Content_Creation_with_AIDA_Model

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคอนเทนต์บางอย่าง ถึงดึงดูดคุณได้ในทันทีและนำพาคุณไปสู่การซื้อ การสมัครสมาชิก หรือการแชร์ต่อ ในขณะที่คอนเทนต์อื่นๆกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเอาซะเลย โดยความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นก็มักจะอยู่ที่ “โครงสร้าง” ซึ่งนั่นคือจุดที่ AIDA Model เข้ามามีบทบาทในการทำคอนเทนต์ ที่สามารถนำปรับมาใช้ให้เป็นกรอบการทำงาน ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในด้านการตลาด การเขียนโฆษณา และการสร้างสรรค์คอนเทนต์ เรามาดูกันครับว่า AIDA Model จะช่วยให้การทำคอนเทนต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไร

พลังของ AIDA Model กับการเขียนคอนเทนต์ให้ดึงดูดใจ

AIDA Model ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกรอบการทำงาน สำหรับพนักงานขายในการจูงใจลูกค้าให้ผ่านแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การดึงดูดความสนใจไปจนถึงการปิดการขาย ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการตัดสินใจตามธรรมชาติของผู้คน ซึ่งถูกคิดค้นโดย E. St. Elmo Lewis นักธุรกิจชาวอเมริกันตั้งแต่ปี 1898 โดยประกอบไปด้วย

  • A – Attention (ความสนใจ) การทำให้พวกเขาหยุดดู
  • I – Interest (ความน่าสนใจ) การทำให้พวกเขาอ่านต่อ
  • D – Desire (ความต้องการ) การทำให้พวกเขาอยากได้
  • A – Action (การกระทำ) การทำให้พวกเขาลงมือทำ

AIDA Model ถือว่าเป็นโมเดลที่พลังและคลาสิกเป็นอย่างมาก เมื่อคุณต้องการให้คอนเทนต์ของคุณกระตุ้นการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ คอร์สเรียน หรือแม้แต่แนวคิดต่างๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้กับ

  • หน้า Landing Pages บนเว็บไซต์
  • การทำ Email Campaigns
  • การทำวีดิโอสำหรับการขาย
  • การเปิดตัวสินค้า
  • การโฆษณาต่างๆบนโซเชียลมีเดีย Google หรือแม้แต่สื่อดั้งเดิม
  • การเขียนบทความต่างๆที่ดึงดูดใจ
Colleagues_Looking_at_Funny_Content_in_the_office

ขั้นตอนการใช้ AIDA Model สำหรับเขียนคอนเทนต์

AIDA Model นั้นมีขั้นตอนที่ชัดเจน ในการนำทางผู้คนจากความไม่รู้ไปสู่การตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาเจาะลึกแต่ละขั้นกันครับ

A – Attention (ความสนใจ)

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีอยู่อย่างท่วมท้น “ช่วงความสนใจ” (Attention Span) ของผู้คนสั้นลงเรื่อยๆ โดยคุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาหยุดดูคอนเทนต์ของคุณ หากคุณไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรก คอนเทนต์ของคุณก็จะถูกเลื่อนผ่านไปทันที ไม่ว่าเนื้อหาจะดีแค่ไหนก็ตาม จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด คือ การ “แย่งชิงความสนใจ” ของกลุ่มเป้าหมายจากสิ่งรบกวนมากมายบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ข่าวสารต่างๆ หรือแม้แต่คอนเทนต์จากคู่แข่ง โดยมีเทคนิคเพิ่มเติมในการดึงดูดความสนใจ ดังนี้

  • สร้างความตกใจ
    บางครั้งการนำเสนอข้อมูลที่น่าตกใจ (Shock Factor) หรือขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ ก็สามารถดึงดูดความสนใจได้ดี เช่น “คุณกำลังทิ้งเงินหลายพันบาทไปโดยเปล่าประโยชน์ในทุกๆเดือนหรือเปล่า”
  • ใช้ประโยชน์จากภาพและวิดีโอ
    ภาพและวิดีโอมีพลังในการดึงดูดสายตา มากกว่าข้อความธรรมดาหลายเท่า ดังนั้นควรใช้ภาพที่สวยงาม มีคุณภาพ หรือวิดีโอสั้นๆ ที่น่าสนใจเพื่อหยุดสายตาผู้คน
  • สร้างความเกี่ยวข้อง
    ทำให้คอนเทนต์ของคุณเกี่ยวข้องกับปัญหา หรือความต้องการของผู้ฟังโดยตรง เช่น ถ้าคุณกำลังขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ก็ต้องพูดถึงปัญหาผิวที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่
  • รูปแบบที่แตกต่าง
    ลองใช้รูปแบบคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น อินโฟกราฟิกแบบเคลื่อนไหวได้ แบบทดสอบสั้นๆ หรือสตอรี่บอร์ดที่น่าติดตาม เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและหยุดการเลื่อนดู
  • ใช้พลังของคำถามปลายเปิด
    คำถามที่กระตุ้นความคิดหรือชวนให้ผู้อ่านตอบในใจ จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมได้ตั้งแต่แรกเริ่ม

จำไว้ว่าเป้าหมายของขั้น “Attention” คือ “การทำให้ผู้ชมหยุดและสังเกตเห็น” ไม่ใช่การขายหรือให้ข้อมูลทั้งหมดในทันที เพียงแค่ทำให้พวกเขาสนใจพอที่จะอ่านหรือดูคอนเทนต์ต่อไป เท่านี้คุณก็สำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้วครับ เราลองมาดูตัวอย่างคอนเทนต์ที่สะกดผู้ฟังในการสร้าง “Attention” กันครับ

  1. คำถามที่กระตุ้นความคิด
    ตัวอย่างเช่น “คุณกำลังทิ้งเงินหลายพันบาทไปกับค่าไฟทุกเดือนหรือเปล่า” ข้อความนี้เป็นคำถามที่เจาะจงถึงปัญหาที่หลายคนอาจเผชิญอยู่ ทำให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยและอยากรู้ว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่
  2. สถิติที่น่าตกใจหรือขัดแย้ง
    ตัวอย่างเช่น “คนกรุงเทพฯ กว่า 80% ไม่เคยตรวจสุขภาพฟันเลยภายใน 3 ปีที่ผ่านมา!” ข้อความนี้แสดงตัวเลขที่ชัดเจนและน่าตกใจที่สามารถหยุดสายตาได้ทันที และทำให้ผู้อ่านประเมินตัวเองว่าอยู่ในสถิตินั้นหรือไม่
  3. ประโยคที่ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    ตัวอย่างเช่น “ทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักอาจผิดมาตลอด!” ข้อความนี้สร้างความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่มักมีความรู้หรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวถึง และต้องการรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ “ผิด” กันแน่
  4. คำสั่งที่ดึงดูดความสนใจโดยตรง
    ตัวอย่างเช่น “หยุด! ก่อนที่คุณจะเสียเวลาอีกครั้งกับการตลาดที่ไร้ผล” ข้อความนี้เป็นการออกคำสั่งที่ดุดันและตรงไปตรงมา แต่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผู้อ่านอาจเจอ ทำให้เกิดการหยุดชะงักและตั้งใจฟัง
  5. การกล่าวถึงปัญหาที่เจ็บปวด หรือ Pain Point
    ตัวอย่างเช่น “คุณเบื่อไหมกับการที่ธุรกิจของคุณไม่เติบโตเท่าที่ควร” ข้อความนี้เป็นการระบุถึงปัญหาหรือความเจ็บปวด (Pain Point) ที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเผชิญอยู่โดยตรง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าคอนเทนต์นี้ เข้าใจและพูดถึงสิ่งที่พวกเขากังวล

I – Interest (ความน่าสนใจ)

หลังจากที่คุณทำให้กลุ่มเป้าหมาย หยุดดูคอนเทนต์ของคุณได้ในขั้น “Attention” แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การ “รักษาความสนใจ” (Interest) ของพวกเขาไว้ไม่ให้เลื่อนผ่านไป นี่คือจุดที่คุณต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าคอนเทนต์ของคุณนั้น “เกี่ยวข้อง” กับพวกเขาและ “คุ้มค่า” ที่จะเสียเวลาอ่านหรือดูต่อ โดยในขั้นนี้คุณไม่ได้ต้องการขายของทันที แต่คุณต้องการสร้างความผูกพันกับผู้รับสารและทำให้พวกเขารู้สึกว่า “โอ้โหคอนเทนต์นี้พูดถึงฉันเลยนี่นา” หรือ “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากรู้!” โดยมีเทคนิคในการรักษาความน่าสนใจ ดังนี้

  • เน้นประโยชน์ ไม่ใช่แค่คุณสมบัติ
    แทนที่จะบอกว่าผลิตภัณฑ์ของคุณทำอะไรได้บ้าง ให้บอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร เช่น แทนที่จะบอกว่า “กล้องนี้มีเลนส์ 50mm” ให้พูดว่า “เก็บภาพความทรงจำที่คมชัดเหมือนจริง ในทุกๆรายละเอียดด้วยกล้องตัวนี้”
  • ใช้ข้อมูลที่น่าตกใจหรือสถิติที่น่าสนใจ
    ตัวเลขสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดความสนใจได้ดี เช่น “คนไทยกว่า 70% ประสบปัญหานอนไม่หลับ”
  • สร้างเรื่องราว
    มนุษย์เราชอบเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความสำเร็จของลูกค้า การเดินทางของแบรนด์ หรือสถานการณ์สมมติที่ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงได้ การเล่าเรื่องจะทำให้คอนเทนต์มีชีวิตชีวา และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น
  • กระตุ้นอารมณ์
    คอนเทนต์ที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกได้ เช่น ความหวัง ความกลัว ความสุข หรือความกังวล มักจะถูกจดจำได้ดีและทำให้ผู้คนอยากรู้เรื่องราวต่อไป
  • สร้างความอยากรู้อยากเห็น
    ให้ข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจแต่ไม่ทั้งหมด เพื่อให้ผู้อ่านอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม เช่น “ความลับที่แบรนด์ใหญ่ๆไม่เคยบอกคุณเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก”

ในขั้น “Interest” นี้ เป้าหมายของคุณ คือ การทำให้ผู้อ่านหรือผู้ชมรู้สึกว่าคอนเทนต์นี้ “เกี่ยวข้องกับพวกเขา” และ “มีคุณค่า” เพียงพอที่จะไปต่อยังขั้นตอนถัดไป เราลองมาดูตัวอย่างคอนเทนต์ที่สะกดผู้ฟังในการสร้าง “Interest” กันครับ

  1. การนำเสนอข้อเท็จจริงหรือข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ
    ตัวอย่างเช่น “งานวิจัยล่าสุดเผยว่าการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจถึง 2 เท่า นั่นหมายความว่าคุณกำลังใช้ชีวิตที่เสี่ยงโดยไม่รู้ตัว” เราจะเห็นว่าข้อความนี้เป็นการตอกย้ำปัญหาที่กล่าวถึงก่อนหน้า พร้อมนำเสนอข้อมูลที่น่าตกใจและเกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผู้อ่านอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
  2. การใช้เรื่องเล่าหรือสถานการณ์สมมติ ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ผู้อ่าน
    ตัวอย่างเช่น “ลองนึกภาพว่าคุณตื่นเช้ามาพร้อมผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง สดใส โดยไม่ต้องเสียเวลาแต่งหน้ามากมาย นั่นจะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป” ข้อความนี้สร้างภาพในใจของผู้ฟัง ทำให้พวกเขามีความรู้สึกร่วมและจินตนาการ ถึงประโยชน์ที่คอนเทนต์จะมอบให้ได้
  3. การชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาของผู้อ่านอย่างลึกซึ้ง
    ตัวอย่างเช่น “เราเข้าใจดีว่าการพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ในธุรกิจขนาดเล็กมันเหนื่อยแค่ไหน ทั้งงานเอกสาร การตลาด และการขาย จนแทบจะไม่มีเวลาหายใจ” ข้อความนี้แสดงออกถึงความเข้าใจในความยากลำบาก หรือความท้าทายที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเผชิญอยู่ สร้างความรู้สึกร่วมและทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า คุณเป็นพวกเดียวกับพวกเขา
  4. การสร้าง “Curiosity Gap” หรือช่องว่างของความอยากรู้อยากเห็น
    ตัวอย่างเช่น “เคล็ดลับที่แบรนด์ความงามระดับโลกซ่อนไว้ และทำไมคุณถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” ข้อความนี้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ามีข้อมูลลับ หรือความจริงบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้ และต้องการที่จะค้นพบมัน
  5. การตอกย้ำผลกระทบของปัญหาในชีวิตประจำวัน
    ตัวอย่างเช่น “ปัญหาการเงินไม่ได้แค่ทำให้เครียด แต่มันยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ การงาน และสุขภาพของคุณ อย่างที่คุณคาดไม่ถึง” ข้อความนี้ขยายผลกระทบของปัญหาให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยไม่ใช่แค่ปัญหาผิวเผินแต่ส่งผลลึกซึ้งต่อชีวิต ทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ปัญหา

D – Desire (ความต้องการ)

เมื่อคุณสามารถดึงดูด “Attention” และสร้าง “Interest” ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การจุดประกาย ความปรารถนาในตัวพวกเขา “Desire” ที่ไม่ใช่แค่การบอกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณทำอะไรได้บ้าง แต่เป็นการทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ต้องมี” สิ่งนั้น เพราะมันจะนำพาพวกเขาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น แก้ปัญหาที่กวนใจ หรือเติมเต็มความต้องการที่แท้จริง โดยในขั้นนี้คุณกำลังเชื่อมโยงประโยชน์ของสิ่งที่คุณนำเสนอ ให้เข้ากับความต้องการทางอารมณ์ และแรงบันดาลใจของผู้ฟัง หรือเป็นสะพานเชื่อมจากความเข้าใจ ไปสู่ความต้องการที่จะครอบครองสิ่งๆนั้น โดยมีเทคนิคในการจุดประกายความต้องการ ดังนี้

  • มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้
    แทนที่จะพูดถึงคุณสมบัติของสินค้า ให้บอกว่าสินค้านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้อย่างไร เช่น แทนที่จะบอกว่า “แอปพลิเคชั่นนี้มีระบบติดตามการออกกำลังกาย” แต่ให้พูดว่า “แอปพลิเคชั่นนี้ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัมใน 1 เดือน และรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น”
  • สร้างภาพอนาคตที่น่าปรารถนา
    พาผู้ฟังไปสู่โลกอนาคตที่ปัญหาของพวกเขาได้รับการแก้ไข หรือความฝันของพวกเขาเป็นจริงด้วยสิ่งที่คุณนำเสนอ
  • ใช้หลักฐานทางสังคม
    หลักฐานทางสังคมหรือที่เราเรียกว่า (Social Proof) Link เช่น คำรับรองจากลูกค้า (Testimonials) กรณีศึกษา (Case Studies) การรีวิว (Reviews) หรือการแสดงจำนวนผู้ใช้งาน (Users) จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของคุณให้ผลลัพธ์จริง
  • เน้นความพิเศษหรือความเฉพาะตัว
    ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าสิ่งที่คุณนำเสนอเป็นโอกาสพิเศษที่พลาดไม่ได้ หรือเป็นสิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
  • เปรียบเทียบ Before & After
    หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลชัดเจน การใช้ภาพหรือข้อมูลเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้งาน (Before & After) จะช่วยเสริมสร้างความปรารถนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความรู้สึกแบบ Fear of Missing Out (FOMO)
    ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจะพลาดอะไรไป หรือที่เราเรียกว่า Fear of Missing Out (FOMO) Link หากไม่ตัดสินใจตอนนี้ เช่น โอกาสพิเศษ ข้อเสนอที่จำกัด หรือการได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

ในขั้น “Desire” นี้ เป้าหมายของคุณ คือ การกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่า “ฉันต้องการสิ่งนี้!” ในใจของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนสุดท้าย คือ “Action” เราลองมาดูตัวอย่างคอนเทนต์ที่สะกดผู้ฟังในการสร้าง “Desire” กันครับ

  1. การวาดภาพอนาคตที่น่าปรารถนา
    ตัวอย่างเช่น “ลองจินตนาการถึงอิสระทางการเงินที่คุณจะได้รับ เมื่อธุรกิจของคุณสามารถสร้างรายได้ 6 หลักต่อเดือนได้โดยอัตโนมัติ” ข้อความนี้ชวนให้ผู้อ่าน จินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะได้รับ กระตุ้นความใฝ่ฝันและความปรารถนาที่จะไปถึงจุดนั้น
  2. เน้นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต
    ตัวอย่างเช่น “ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก แต่คือการได้รูปร่างใหม่ พลังงานที่เพิ่มขึ้น และความมั่นใจที่เปล่งประกายในทุกย่างก้าว” ข้อความนี้ขยายผลประโยชน์ให้เกินกว่าแค่คุณสมบัติพื้นฐาน ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่จับต้องได้ และมีคุณค่าทางอารมณ์
  3. การใช้หลักฐานทางสังคม (Social Proof)
    ตัวอย่างเช่น “ลูกค้ากว่า 10,000 รายทั่วประเทศยืนยันว่า ผิวหน้าของพวกเขากระจ่างใสขึ้นจริงภายใน 14 วัน พร้อมบอกลาปัญหาสิวเรื้อรังไปตลอดกาล!” ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าคนอื่นๆได้รับผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยากได้สิ่งนั้นบ้าง
  4. สร้างความรู้สึกของความพิเศษ
    ตัวอย่างเช่น “ค้นพบเคล็ดลับการลงทุนที่เศรษฐีระดับโลกใช้ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน” ข้อความนี้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังจะได้รับข้อมูล หรือโอกาสพิเศษที่คนอื่นไม่มี กระตุ้นความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มพิเศษ
  5. การเปรียบเทียบ Before & After
    ตัวอย่างเช่น “บอกลาผมแห้งเสียชี้ฟู แล้วต้อนรับเส้นผมนุ่มสลวย เงางาม มีน้ำหนัก” ข้อความนี้เป็นการสร้างภาพความแตกต่างที่ชัดเจน ระหว่างปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ กับผลลัพธ์อันน่าปรารถนาที่ผลิตภัณฑ์จะมอบให้

A – Action (การกระทำ)

เมื่อคุณสามารถดึงดูด “Attention” สร้าง “Interest” และจุดประกาย “Desire” ในใจของกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ขั้นตอนสุดท้าย ก็คือ การนำพาพวกเขาไปสู่ “Action” หรือการลงมือทำตามที่คุณต้องการ นี่คือจุดที่คุณจะเปลี่ยนความปรารถนาให้กลายเป็นการกระทำที่วัดผลได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า สมัครรับข่าวสาร ดาวน์โหลดเอกสาร หรือติดต่อสอบถาม โดยมีเทคนิคในการกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ดังนี้

  • ภาษาเชิงกระตุ้น
    ใช้คำกริยาที่แข็งแกร่งและกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหว
  • ความชัดเจน
    ระบุให้ชัดเจนว่าคุณต้องการให้ผู้อ่านทำอะไร “เพียงสิ่งเดียว” โดยหลีกเลี่ยง Call-to-Action (CTA) ที่หลากหลายเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความสับสน ตัวอย่างเช่น “สมัครเลยตอนนี้” “โทรหาเรา” หรือ “ซื้อสินค้า”
  • ความง่าย
    ทำให้ขั้นตอนการดำเนินการสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น การกรอกแบบฟอร์มสั้นๆ การคลิกปุ่มเพียงครั้งเดียว หรือการให้ข้อมูลที่จำเป็นน้อยที่สุด
  • ประโยชน์ที่ชัดเจน
    แม้จะอยู่ในขั้น Action แต่การย้ำเตือนถึงประโยชน์ ที่พวกเขาจะได้รับจากการลงมือทำ ก็ยังคงมีพลัง เช่น “รับคู่มือฟรีเพื่อเพิ่มยอดขายของคุณ 30%” หรือ “เริ่มเส้นทางสู่สุขภาพที่ดีวันนี้”
  • การลดความเสี่ยง
    ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะลงมือทำ เช่น “รับประกันคืนเงิน 30 วัน” “ทดลองใช้ฟรี” หรือ “ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต”
  • การสร้างความเร่งด่วนและความขาดแคลน
    เทคนิคของความเร่งด่วน (Urgency) และความขาดแคลน (Scarcity) Link นี้ จะกระตุ้นให้ตัดสินใจทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก เช่น “โปรโมชั่นนี้ถึงแค่สิ้นเดือนนี้เท่านั้น!” “เหลือเพียง 5 สิทธิ์สุดท้าย” “ราคาพิเศษสำหรับ 100 คนแรก”
  • ตำแหน่งของ CTA
    ควรวาง CTA ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน เข้าถึงง่าย และมีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นปุ่มใหญ่ๆ ลิงค์ที่โดดเด่น หรือคำพูดที่กระตุ้นความรู้สึก

ในขั้นของ “Action” นี้คุณต้องทำให้กระบวนการลงมือทำนั้น “ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้” และขจัดอุปสรรคหรือความไม่แน่ใจทั้งหมดออกไป เราลองมาดูตัวอย่างคอนเทนต์ที่ทำให้เกิดการกระทำ “Action” กันครับ

  1. การกระตุ้นให้ลงทะเบียน / สมัคร
    ตัวอย่างเช่น “ลงทะเบียนเพื่อรับสัมมนาออนไลน์ฟรี พร้อมเคล็ดลับพิเศษสำหรับ 100 ท่านแรกเท่านั้น!” ข้อความนี้เห็นชัดเจนว่าเป็นการกระตุ้นให้ลงทะเบียน เพื่อเข้าสัมมนาฟรี และมีของแถม (เคล็ดลับพิเศษ) พร้อมสร้างความเร่งด่วน (100 ท่านแรก)
  2. การชวนให้ทดลองใช้ / เข้าถึงสินค้า
    ตัวอย่างเช่น “คลิกที่นี่เพื่อทดลองใช้โปรแกรมบัญชีของเราฟรี 30 วัน โดยไม่มีข้อผูกมัด!” ข้อความนี้ระบุการกระทำ โดยให้ (คลิก) เพื่อแลกกับสิ่งที่ได้รับ (ทดลองใช้ฟรี) และลดความเสี่ยง (ไม่มีข้อผูกมัด)
  3. การกระตุ้นให้ซื้อ / สั่งซื้อ
    ตัวอย่างเช่น “สั่งซื้อตอนนี้และรับส่วนลดพิเศษ 20% เฉพาะวันนี้เท่านั้น!” ข้อความนี้ชัดเจนว่าให้สั่งซื้อ พร้อมมอบส่วนลด (20%) และสร้างความเร่งด่วน (เฉพาะวันนี้)
  4. การเชิญชวนให้ติดต่อ / ขอข้อมูลเพิ่มเติม
    ตัวอย่างเช่น “ติดต่อเราเพื่อนัดหมายปรึกษาปัญหาผิวฟรี! พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำเฉพาะคุณ” ข้อความนี้เห็นชัดเจนว่าอยากให้มีการติดต่อ เพื่อปรึกษาฟรีกับผู้เชี่ยวชาญ และเน้นความเป็นเฉพาะบุคคล
  5. การกระตุ้นให้ดาวน์โหลด
    ตัวอย่างเช่น “ดาวน์โหลด e-Book สุดยอดกลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย ฟรี! เพื่อยอดขายที่พุ่งทะยาน” ข้อความนี้ชัดเจนว่าอยากให้เกิดการดาวน์โหลด โดยระบุสิ่งที่ได้รับ (e-Book ฟรี) และเน้นผลลัพธ์ที่จะได้ (ยอดขายแบบพุ่งทะยาน)

ตัวอย่าง Landing Page ในรูปแบบต่างๆ

1. Online Course

เรามาลองดูตัวอย่างการเขียนคอนเทนต์ด้วย AIDA Model สำหรับเว็บไซต์สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ (Online Course) กันครับ

Coursera_Landing_Page

“คุณยังคงสร้างคอนเทนต์ที่ไม่มีใครสนใจอยู่หรือเปล่า”

ประโยคคำถามนี้พุ่งเป้าไปที่ ความเจ็บปวด (Pain Point) ของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เป็นการตั้งคำถามที่ชวนให้ฉุกคิดและรู้สึกว่า “ใช่เลย นี่คือปัญหาของฉัน!” เพื่อหยุดให้พวกเขาอ่านต่อ

“Creators ส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง”

จุดนี้เป็นการ “ตอกย้ำปัญหา” และ “สร้างความรู้สึกร่วม” โดยบอกว่าไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่ประสบปัญหานี้ แต่เป็นคนส่วนใหญ่เลยด้วยซ้ำ เป็นการยืนยันว่าบรรดา Creators เข้าใจโลกของพวกเขา และชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาอย่างคร่าวๆ เพื่อให้ผู้อ่านอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ “ถูกต้อง”

“ระบบของเราที่ได้รับการยอมรับจากนักเรียนกว่า 10,000 คน
ที่เปลี่ยนคอนเทนต์ธรรมดาๆ ไปสู่ Viral Content”

ในขั้นนี้ คือ การ “สร้างความปรารถนา” อย่างแรงกล้า โดยการนำเสนอ “ทางออก” ( Solution) ที่ชัดเจนและมี “หลักฐานทางสังคม (Social Proof) ด้วยจำนวนนักเรียนกว่า “10,000 คน” พร้อมทั้งวาดภาพ “ผลลัพธ์ที่น่าปรารถนา” (Desired Outcome) นั่นคือการเปลี่ยนจาก “ธรราดมๆ” ไปเป็น “Viral Content” ซึ่งตอบสนองความใฝ่ฝันของ Creators โดยตรง

“ลงทะเบียนเลยตอนนี้สำหรับคอร์สรุ่นต่อไป – ปิดรับใน 48 ชั่วโมง”

สุดท้าย คือ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุด พร้อมทั้ง “สร้างความเร่งด่วน” (Urgency) ด้วยการจำกัดเวลา “ปิดรับใน 48 ชั่วโมง” เพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจลงทะเบียนทันที โดยไม่ให้มีเวลาลังเลอีกต่อไป


2. อีเมล์แจ้งโปรโมชั่นบัตรเครดิต (อุตสาหกรรมการเงิน)

ในตัวอย่างที่สองเรามาลองดูตัวอย่างการเขียนคอนเทนต์ด้วย AIDA Model สำหรับอีเมล์จากธนาคารแห่งหนึ่ง ในการแจ้งโปรโมชั่นดีๆสำหรับการถือบัตรเครดิต

A_Man_Using_Credit_Card_for_Payment

“คุณกำลังพลาดสิทธิประโยชน์มูลค่าหลายหมื่นบาท
ที่รอให้คุณเป็นเจ้าของอยู่หรือไม่”

ในขั้นนี้ คือ การใช้คำถามที่กระตุ้นความอยากรู้และความรู้สึก “กลัวพลาด” (FOMO) เพื่อดึงดูดความสนใจ ของผู้ที่อาจกำลังมองหาสิทธิประโยชน์ทางการเงิน

“บัตรเครดิตทั่วไปอาจให้แค่คะแนนสะสม แต่บัตร XXX ของเรา
มอบประสบการณ์การเดินทางสุดพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี และส่วนลด
ร้านอาหารชั้นนำทั่วโลก”

ในขั้นนี้ คือ การสร้างความน่าสนใจด้วยการ “เปรียบเทียบ” (Compare) กับคู่แข่ง และชี้ให้เห็นถึง “ความแตกต่าง” (Difference) ที่เหนือกว่า ด้วยการเน้นสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

“ปลดล็อกโลกแห่งการเดินทางสุดหรู กับการรับประทานอาหารรสเลิศ
และความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ในทุกการใช้จ่ายของคุณ”

ในขั้นนี้ คือ การวาดภาพไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา และสะดวกสบายที่บัตรจะมอบให้ เน้นประสบการณ์และความรู้สึกที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ

“สมัครบัตร XXX วันนี้ รับฟรี! ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
ต่างประเทศ 1 ที่นั่ง (จำนวนจำกัด)”

ขั้นตอนสุดท้าย คือ การระบุ CTA ชัดเจน พร้อมมอบของรางวัลพิเศษที่ดึงดูดใจ “รับฟรี 1 ที่นั่ง” และสร้างความเร่งด่วนด้วยการให้แบบ “จำกัดจำนวน” (Limited Offer)


AIDA Model อาจจะดูเก่าแก่ไปซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย และมันยังคงใช้งานได้ผลดีมาก เพราะ AIDA Model เลียนแบบวิธีที่มนุษย์ประมวลผลและลงมือทำ ซึ่งนั่นก็คือ ดึงดูดความสนใจ รักษาความสนใจ กระตุ้นความปรารถนา จนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เกิดการกระทำนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

สร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วย 5W1H Framework กับกรอบความคิดสุดคลาสสิก

บทความนี้ผมจะเริ่มต้นด้วย หนึ่งในเครื่องมือที่เรียกว่าคลาสิก เรียบง่าย และทรงพลังที่สุด สำหรับการสร้างสรรค์ไอเดียคอนเทนต์ นั่นก็คือ 5W1H Framework ที่ใช้งานง่ายและยังปรับใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม ทุกกลุ่มเป้าหมาย และทุกรูปแบบคอนเทนต์ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด หรือ Content Creator โดย 5W1H Framework นี้จะช่วยให้คุณค้นพบมุมมองคอนเทนต์ ที่มีความหมายและตรงใจกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด


วางโครงสร้างคอนเทนต์เชิงกลยุทธ์ด้วย Hero-Hub-Help Model

Hero-Hub-Help Model ถือเป็นซีรี่ย์ตอนที่ 2 ของ “การสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วย Model / Framework” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งใน Model ที่ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จมากที่สุด ในการนำมาใช้เพื่อวางโครงสร้างคอนเทนต์ โดย Hero-Hub-Help (3H) นั้นถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุน ทั้งการเติบโตของแบรนด์และการมีส่วนร่วมของผู้ชมเมื่อเวลาผ่านไป


รูปแบบของ Real-Time Content กับการสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมให้กับแบรนด์

การทำ Real-Time Content ถึงเป็นหนึ่งในวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แนวโน้มที่เกิดขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคในขณะนั้น หรืออาจเกิดกระแสอะไรที่กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ กลยุทธ์ในลักษณะนี้จะช่วยให้แบรนด์สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมและผู้ติดตามได้อย่างทันท่วงที



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์