
เราอยู่ในโลกที่มีการเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว ทำให้คู่แข่งของคุณไม่ได้เป็นเพียงคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่คู่แข่งก็ยังเป็นครูที่ดีที่สุดของธุรกิจคุณได้อีกด้วย ในขณะที่แบรนด์ส่วนใหญ่อาจหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง แต่นักการตลาดที่ฉลาดจะคอยเงี่ยหูฟังสิ่งที่ผู้คนพูดถึงคนอื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของการฟัง “เสียงกระซิบของคู่แข่ง” (Competitor Whispering) ซึ่งเป็นแนวทางสมัยใหม่ในการหาข้อมูลเชิงลึกด้านการแข่งขันแบบเรียลไทม์ ผ่านพลังของการใช้ Social Listening เรามาทำความเข้าใจในกระบวนการนี้กันในบทความนี้พร้อมๆกันครับ

Competitor Whispering คืออะไร
“Competitor Whispering” หรือ “เสียงกระซิบของคู่แข่ง” คือ ศิลปะของการใช้เครื่องมือรับฟังทางสังคม (Social Listening Tools) เพื่อตรวจสอบ ถอดรหัส และดึงข้อมูลเชิงลึก จากการสนทนาบนโลกดิจิทัลของคู่แข่งของคุณ โดยไม่ได้ฟังแค่บัญชีของแบรนด์คู่แข่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกค้า นักวิจารณ์ แฟนๆ ผู้มีอิทธิพล (Influencer) หรือแม้แต่พนักงานของพวกเขา ที่รวมถึง
- การกล่าวถึงแบรนด์ (ทั้งแบบทั้งติดไม่ติด #Hashtag)
- การฟังรีวิว (Review) และข้อร้องเรียน (Complaint) ของลูกค้า
- การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับธุรกิจรวมถึงในอุตสาหกรรม
- โพสต์จากบรรดาผู้มีอิทธิพล (Influencer)
- กระทู้ ฟอรัม และเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC)
- เทรนด์หรือแนวโน้มที่เกิดจากแคมเปญต่างๆ
จุดประสงค์ของ Competitor Whispering ไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการตรวจสอบ ถอดรหัสรูปแบบ และค้นพบข้อมูลเชิงลึก ที่นำไปปฏิบัติได้จริงสำหรับการวางตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning) การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับผลิตภัณฑ์ (Product Innovation) การทำ Content Marketing
รวมถึงการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience)
โดย Competitor Whispering จะแตกต่างจากการวิเคราะห์ SWOT
แบบดั้งเดิม เพราะ Competitor Whispering จะให้ข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์และเป็นธรรมชาติ ซึ่งดูมีความจริงมากกว่าข่าวประชาสัมพันธ์ (Press Release) หรือข้อมูลต่างๆบนเว็บไซต์เสียอีก
ตัวอย่างเช่น โรงแรมแห่งหนึ่งอาจสังเกตเห็นว่า คู่แข่งกำลังได้รับข้อร้องเรียนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ “การเช็คอินที่ล่าช้า” หรือ “ประสบการณ์ผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ไม่ดี” ในหลายๆเมือง นั่นแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นจุดอ่อนเชิงระบบที่กำลังรอให้ใครสักคนเข้าไปปิดช่องว่างเหล่านั้นอยู่


ขั้นตอนการทำ Competitor Whispering
1. ระบุกลุ่มคู่แข่งที่แท้จริง (ไม่ใช่แค่เพียงคู่แข่งโดยตรง)
ธุรกิจส่วนใหญ่มักจะตรวจสอบเฉพาะคู่แข่งโดยตรง (Direct Competitors) ซึ่งก็คือ ผู้ที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น อย่างไรก็ตามในยุคที่หมวดหมู่ต่างๆนั้นมีความคลุมเครือมากขึ้น และมีการวางตำแหน่งตามไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Segmentation) เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นคู่แข่งของคุณต้องรวมถึง
- แบรนด์ที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งนำเสนอทางเลือกอื่นๆ (เช่น Netflix เทียบกับ YouTube เทียบกับ TikTok)
- ธุรกิจ Startup ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิม
- Influencer หรือ Content Creator ที่เป็นคนกำหนดความชื่นชอบของผู้ชม
- ธุรกิจแบบ Direct-to-Customer (D2C) ที่ขายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยตรง และยังสร้างฐานผู้ติดตามได้มากขึ้น
เคล็ดลับในการปฏิบัติ คือ สร้างแผนภูมิ “แผนที่การแข่งขัน” โดยยึดวงแหวน 3 วง ได้แก่

- คู่แข่งหลัก (Direct Competitors)
- คู่แข่งทางอ้อม (Indirect Competitors)
- ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitutes)
หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ (Lifestyle)
ยิ่งคุณรับฟังในวงกว้างเท่าไหร่ข้อมูลเชิงลึกของคุณ ก็จะยิ่งมีประโยชน์ในการทำธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น

2. ตั้งค่าการฟังเชิงลึกด้วยรูปแบบพิเศษ (Boolean Operators)
ใช้สัญลักษณ์พิเศษ (Boolean Operators) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการค้นหาที่หลากหลายเพื่อรับฟังข้อมูลที่ลึกมากขึ้น โดยอย่าพึ่งพาการกล่าวถึงแบรนด์หรือการใช้ #Hashtag เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างการตั้งค่าในการค้นหา เช่น
- ชื่อแบรนด์คู่แข่ง (รวมถึงการสะกดผิดที่พบบ่อย)
- ชื่อผลิตภัณฑ์ (รวมถึงการอธิบายคุณสมบัติหลัก)
- วลี เช่น “ฉันหวังว่า [แบรนด์ A] จะมี…” หรือ “ฉันเกลียดมากเมื่อ [แบรนด์นี้] ทำ…”
- ข้อร้องเรียน เช่น “ทำไม [แบรนด์ B] ถึงช้าเสมอ”
- คำชม เช่น “ชอบที่ [แบรนด์ C] ตอบกลับและแก้ปัญหาเร็ว”
นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าตรวจสอบคำหลักที่ไม่ใช่ชื่อแบรนด์ เช่น
- “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเท้ากว้าง” เพื่อจับการสนทนาเกี่ยวกับความตั้งใจของผู้ซื้อนอกเหนือจากแบรนด์ที่ชอบ
- “วิธีแก้ปัญหาสิวอุดตัน” บ่งชี้ถึงผู้ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือวิธีการรักษาสิว
- “ร้านอาหารมังสวิรัติใกล้ฉัน” บ่งชี้ถึงผู้ที่กำลังมองหาตัวเลือกอาหารมังสวิรัติในบริเวณใกล้เคียง
- “หูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนราคาไม่แพง” แสดงให้เห็นถึงผู้ที่ต้องการหูฟังคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้
- “โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีสำหรับมือใหม่” แสดงให้เห็นผู้ที่เริ่มสนใจการทำวิดีโอและต้องการโปรแกรมที่ใช้งานง่าย
- “ที่พักสำหรับครอบครัวพร้อมเด็กเล็ก” แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายคือครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสะบายในการเดินทาง
โดยเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ในการรับฟัง เช่น Brandwatch, Talkwalker, Meltwater, Sprinklr, Wisesight, Mandala AI

3. วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดบอดของแบรนด์ (Weak Spots & Blind Spots)
จุดนี้เป็นจุดสำคัญมากที่คู่แข่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่ โดยเป็นการเปิดเผยปัญหาเรื้อรังที่คู่แข่งอาจกำลังมองข้าม เช่น
- ความล้มเหลวในการบริการลูกค้า
- กระบวนการที่บกพร่อง เช่น การคืนสินค้าที่ใช้เวลานาน การติดตามการจัดส่งที่ไม่ดีพอ
- ความไม่สอดคล้องกันระหว่างคำมั่นสัญญา (Promise) และประสบการณ์ (Experience)
- ความไม่ละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมหรือแคมเปญที่ตัดสินใจผิดพลาด
ตัวอย่างเช่น เกิดมีผู้ใช้หลายรายในแพลตฟอร์มต่างๆ ร้องเรียนว่าขนาดเสื้อผ้าของแบรนด์แฟชั่นนั้นไม่สอดคล้องกัน นี่เป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะโปรโมท “การรับประกันว่าจะได้ขนาดเสื้อผ้าที่ตรงตามจริง” หรือการวางตำแหน่งแบรนด์ ที่เน้นความเหมาะสมกับรูปร่างทุกในทุกๆสไตล์
4. ค้นพบโอกาสในพื้นที่ว่าง (White Space Opportunities)
การมองหาช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีใครเติมเต็ม หรือความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ นี่คือโอกาสที่ธุรกิจสามารถสร้างความแตกต่าง และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้ โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น และเราควรฟังเพื่อค้นหา
- ภาษาหรือน้ำเสียงที่แสดงความผิดหวัง เช่น “ทำไมไม่มีใครทำ X เลย”
- คำถามที่ไม่มีการตอบสนองจากแบรนด์ เช่น “ตัวเลือกที่ดีสำหรับ… คืออะไร”
- ความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น “ฉันต้องการ [ผลิตภัณฑ์] รุ่นที่ดู [ยั่งยืน] กว่านี้”
ตัวอย่างเช่น หากผู้ดื่มกาแฟพูดถึง “กาแฟที่มีกรดต่ำ” มากขึ้น เนื่องจากความไวต่อกระเพาะอาหาร และไม่มีแบรนด์ใหญ่ใดๆกล่าวถึงเรื่องนี้เลย คุณอาจเข้ามาเป็นเจ้าแรกของการผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ได้

5. ติดตามการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกแบบเรียลไทม์ (Real-time Sentiment Monitoring)
อย่าเพียงแค่ติดตามการกล่าวถึงแบรนด์เพียงอย่างเดียว แต่ให้ติดตามว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรกับคู่แข่งของคุณเมื่อเวลาผ่านไป ที่จะทำให้แบรนด์ของคุณสามารถระบุสิ่งเหล่านี้ได้
- ความเชื่อมั่นในตัวของแบรนด์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง (หลังเกิดเรื่องอื้อฉาวหรือแคมเปญที่ไม่ดี)
- ปฏิกิริยาตอบโต้ทางอารมณ์ต่อคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสม
- การเพิ่มขึ้นของการกล่าวถึงเชิงลบ (Negative Sentiment) ในช่วงที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการมีปัญหา
- การทำลายซึ่งความภักดีเมื่อคู่แข่งเปลี่ยนราคาหรือนโยบาย
คุณสามารถใช้สิ่งนี้เป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า และคู่มือในการวางกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ สำหรับการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจ ด้วยการเปิดตัวเพื่อนำเสนอทางเลือก ในการกำหนดเป้าหมายให้ลูกค้า “เปิดใจ” ใหม่กับแบรนด์อื่นอีกครั้ง

“คำค้น / คำบ่น” ที่มักพบเจอจาก Competitor Whispering
เรามาดู คำค้น (Search Intent Keywords) รวมถึงคำที่ “ชอบบ่น” ที่ผู้บริโภคมักพิมพ์ลงบนโซเชียลมีเดียหรือ Google ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ใน “Competitor Whispering” ผ่าน Social Listening เพื่อเข้าใจความรู้สึก ปัญหา ช่องว่างในตลาด หรือความไม่พอใจต่อคู่แข่งได้แบบลึกซึ้งขึ้น โดยแบ่งออกได้เป็น 8 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1: คำค้นที่แสดง “ปัญหา” (Problem-Oriented Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อเข้าใจ Pain Point และจุดอ่อนที่ผู้บริโภคไม่พอใจในสินค้า / บริการของคู่แข่ง
คำค้น / คำพูดตัวอย่าง | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
วิธีแก้ปัญหาสิวอุดตัน | มองเห็นปัญหาผิวแบบเฉพาะเจาะจงที่คู่แข่งอาจยังไม่ตอบโจทย์ |
แชมพูยี่ห้อไหนไม่ทำให้ผมร่วง | มองเห็นความกังวลเชิงลึกที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง |
ครีมกันแดดที่ไม่เหนียวเหนอะ | แสดงให้เห็นความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นจากสินค้าปัจจุบัน |
อาหารแมวแพงแต่แมวกินไม่หมด | บอกถึงปัญหาเรื่อง Value ที่นำไปสู่การเปลี่ยนใจจากแบรนด์เดิม |
ทำไมใช้แล้วไม่เห็นผล | บอกถึงปัญหาความคาดหวังและผลลัพธ์ของแบรนด์คู่แข่ง |
กลุ่มที่ 2: คำค้นที่แสดง “ข้อสงสัยและการเปรียบเทียบ” (Question & Comparison Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้บริโภคกำลังเปรียบเทียบแบรนด์ใด และมีคำถามเกี่ยวกับใครอยู่บ้าง
คำค้น / คำพูดตัวอย่าง | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
ทำไม [แบรนด์ A] ถึงช้าเสมอ | เห็นความไม่พอใจต่อประสิทธิภาพการบริการ / การส่งของ |
สั่งของจาก [แบรนด์ B] ทำไมยังไม่มา | มองเห็นโอกาสในการนำเสนอแบรนด์ตัวเองในช่วงเวลาที่เสียความรู้สึก |
ยี่ห้อไหนดีระหว่างแบรนด์ A กับ B | มองเห็นโอกาสเปรียบเทียบจุดขายระหว่างแบรนด์ของคุณและคู่แข่ง |
ทำไมของแพงแต่คุณภาพไม่ต่างเลย | รับรู้ความคาดหวังด้านราคา (Price) กับคุณภาพ (Quality) ที่ไม่ลงตัว |
มีใครเคยใช้ [แบรนด์ C] แล้วแพ้ไหม | เข้าใจถึงความลังเลและประสบการณ์ไม่ดีที่ควรเก็บมาเป็นข้อมูลเชิงลึก |
กลุ่มที่ 3: คำค้นที่แสดง “ความคาดหวัง / ความอยากให้มี” (Unmet Needs / Opportunity Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อหาตลาดแบบ Blue Ocean หรือโอกาสที่ยังไม่มีใครทำ (และคู่แข่งอาจมองข้าม)
คำค้น / คำพูดตัวอย่าง | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
ทำไมไม่มีใครทำครีมกันแดดที่ไม่ต้องล้างออก | รับรู้ถึงความต้องการใหม่ที่ยังไม่มีสินค้าในตลาด |
ทำไมยังไม่มีแบรนด์ไหนทำขวดรีฟิลบ้าง | เข้าใจความคาดหวังเรื่อง Sustainability |
มีใครทำสบู่แบบไม่ต้องใช้ถุงไหม | หานวัตกรรมที่ตลาดยังไม่ตอบโจทย์ |
น่าจะมีฟีเจอร์แบบนี้ตั้งนานแล้ว | ได้ยินเสียงเรียกร้องที่แบรนด์สามารถตอบสนองได้ก่อนคู่แข่ง |
อยากให้มีรุ่นเล็กลงสำหรับคนหน้าเล็ก | รู้จักการออกแบบให้เข้ากับเฉพาะกลุ่ม ที่ยังไม่มีแบรนด์ไหนตอบโจทย์ |
กลุ่มที่ 4: คำค้นที่แสดง “ความรู้สึกส่วนตัว / รีวิวจริง” (Emotional & Personal Experience Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อเข้าใจ Insight เชิงอารมณ์และประสบการณ์จริงที่มีผลต่อการตัดสินใจ
คำค้น / คำพูดตัวอย่าง | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
ใช้แล้วรู้สึกเฉยๆ | รับรู้ถึงความไม่อิน ไม่ว้าว ซุ่งเป็นจุดที่แบรนด์สามารถสร้าง Differentiation ได้ |
เสียดายเงินมาก | เข้าใจประสบการณ์ที่ดูเกินราคาและไม่คุ้มค่า |
รู้สึกว่าโดนโฆษณาหลอก | มองเห็นความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น ที่กำลังรอแบรนด์ใหม่ๆมาทำให้ได้อย่างที่พูด |
ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก | มองเห็นโอกาสในการเรียนรู้ Best Practice จากคู่แข่ง |
ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้เลย | เข้าใจจุดเด่นที่สามารถนำมา Benchmark ได้ |
กลุ่มที่ 5: การบ่น / ประชด / เหน็บแนม (Passive Complaints & Sarcasm)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อจับความไม่พอใจแบบไม่ได้พูดตรงๆ แต่แฝงไว้ซึ่งแฝงอารมณ์
ตัวอย่างคำ / ข้อความผู้บริโภค | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
บริการดีม๊ากกกกกก (เสียงสูง ประชด) | นำมาตีความเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีด้านบริการ |
สั่งตั้งแต่ชาติที่แล้วยังไม่ได้รับเลย | เข้าใจปัญหาเรื่องความล่าช้าที่ยกระดับเป็นอารมณ์ที่ขุ่นมัว |
ซื้อแล้วรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น…นิดนึง | รับรู้ความรู้สึกที่ดูเหมือนจะว้าวแต่ไม่ว้าว |
ป้ายราคาหลอกตาเก่ง | มุ่งเน้นการสร้างความไม่โปร่งใสด้านราคา (รู้สึกโดนหลอก) |
กลุ่มที่ 6: การเปลี่ยนใจ / เลิกใช้แบรนด์ (Brand Switching Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อหาเหตุผลที่ลูกค้าเลิกใช้คู่แข่ง (ซึ่งอาจกลายมาเป็นลูกค้าเราได้)
ตัวอย่างคำ / ข้อความผู้บริโภค | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
ใช้มาตลอดแต่รอบนี้ขอบาย | ทำความเข้าใจจุดเปลี่ยนที่ควรรู้ว่าสาเหตุคืออะไร |
เลิกใช้แล้ว โล่งใจมาก | ค้นหาประสบการณ์แย่ๆที่ฝังลึกแบบสุดๆ |
ย้ายมาใช้แบรนด์นี้เพราะ… | ทำเข้าใจว่าเจอจุดแข็งของเรา หรือ ทนกับจุดอ่อนของคู่แข่งไม่ไหว |
อยากกลับไปใช้ของเก่า | ประเมินความผิดหวังจากแบรนด์ใหม่ หรือแบรนด์ปัจจุบันที่ใช้อยู่ |
กลุ่มที่ 7: การขอคำแนะนำจากคนอื่น (Recommendation Seeking)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อดูว่าแบรนด์ไหนถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆเวลาคน “ขอคำแนะนำ” และแบรนด์ใด “ไม่ถูกแนะนำเลย”
ตัวอย่างคำ / ข้อความผู้บริโภค | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
ใช้ครีมลดสิวยี่ห้อไหนดี | สำรวจว่าคู่แข่งแบรนด์ใดถูก Recommend หรือ Ignore บ้าง |
ช่วยแนะนำแป้งพัฟที่ไม่ตกร่องหน่อย | ใช้ฟังแนวโน้มของคำตอบที่คนพูดถึงกัน |
มือใหม่หัดแต่งหน้า ใช้อะไรดี | สำรวจช่องว่างที่ยังไม่มีใครสื่อสารและตอบโจทย์ได้ดี |
เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ควรเลือกเวย์โปรตีนอะไรดี | ประเมินลูกค้าถึงจุดเริ่มต้นของ First-Time Buyer |
กลุ่มที่ 8: ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวและแรงบันดาลใจ (Lifestyle & Aspirational Intent)
คำค้นกลุ่มนี้ใช้เพื่อจับไลฟ์สไตล์และแรงจูงใจลึกๆ ที่แบรนด์ควรใช้สื่อสารในเชิง Emotional Positioning
ตัวอย่างคำ / ข้อความผู้บริโภค | ใช้เพื่อฟังเรื่องอะไร |
---|---|
อยากมีผิวใสแบบเกาหลี | สร้างแรงบันดาลใจจากภาพลักษณ์หรือเทรนด์ที่เกิดขึ้น |
ตั้งใจว่าปีนี้ต้องลดน้ำหนักให้ได้ | เข้าใจจุดเริ่มต้นของเส้นทางสุขภาพ (Health Journey) |
อยากเริ่มดูแลตัวเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง | เพิ่มโอกาสในการ Educate และเจาะตลาดลูกค้ามือใหม่ |
ใครก็ได้ช่วยป้ายยาฉันที | ประเมินความพร้อมในการเปิดรับแบรนด์ใหม่ๆ |

Case Study ของแบรนด์ที่นำ Competitor Whispering มาปรับใช้กับกลยุทธ์การตลาดให้น่าจดจำ
Burger King vs. McDonald’s
Burger King เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เชี่ยวชาญในการทำ Competitor Whispering โดยมักจะทำการตรวจสอบโปรโมชั่นและข้อเสนอแนะของลูกค้าของ McDonald’s จนหลายๆครั้งพวกเขาได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่แปลกใหม่ออกมา เช่น
- “Whopper Detour” ซึ่งเป็นแคมเปญที่ใช้การกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์ (Geofenced) ใกล้กับสถานที่ตั้งของ McDonald’s
- ส่วนลดที่กำหนดเป้าหมายแบบเฉพาะ เมื่อ McDonald’s เปิดตัวรายการเมนูใหม่ที่ไม่ได้รับความนิยม
- คอนเทนต์ที่สนุกสนานและตอบสนองต่อความไม่พอใจของลูกค้า McDonald’s เช่น ข้อผิดพลาดของแอปพลิเคชั่น หรือเฟรนช์ฟรายส์ที่ทำออกมาแล้วเย็นเฉียบ
Burger King ไม่ได้แค่ “ฟัง” แต่พวกเขาลงมือทำอย่างรวดเร็ว ชาญฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ และทำออกมาได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Image Source: https://campaignsoftheworld.com/tech-innovations/burger-king-whopper-detour/
Pepsi vs. Coca-Cola (ฟังตามฤดูกาล)
Pepsi ใช้การทำ Competitor Whispering เพื่อติดตามตัวกระตุ้นทางอารมณ์ในช่วงวันหยุด ซึ่งเป็นช่วงที่ Coca-Cola มักจะครองตลาด ด้วยการออกแคมเปญ “Holidays are Coming” และการสร้างแบรนด์ด้วยหมีขั้วโลก แทนที่จะพยายามต่อสู้กับ Coke แบบตรงๆ Pepsi มุ่งเน้นไปที่ “ความหงุดหงิดในเทศกาลที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง” เช่น ความเครียดในครอบครัว ความล้มเหลวในงานปาร์ตี้ ความผิดพลาดเกี่ยวกับอาหาร Pepsi เปิดตัวแคมเปญ “Real Holidays” ที่มีความขี้เล่นทางออนไลน์ที่เต็มไปด้วยมีมที่ผู้ใช้สร้างขึ้น โดยวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่ายและดูติดดินมากกว่า

Image Source: https://xtalks.com/gift-it-forward-with-pepsis-new-holiday-season-give-away-2091/
Netflix vs. HBO (การสังเกตความเหนื่อยล้าของแฟนๆ)
เนื้อหาของ Netflix สังเกตเห็นกระแสการร้องเรียนที่เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับจังหวะการดำเนินเรื่องที่ช้าและฉากจบที่ไม่น่าพอใจ ในรายการดังบางรายการของ HBO แทนที่ Netflix จะทำการตลาดในเชิงเยาะเย้ยหรือถากถาง แต่กลับมุ่งเน้นไปที่การเจาะเป้าหมายผู้ชมเหล่านั้นโดยตรง โดย Netflix ใช้ Social Listening เพื่อ
- นำไปกำหนดเป้าหมายคำค้นหลัก เช่น “ผิดหวัง” “เสียเวลา” หรือ “ตอนจบ HBO”
- เสนอทางเลือกที่ดูแบบต่อเนื่องได้ เช่น “You”, “Stranger Things” และ “The Witcher” ผ่านโฆษณาและรายการแนะนำ
- นำเสนอคอนเทนต์ที่มีเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความพึงพอใจ
Netflix วางตำแหน่งตัวเองเป็น “ทางเลือกที่ต่อต้านความเบื่อหน่าย” สำหรับผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงที่น่าติดตามและรวดเร็ว

Image Source: https://www.netflix.com/title/80057281
Dove vs. Beauty Industry (การติดตาม Toxic Trends)
Dove ใช้การทำ Competitor Whispering อย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามแนวโน้มภาพลักษณ์เชิงลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับมาตรฐานความงามที่ไม่สมจริง ที่หลายๆแบรนด์รวมถึงบรรดา Influencer ด้านความงานสื่อสารออกมา โดยพวกเขาพบวลีต่างๆที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น
- “ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียด”
- “ฉันเกลียดหน้าตัวเองตอนไม่มีฟิลเตอร์”
- “หวังว่าฉันจะดูเหมือน Influencer เหล่านี้บ้าง”
แทนที่จะระบุชื่อคู่แข่ง Dove เปิดตัวแคมเปญ “#NoDigitalDistortion” เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการบิดเบือนภาพ และเปิดตัว “Real Beauty Pledge” ซึ่งขับเคลื่อนโดย UGC ที่แท้จริงและการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตของผู้คน

Image Source: https://campaignsoftheworld.com/digital-campaigns/dove-no-digital-distortion/
Spotify vs. Apple Music (ความไม่พอใจในคอนเทนต์นำไปการปรับแต่ง UX)
Spotify รับฟังความไม่พอใจเกี่ยวกับ Apple Music มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน Reddit, X และ App Store โดยข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็คือ “ไม่มีฟีเจอร์ Wrapped เหมือน Spotify” “หายากในการค้นหาเพลย์ลิสต์ที่คัดสรรมา” “การปรับแต่งส่วนบุคคลแย่มาก” Spotify จึงเพิ่มความเข้มข้นให้กับฟีเจอร์ต่างๆ แม้แต่ผู้ใช้ Apple Music ก็เริ่มแชร์ Spotify Wrapped เช่น
- Spotify Wrapped (กลายเป็นแคมเปญไวรัลตามฤดูกาลที่สำคัญๆ)
- Daily Mix และ Discover Weekly
- การแชร์แบบทดสอบบุคลิกภาพทางดนตรีและ Aura Tools
Spotify แสดงให้เห็นว่า Competitor Whispering เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง UX ใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดี

Image Source: https://newsroom.spotify.com/2024-12-04/wrapped-user-experience-2024/
Samsung vs. Apple (เปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นอาวุธ)
Samsung รับฟังความไม่พอใจของผู้ใช้ iPhone ที่ไม่มีช่องเสียบหูฟัง แบตเตอรี่ไม่ดี มีความเปราะบาง รวมถึงปฏิกิริยาของผู้คนหลังการใช้งาน Apple ในแต่ละครั้งอย่างตั้งใจ และ Samsung ก็ได้ทำการตลาดที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว (โดยปกติภายใน 24 – 48 ชั่วโมง) เพื่อเน้นข้อได้เปรียบของตนเอง เช่น
- “Real Multi-Task”
- “Smart Phone ที่ยังมีช่องเสียบหูฟัง”
- “แบตเตอรี่ที่จุเยอะกว่า ดราม่าน้อยกว่า”
Samsung ถึงกับเปิดตัวโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ (Geo-Targeted) ใกล้กับร้าน Apple Store เพื่อการแลกเปลี่ยน (Trade-ins) สำหรับการเปลี่ยนไปใช้ Samsung

Image Source: https://www.businessinsider.com/samsung-galaxy-s8-headphone-jack-future-messy-2017-3
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ไม่ใช่แบรนด์ที่ออกมาสื่อสารหรือส่งเสียงดังมากที่สุด แต่เป็นแบรนด์ที่ช่างสังเกตมากที่สุด และเฝ้าติดตามตลาดที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ในทุกๆนาที ความได้เปรียบทางการแข่งขันเป็นของการทำ Competitor Whispering จะช่วยให้แบรนด์ของคุณมีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง