการสนับสนุนความหลากหลาย ซึ่งทำให้ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในวงกว้าง ผลลัพธ์ คือ การตอบโต้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกด้วย

ตัวอย่างที่ 2: การคุกคามอินฟลูเอนเซอร์

สถานการณ์ คือ ยูทูปเบอร์หญิงคนหนึ่งได้รับคอมเมนต์เกลียดชัง ที่เหยียดเพศอย่างรุนแรง วิธีรับมือ คือ เธอทำงานร่วมกับผู้ดูแล (Admin) เพื่อกรองคำพูดที่ไม่เหมาะสม กระตุ้นให้แฟนคลับช่วยกันรายงานผู้กระทำผิด และพูดคุยอย่างเปิดอกเกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ผลลัพธ์ คือ เธอเปลี่ยนประสบการณ์เชิงลบ ให้กลายเป็นแรงผลักดันในการสร้างความตระหนักรู้แก่สังคม ทำให้ผู้ติดตามของเธอรู้สึกปลอดภัย และได้รับการสนับสนุนมากขึ้น

ตัวอย่างที่ 3: บุคคลสาธารณะและการเมือง

สถานการณ์ คือ นักการเมืองมักต้องเผชิญกับ Hate Speech ทางออนไลน์ วิธีรับมือ คือ บางคนเลือกที่จะตอบโต้ข้อมูลที่บิดเบือน ด้วยข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่บางคนใช้ทีมกฎหมาย เพื่อจัดการกับคำข่มขู่ที่รุนแรงถึงขั้นคุกคาม ผลลัพธ์ คือ การตอบสนองที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความรุนแรงของสถานการณ์ ช่วยให้สามารถควบคุมสถานการณ์และป้องกันความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะยาว

ตัวอย่างที่ 4: การสร้างแคมเปญให้ความรู้

สถานการณ์ คือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกวิจารณ์และได้รับ Hate Speech ผ่านช่องทางออนไลน์ วิธีรับมือ คือ องค์กรเปิดตัวแคมเปญออนไลน์เพื่ออธิบายว่า Hate Speech ส่งผลกระทบต่อคนจริงๆอย่างไร โดยนำเสนอเรื่องราวของเหยื่อที่เคยถูกโจมตี และให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์ คือ การสร้างความเข้าใจเชิงลึกช่วยลดการโจมตีลงได้ และยังระดมผู้สนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อต่อต้าน Hate Speech ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างที่ 5: การตอบโต้จากแบรนด์ท้องถิ่น

สถานการณ์ คือ ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งโพสต์สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ทำให้ถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยในท้องถิ่น วิธีรับมือ คือ เจ้าของร้านใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุน และยืนยันว่าร้านของตนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน พร้อมทั้งเชิญชวนให้ผู้ที่เห็นด้วยมาอุดหนุน ผลลัพธ์ คือ แม้จะเสียลูกค้าบางส่วนไป แต่ก็ได้รับความภักดีจากลูกค้าที่สนับสนุนจุดยืนของร้าน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและสร้างชุมชนที่แข็งแกร่งขึ้น


ถ้อยคำ / คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่แพร่กระจายบนโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย กำลังเป็นปัญหาที่น่ากังวลและส่งผลกระทบในโลกแห่งความจริง เพราะมันส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ทำลายชื่อเสียง และอาจลุกลามไปสู่การทำร้ายร่างกายได้หากไม่มีการจัดการที่ดี และการทำความเข้าใจว่า Hate Speech คืออะไรและรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ก็จะช่วยให้ทั้งบุคคลและองค์กร สามารถสร้างพื้นที่บนโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยขึ้นได้นั่นเอง


Share to friends


Related Posts

วิธีการสื่อสารเพื่อลดความขัดแย้ง

ความขัดแย้งหรือ Conflict ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ครับ โดยเราจะเห็นความขัดแย้งแบบต่างๆทั้งในชีวิตประจำวันและการทำงาน หลายๆไอเดียที่คุณนำเสนอในการทำงานหรือการพูดคุยกับคนในทีม อาจนำไปสู่ปัญหาหรือความขัดแย้งในการสื่อสารได้อยู่เสมอ โดยหากปล่อยประละเลยไม่ได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น ก็อาจส่งผลต่อการทำงานระหว่างทีม


ขอโทษอย่างไรให้ได้ใจกลับมา (Apology Statements) ศาสตร์แห่งการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อใจ

ในโลกที่ทุกอย่างนั้นแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดความผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตัวของแบรนด์ ธุรกิจ หรือบุคคลทั้งที่เป็นบุคคลสาธารณะ และบุคคลธรรมดาๆ ก็สามารถแพร่กระจายได้บนโลกออนไลน์เพียงแค่เสี้ยววินาที และวิธีที่ดีที่สุด ก็คือ การจัดการกับ “การขอโทษ” (Apology) ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าความไว้วางใจ ในระยะยาวว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ และการขอโทษนั้นก็ไม่ได้เหมือนกันทุกอย่าง โดยการขอโทษในบางรูปแบบก็ให้ความรู้สึกที่ว่างเปล่า บางรูปแบบเป็นการขอโทษที่ดูทางการ ในขณะที่บางรูปแบบดูมีความจริงใจและแสดงถึงความรับผิดชอบ ที่ไม่เพียงแค่ช่วยบรรเทาความโกรธ แต่ยังสามารถสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นใหม่ได้


การสื่อสารอย่างมีจริยธรรม (Ethical Communication) ประตูสู่ความน่าเชื่อถือของแบรนด์และธุรกิจ

เราอยู่ในยุคที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และทุกถ้อยคำก็สามารถถูกบันทึก (Recorded) จับภาพหน้าจอ (Captured) และเผยแพร่ (Shared) ได้อย่างง่ายดาย การสื่อสารของแบรนด์ต่างๆ (Brand Communication) จึงถูกจับตามองมากกว่าที่เคยเป็นมา ทำให้คำว่า “การสื่อสารอย่างมีจริยธรรม” (Ethical Communication) กลายเป็นเสาหลักที่สร้างความน่าเชื่อถือ (Credibility) ความไว้วางใจ (Trust) ที่จะคงอยู่ได้ยาวนานกว่าแคมเปญโฆษณา (Advertising Campaign) รวมไปถึงวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle)



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์