กลยุทธ์การใช้ Social Media สำหรับธุรกิจ B2B ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสไปสอนเรื่อง Creative Content Marketing: Zero to Hero รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็น Public Training ที่จัดโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และก็มีหลากหลายประเภทธุรกิจเข้าอบรมทั้งธุรกิจแบบ B2C และ B2B โดยมีคำถามน่าสนใจเกิดขึ้นเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) สำหรับธุรกิจ B2B ว่าจะทำอย่างไรให้การวางกลยุทธ์นั้นถูกต้องเหมาะสม เพราะเมื่อเทียบกับธุรกิจประเภท B2C ที่มีการสร้าง Engagement หรือการมีส่วนร่วมระหว่างเพจกับกลุ่มผู้ติดตามค่อนข้างจะมากกว่า B2B (ซึ่งนั่นก็ดูเป็นเรื่องปกติครับเพราะหนึ่งในปัจจัยที่สร้างให้เกิด Engagement ก็คือธรรมชาติของประเภทธุรกิจ และความน่าสนใจของสินค้าหรือบริการ รวมถึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยเช่นกัน)

ธุรกิจประเภท B2B จึงอาจต้องมีการวิเคราะห์รายละเอียดที่ลงลึกไปมากกว่า B2C เสียหน่อย เพื่อที่จะดูว่าหากจำเป็นต้องวางกลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์เป้าหมายทางการตลาด โดยหากคุณสามารถการวางกลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) กับธุรกิจประเภท B2B ได้อย่างเหมาะสม มีเป้าหมายชัดเจน และรู้ว่าจะวัดผลในมิติไหนบ้าง ก็จะทำให้วัตถุประสงค์ทางการตลาดและการของคุณประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ และบทความนี้จะชวนให้ผู้อ่านมาคิดวางแผนในเชิงกลยุทธ์กันครับ โดยเราจะมาเริ่มกันที่ Social Media Strategy Framework กันก่อนครับ

What's next?

เข้าใจคำว่า Social Media Strategy Framework

เข้าใจคำว่า Social Media Strategy Framework

อันที่จริง Strategy Framework ของ Social Media ทั้งแบบ B2B และ B2C ก็ไม่แตกต่างกันครับ ซึ่งจะกอบไปด้วย Why & What, Who & How โดยคุณในฐานะนักการตลาดและหากต้องการทำการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) ก็จำเป็นต้องยึดและทำความเข้าใจ Framework นี้เอาไว้อยู่ตลอด โดยที่

  • Why ก็คือ การเข้าใจถึงเหตุผลของการมีอยู่ของธุรกิจคุณ (ทำไมถึงต้องใช้สินค้าหรือบริการของคุณ)
  • What ก็คือ การเข้าใจเป้าหมายทางการตลาด (อยากจะให้เกิดอะไรขึ้นกับแบรนด์ / ธุรกิจ / ลูกค้าของคุณ)
  • Who ก็คือ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (ใครคือกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง พวกเขาต้องการอะไร และอะไรส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา)
  • Channel ก็คือ การเข้าใจการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (การเลือกช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่สร้างผลลัพธ์ดีๆให้กับธุรกิจ)
  • Content Strategy ก็คือ การเข้าใจวิธีการสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และคุณค่ากับกลุ่มเป้าหมาย
  • Amplification ก็คือ การเข้าใจถึงความสนใจและความชื่นชอบในโพสต์นั้นๆ (โดยส่งผลถึงการคอมเม้นท์ การแบ่งปัน การบอกต่อ)
  • Execution & Analysis ก็คือ การเข้าใจถึงกระบวนการรวมถึงเครื่องมือและตัววัดต่างๆ

หากขยายความจาก Framework ข้างต้นก็จะออกมาในลักษณะที่ผมกำลังจะอธิบายนี้ โดยขอเริ่มที่การระบุเป้าหมายของการทำการตลาดครับ (อาจจะไม่ได้ลงเจาะลึกไปในเรื่องของรายละเอียดมากนักนะครับ)


ระบุเป้าหมายการทำ Social Media สำหรับธุรกิจ B2B

เมื่อคุณรู้แล้วว่าคุณมีของดีอะไรที่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าในตลาดได้ โดยทุกๆครั้งเวลาจะทำธุรกิจอันดับแรกก็จำเป็นต้องระบุให้ชัดเจนก่อนว่าคุณมีเป้าหมายอะไร เพื่อที่จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้าหมายเหล่านั้นอยู่เสมอ โดยเป้าหมายสำหรับการวางกลยุทธ์ผ่านช่องทางบนโซเชียลมีเดีย (Social Media) นั้น ก็แยกย่อยออกมาได้อีกหลายอย่าง เช่น

  • เป้าหมายด้านการตลาด (Marketing Goal) เช่น สร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ให้ได้ 10,000 คน
  • เป้าหมายด้านการขาย (Sales Goal) เช่น เปลี่ยนเป็นยอดขาย / ยอดจองให้ได้ 100 คน
  • เป้าหมายด้านความสำเร็จของลูกค้า (Customer Success) เช่น การตอบสนองจากลูกค้า 100 คน
  • หรือ เป้าหมายด้านการได้มาซึ่งการเปิดรับพนักงาน (Talent Attraction) เช่น หาคนสมัครงานให้ได้ 20 คน

โดยปกติแล้วการวางกลยุทธ์ก็จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องของ Marketing Funnel Link รวมถึงการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) Link ด้วยนะครับ เช่น

โดยปกติ Marketing Funnel Link จะเริ่มตั้งแต่

  • Awareness การรับรู้ในแบรนด์ / ธุรกิจ / หรือรับรู้ว่ามีสินค้าหรือบริการใดที่สามารถแก้ไขปัญหาได้บ้าง
  • Interest เริ่มสนใจที่จะหาสินค้าหรือบริการมาช่วยแก้ไขปัญหา
  • Consideration เริ่มเข้าสู่การพิจารณาเริ่มมีการเปรียบเทียบข้อมูล ก่อนจะหันมาซื้อสินค้าหรือบริการ
  • Intent กลุ่มเป้าหมายมีความตั้งใจจะซื้อสินค้าหรือบริการ
  • Evaluation เป็นการประมวลผลครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
  • Purchase ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นที่เรียบร้อย
MKT-funnel-1

หากเป็น การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) Link ของธุรกิจประเภท B2B จะมีลักษณะดังนี้

  • Problem ลูกค้าตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
  • Awareness ลูกค้ารับรู้ว่ามีสินค้าหรือบริการที่แก้ปัญหาได้
  • Research ค้นหาข้อมูลเพื่อนำมาตัดสินใจ
  • Testing ทดลองใช้สินค้าหรือบริการต่างๆก่อนการตัดสินใจ
  • Pricing & Negotiation เจรจาต่อรองด้านราคาเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุด
  • Stakeholder Management นำเสนอกับทีมผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
  • Purchase ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นที่เรียบร้อย
B2B Customer Journey

เมื่อผสมผสานการตั้งเป้าหมายและการเข้าใจใน Marketing Funnel Link และ การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) Link ผมขอสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นโดยออกมาเป็น 3 เป้าหมายหลักในการวางกลยุทธ์บนโซเชียลมีเดีย (Social Media) ซึ่งได้แก่ 1. เป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) 2. เป้าหมายเพื่อสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วม (Engagement) 3. การสร้างโอกาสให้เกิดการซื้อสินค้า และการเปลี่ยนแปลงไปสู่การกระทำบางอย่าง (Lead Generation & Conversions) ซึ่งอาจจะเป็นยอดขาย การกดลิ้งค์ดาวน์โหลด การเข้ามาพูดคุยกับทีมงาน ดังนี้

1. สร้างการรับรู้ (Awareness)

การสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์หรือธุรกิจว่าคุณเป็นใคร มีสินค้าหรือบริการอะไรที่แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ถือเป็นขั้นตอนแรกโดยเฉพาะเมื่อคุณจะเริ่มทำธุรกิจใหม่ เพราะหากไม่มีใครรู้จักคุณก็คงไม่สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการและปูทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ โดยการสร้างการรับรู้ก็มีอยู่หลากหลายอย่าง เช่น

  • สร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใหม่ๆ
  • ให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใหม่ๆ
  • ดึงดูดให้ลูกค้าเห็นถึงรายละเอียดที่น่าสนใจที่มากยิ่งขึ้นของสินค้าหรือบริการ
  • สร้างการรับรู้ในทีมผู้บริหารที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ
  • แนะนำหรือบอกเล่าเรื่องราว / โครงการต่างๆของธุรกิจ

และตัวชี้วัด (Metrics) เบื้องต้นหลักๆที่เหมาะสมสำหรับการวัดผลการสร้างการรับรู้ (Awareness) บนโซเชียลมีเดีย (Social Media) ก็ได้แก่

  • การพูดถึง (Mentions) หรือจำนวนตัวเลขที่สินค้า / บริการ หรือชื่อแบรนด์ / ชื่อธุรกิจถูกพูดถึงบนช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media)
  • ปริมาณการค้นหา (Brand Search Volume) หรือจำนวนครั้งที่คนค้นหาคุณบนผ่าน Google ด้วย Keyword ที่มีชื่อแบรนด์ / ชื่อธุรกิจของคุณ โดยจะถูกนับก็ต่อเมื่อมีการค้นหาและคลิกเพื่อเข้าไปหน้าเว็บไซต์นั้นๆ
  • การเข้าถึง (Reach) หรือจำนวนรวมทั้งหมดของคนที่มองเห็นโพสต์บนโซเชียลมีเดีย (Social Media)

2. การมีส่วนร่วม (Engagement)

การมีส่วนร่วมต่างๆบนโซเชียลมีเดีย (Social Media) ถือเป็นหนึ่งตัวชี้วัด (Metrics) สำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนมองเห็นคอนเทนต์ที่คุณโพสต์ และนั่นแสดงให้เห็นว่าโพสต์แต่ละโพสต์นั้นมีคุณภาพมากขนาดไหน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญบนโซเชียลมีเดีย (Social Media) มากที่สุดวิธีหนึ่งก็ว่าได้ แม้ว่าการมีส่วนร่วมสำหรับธุรกิจประเภท B2B นั้นอาจไม่ได้สร้างให้เกิดการเติบโตอย่างจริงๆจังๆแบบตรงๆที่นำไปสู่ยอดขายอย่างมากมายก็ตาม และมันก็มีตัวชี้วัด (Metrics) สำคัญๆดังนี้

  • บทสนทนาที่เกิดขึ้น / อัตราการพูดถึง (Conversation / Comment Rate)
    โดยปกติเราจะดูค่าเฉลี่ยของจำนวนที่คนมาคอมเม้นต์หรือมีการตอบสนองใดๆกับแต่ละโพสต์ เช่น การพูดคุยหรือสอบถาม หากโพสต์ใดสามารถเข้าถึงแบบ Organic Reach ได้ก็จะยิ่งได้คะแนนสูงมากขึ้นเท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์ในแต่ละโพสต์นั้นมีคุณภาพมาก และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและผู้ติดตาม
  • ความชื่นชอบในตัวคุณ (Applause Rate)
    ตัวเลขที่แสดงถึงการกดไลค์ (Like) ในแต่ละโพสต์ ถึงแม้ว่าตัวชี้วัดยอดไลค์ (Like) จะไม่เป็นที่นิยมมากนักแล้วก็ตาม แต่หากมองดูดีๆมันก็สามารถบ่งบอกถึงความชอบในสิ่งที่คุณโพสต์ได้อยู่บ้าง
  • ความสนใจ / อัตราการแชร์ (Amplification / Share Rate)
    จำนวนตัวเลขของคนที่แชร์ต่อโพสต์ซึ่งนับเป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลังมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะมันหมายถึงว่าคอนเทนต์บนโพสต์นั้นๆมีค่ามากพอที่จะแชร์ให้คนอื่นๆได้รับรู้ จนอาจกลายเป็นไวรัลหรือการบอกต่ออย่างมหาศาลได้
  • การดู / ระยะเวลาการรับชมวีดิโอ (Video Views & Duration)
    ตัวเลขชี้วัดการดูวีดิโอของคุณซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีกี่คนที่โดนวีดิโอของคุณสะกดไว้ในระยะเวลาเท่าไหร่บ้าง ยิ่งใช้เวลาดูนานหรือครบความยาวของวีดิโอก็ถือว่าดีครับ เพราะนั่นหมายถึงความน่าสนใจ แต่การทำวีดิโอคอนเทนต์ก็ควรดึงดูดให้ได้ภายใน 3-5 วินาทีแรกด้วยเช่นกัน
  • จำนวนการคลิกต่อโพสต์ (Clicks Per Post)
    ตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าหัวข้อหรือสิ่งที่คุณเขียนนั้นมีความน่าสนใจมากพอจนมีคนกดเข้าไปดู (อาจเป็นการคลิกต่อไปยังช่องทางอื่นๆ เช่น กดลิงค์ไปยังเว็บไซต์ กดลิงค์ไปยัง YouTube หรือช่องทางอื่นๆ)

3. การสร้างโอกาสให้เกิดการซื้อสินค้า และการเปลี่ยนแปลงไปสู่การกระทำบางอย่าง (Lead Generation & Conversions)

Lead Generation หรือโอกาสการสร้างให้เกิดการซื้อสินค้า ที่นักการตลาดมักจะเรียกว่าการสร้าง Lead รวมไปถึงการสร้าง Conversion หรือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงไปสู่การกระทำบางอย่าง กับธุรกิจประเภท B2B ก็ถือว่าสำคัญมากครับเพราะถือว่าเป็นขั้นแรกของโอกาสในการกลายมาเป็นลูกค้าที่แท้จริง แม้ว่าอาจต้องผ่านการกรองอีกหลายขั้นตอนหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งมีตัวชี้วัด (Metrics) ดังนี้

  • ต้นทุนต่อการได้มาต่อ Lead (Cost Per Lead – CPL)
    ตัวชี้วัดแรกคือการที่คุณเสียเงินไปแต่ละครั้งเพื่อแลกกับการได้มาซึ่ง Lead 1 Lead สำหรับการซื้อโฆษณาในแบบต่างๆ โดยสามารถนำไปใช้ได้กับทุกๆโซเชียลมีเดีย (Social Media) และลองคำนวณดูครับว่าในแต่ละช่องทางอันไหนมันคุ้มค่ามากกว่ากัน
  • Lead ที่มีคุณภาพ (Marketing Qualified Leads – MQL)
    การสร้าง Lead ให้กับทีมขายยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่หลายๆครั้ง Lead ที่ได้มากลับไม่ใช่และไม่มีคุณภาพทำให้เสียทั้งงบประมาณและเวลา ดังนั้นหนึ่งในตัวชี้วัด (Metrics) ที่ดีก็คือ การได้มาซึ่ง Lead ที่มีคุณภาพเพื่อยืนยันว่าคุณนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องได้อย่างแท้จริง
  • มูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้า (Customer Lifetime Value – CLV หรือ LTV) Link
    การที่ลูกค้านั้นสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณในช่วงชีวิตหนึ่ง โดยหากพูดตรงๆก็คือการที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของธุรกิจมาโดยตลอด โดยหากคุณสามารถคาดการณ์ CLV ล่วงหน้าได้ ก็จะสามารถนำมาผสมผสานและนำมาวัดผลบนโซเชียลมีเดีย (Social Media) เพื่อวัด ROI ได้ดีมากขึ้น
  • อัตราการปิดการขายในแต่ละช่องทาง (Close Rate Per Channel)
    ตัวชี้วัดนี้จะแสดงให้เห็นว่าช่องทางไหนที่สร้าง Lead ได้ดีที่สุด จนกลายมาเป็นยอดการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อที่คุณจะได้เลือกช่องทางและทุ่มงบประมาณได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด
วิธีวัดผล KPI บนโลกโซเชียล มีเดีย


การระบุกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจประเภท B2B

การระบุกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจประเภท B2B

ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวครับสำหรับการระบุกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจประเภท B2B บนโซเชียลมีเดีย (Social Media) เพราะอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างจากธุรกิจประเภท B2C อยู่บ้าง แต่หลักๆแล้วคุณต้องเข้าใจเรื่องของ Persona Link มาก่อนอยู่ดี และธรรมชาติของ B2B นั้นกลุ่มเป้าหมายจะใช้เวลาพิจารณาค่อนข้างนานกว่า จึงมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั่นเอง โดยมันก็มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้ลองพิจารณา ดังนี้

  • อย่าลืมครับว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจประเภท B2B นั้นมีหลายกลุ่มมาก ซึ่งมันก็มีผลต่อการคิดคอนเทนต์ การวางแผนการโพสต์คอนเทนต์ การวางแผนการซื้อโฆษณา และอื่นๆ เช่น
    • กลุ่มที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าในอนาคต (Prospects)
    • กลุ่มลูกค้า (Customers)
    • พนักงาน (Employees)
    • กลุ่มที่คาดว่าจะเป็นพนักงานในอาคต (Potential employees)
    • คู่ค้าทางธุรกิจ (Partners)
    • กลุ่มคนในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Industry peers)
    • อื่นๆ (Others)
  • ระบุให้ชัดเจนว่าใครกันแน่คือกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ พวกเขามีบทบาทอย่างไรในธุรกิจที่คุณต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น
  • เลือกช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ รวมไปถึงการเลือกคอนเทนต์ที่ตรงตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
  • เลือกการสื่อสารให้ชัดเจนและใช้ Key Message ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ไม่ควรใช้ Key Message เดียวกับทุกๆกลุ่มเป้าหมายในการสื่อสาร โดยเฉพาะเมื่อคุณวางแผนการซื้อโฆษณา (Paid Advertising)
What's next?

ช่องทางโซเชียลมีเดียสำหรับธุรกิจ B2B

ทีนี้ก็เป็นขั้นตอนของการเลือกช่องทางในการโปรโมทธุรกิจที่เหมาะสมกับธุรกิจประเภท B2B ครับ โดยหลักๆแล้วในธุรกิจประเภท B2B นั้น จะไม่ได้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) มากมายเท่ากับธุรกิจประเภท B2C แต่จะเลือกหลักๆแค่เพียง 1 ช่องทาง และมีเสริมๆอีก 1-2 ช่องทาง ซึ่งผมได้สรุปแบบภาพรวมให้เห็นว่าแต่ะละช่องทางนั้น สามารถทำอะไรกับการโปรโมทธุรกิจได้บ้าง ดังนี้

1. LinkedIn สำหรับธุรกิจ B2B

LinkedIn ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นแหล่งรวมกูรูและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่ดีมากที่สุดระดับโลกแพลตฟอร์มหนึ่ง โดยนักการตลาดทั่วโลกกว่า 93% ระบุว่า LinkedIn ช่วยในเรื่องของ Lead Generation ได้ดีทีเดียว ซึ่งเหมาะกับการโปรโมทธุรกิจประเภท B2B มากๆ ที่มีโอกาสในการสร้าง Qualified Lead มาสู่ธุรกิจของคุณได้ดีกว่าช่องทางอื่นๆ และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ระดับบุคคลได้แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งเหมาะมากในการโปรโมทข่าวสารกิจกรรมความก้าวหน้าของธุรกิจรวมไปถึงการนำเสนอสินค้าหรือบริการใหม่ๆ โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • โพสต์คอนเทนต์ใหม่ๆทั้งในรูปแบบข้อความหรือวีดิโอ (ข่าวสาร / แนวโน้ม / บทวิเคราะห์ / อื่นๆ)
  • สร้างการมีส่วนร่วมด้วยการทำโพลสำรวจความคิดเห็น
  • ทำเป็นรูปแบบ Employee Advocacy Program หรือการสนับสนุนให้พนักงานโปรโมทธุรกิจด้วยโปรไฟล์ส่วนตัว
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพ LinkedIn ของคุณด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ที่สามารถสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้ที่สนใจ
  • การเขียนบทความขึ้นมาใหม่หรือการ Re-post คอนเทนต์ดีๆเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ
LinkedIn สำหรับธุรกิจ B2B

2. Facebook สำหรับธุรกิจ B2B

สำหรับ Facebook นับว่าเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Social Media) อันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทยหากไม่นับรวม YouTube ครับ และแน่นอนว่าแทบจะทุกธุรกิจที่เป็น B2B ในสมัยนี้ต้องมีการโปรโมทธุรกิจผ่าน Facebook ไม่มากก็น้อยตามลักษณะของแต่ละธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถโปรโมทธุรกิจได้ในลักษณะนี้

  • การซื้อโฆษณาถือเป็นวิธีในการโปรโมทที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยคุณสามารถระบุวัตถุประสงค์และกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ค่อนข้างละเอียด ที่จะช่วยให้วัดผลได้ง่ายมากขึ้น
  • การเข้าไปร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ (Group) ซึ่งนั่นนับเป็นแหล่งรวมคนในอุตสาหกรรมเดียวกับคุณ และเป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องนั้นๆ
  • ทำวีดิโอคอนเทนต์ดีๆไม่ว่าจะเป็น Reels, Live หรือการซื้อโฆษณาแบบ Video Ads (อย่าลืมนะครับว่า Video Content นั้นสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ) ลองดูเทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการโปรโมทธุรกิจบน Facebook ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
Facebook สำหรับธุรกิจ B2B

3. Twitter สำหรับธุรกิจ B2B

Twitter อาจไม่ได้สร้าง Traffic มากเท่าที่ควรแต่มันได้มาซึ่งการสร้างความสัมพันธ์อันดีมากกว่าครับ โดยในแต่ละวันนั้นมีการทวีตข้อความต่างๆกว่า 500 ล้านทวีต ผู้คนทั่วโลกสามารถเห็นและรับรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้แบบวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว ในหลายๆครั้งธุรกิจสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ลูกค้าบ่นลง Twitter ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทำ Social Listening Link ได้ดีมากที่สุดแหล่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ และกว่า 87% ของนักการตลาดทั่วโลกนั้นใช้ Twitter เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ดังนี้

  • สร้างตัวตนและโทนรวมถึงน้ำเสียงของแบรนด์หรือธุรกิจเพื่อใช้ในการสื่อสารให้โดดเด่น
  • ใช้ความคิดสร้างสรรค์กับการออกแบบคอนเทนต์ทั้งข้อความและรูปภาพให้ดึงดูดผู้ใช้งาน
  • เล่นกับ Trends หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
  • แชร์วีดิโอคอนเทนต์ต่างๆ
  • ทวีตให้ถูกจังหวะถูกเวลาและเนื้อหาที่เหมาะสม
  • ลองดูเทคนิคเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
Twitter สำหรับธุรกิจ B2B

4. Instagram สำหรับธุรกิจ B2B

แม้ว่า Instagram ดูแล้วอาจเหมาะกับธุรกิจประเภท B2C เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้กับ B2B ไม่ได้ถูกไหมครับ โดย Instagram ก็ยังถือว่าเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Social Media) อันดับต้นๆอยู่ดีที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังมีตัวเลขสถิติยืนยันว่าคนที่เล่น Instagram กว่า 200 ล้านคน จะเข้ามาดูโปรไฟล์ของธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง 60% ของคนทั่วไปจะเข้ามาหาสินค้าใหม่ๆบน Instagram และกว่า 80% ของผู้ใช้งาน Instagram บอกว่า Instagram สร้างสามารถสร้างให้เกิดการตัดสินใจซื้อเลยทีเดียว ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียวครับสำหรับธุรกิจ B2B ซึ่งมันก็มีวิธีการใช้ Instagram สำหรับ B2B ดังนี้

  • การแชร์ Success Stories หรือความสำเร็จที่ธุรกิจมอบให้กับลูกค้า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและดึงดูดให้ผู้ติดตามเกิดความสนใจ
  • ลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรดูบ้าง ซึ่งมันค่อนข้างสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ไม่น้อย
  • ใช้ Instagram Stories ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
  • ใช้ Reels เพื่อสร้าง Organic Reach สำหรับคอนเทนต์ต่างๆ
  • ลองดูเทคนิคเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
Instagram สำหรับธุรกิจ B2B

Source: Coschedule IG

5. TikTok สำหรับธุรกิจ B2B

แพลตฟอร์มที่มาแรงและเติบโตเร็วที่สุดอย่าง TikTok ในช่วงแรกอาจยังมองไม่ออกว่าจะนำมาทำอย่างไรกับการโปรโมทธุรกิจ ซึ่งดูแล้วน่าจะเหมาะกับการสร้าง Personal Brand มากกว่า แต่ในช่วงหลังๆแบรนด์และธุรกิจต่างๆต่างก็ได้นำความคิดสร้างสรรค์มาใช้กับการทำคอนเทนต์ในแบบต่างๆ จนได้รับความนิยมและกลายเป็นช่องทางหนึ่งในการวางกลยุทธ์การตลาดอันดับต้นๆ ซึ่งสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมได้เยอะมากๆในระยะเวลาอันรวดเร็ว TikTok จึงเหมาะกับการสร้างคอนเทนต์เพื่อไปสู่ความเป็น Viral และยังช่วยสร้าง Organic Reach ได้ดีอีกด้วย โดยสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจ B2B ได้ดังนี้

  • ทำคอนเทนต์ที่แสดงถึงความแท้จริงหรือในแบบฉบับตัวเองที่ไม่เหมือนใคร (Authentic & Original) และสื่อสารออกมาให้ง่ายที่สุด (Simple) ทำได้ในรูปแบบ Lifehack, How to, Tips เป็นต้น
  • แชร์ประสบการณ์ของผู้ใช้เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอารมณ์ เพื่อนำไปสู่การได้รับบริการอะไรใหม่ๆ
  • ทำคอนเทนต์ประเภทสอนการใช้สินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า
  • ลองดูเทคนิคอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
TikTok สำหรับธุรกิจ B2B

Source: @tatechtips

เห็นไหมครับว่าในธุรกิจประเภท B2B นั้นจะมีรายละเอียดและความซับซ้อนมากกว่า B2C อยู่บ้าง แต่ก็ยังใช้พื้นฐานและหลักการคล้ายๆกันในการวางกลยุทธ์บนโซเชียลมีเดีย (Social Media) โดยหากดูดีๆแล้วจะเห็นว่าเทคนิคต่างๆของโซเชียลมีเดีย (Social Media) แต่ละแพลตฟอร์มนั้นสามารถนำมาใช้กับทุกๆแพลตฟอร์มได้เช่นกัน ที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ การคิดเป็นเชิงกลยุทธ์ด้วยการการเข้าใจในตัวธุรกิจ เป้าหมายของธุรกิจ / การตลาด กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง การเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสม คอนเทนต์ต้องใช่ สร้างความน่าสนใจได้ และสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจนนั่นเองครับ


Share to friends


Related Posts

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ Content Marketing สำหรับธุรกิจ B2B

ใครว่าการทำคอนเทนต์ (Content Marketing) ไม่สำคัญก็คงจะคิดผิดถนัดโดยเฉพาะหากคุณอยู่ในธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) ที่เป็นการทำธุรกิจระหว่างธุรกิจด้วยกันโดยต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ ซึ่งมันแตกต่างกับธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Customer) ที่เป็นการขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง


ทำความรู้จัก B2B Customer Journey

ธุรกิจแบบ B2B หรือ Business-to-Business นั้นมีความแตกต่างกับธุรกิจแบบ B2C ค่อนข้างมาก โดยในเรื่องของกระบวนการและความรวดเร็วในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งมันก็คือเรื่องของ Customer Journey หรือการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดกระบวนการขายและใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ โดย Customer Journey ของธุรกิจแบบ B2B ในแต่ละอุตสาหกรรมนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป


วิธีเริ่มต้นทำ Native Advertising สำหรับธุรกิจ B2B

Native Advertising หรือรูปแบบการโฆษณาด้วยคอนเทนต์ที่เป็นโยชน์มากกว่าเน้นขายของแบบหนักหน่วง ถือว่ามาแรงมากในพักหลังและนักการตลาดก็นิยมนำมาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์รวมถึงธุรกิจประเภทต่างๆ และดูเหมือนว่าจะดูน่าสนใจกว่าโฆษณาประเภทแบนเนอร์ (Banner Ads) ไปเสียอีกซึ่งก็แน่นอนว่ามันส่งผลให้เกิด Conversion ไปสู่ยอดขายได้ดีขึ้น



copyright 2024@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์