การโฆษณาในยุคใหม่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และนับว่าเป็นยุคที่เป็นการบรรจบกันของเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งได้ก่อให้เกิดยุคแห่งการปฏิวัติรูปแบบของการโฆษณา โดยการผสมผสานโลกเสมือนจริง (Virtual) และโลกทางกายภาพ (Physical World) ได้อย่างราบรื่น แคมเปญทางการตลาดอันล้ำสมัยเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่แสดงให้เห็นศักยภาพอันน่าทึ่งของ Augmented Reality (AR) และ Computer-Generated Imagery (CGI) เพื่อสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ดื่มด่ำและน่าจดจำ และเรากำลังอยู่ในโลกของ Hyper Realistic Ads หรือ โฆษณาแบบสมจริงเกินจริง นั่นเอง
อะไรคือ Hyper Realistic Ads
หากแปลให้ตรงตัวคำว่า Hyper Realistic Ads จะหมายถึงโฆษณาที่สมจริงจนดูเกินจริง ซึ่งเป็นโฆษณาประเภทหนึ่งที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเทคนิคการสร้างสรรค์เพื่อสร้างภาพที่เหมือนจริงและมีรายละเอียดชัดเจน และแทบจะแยกไม่ออกจากชีวิตจริง โฆษณาเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สุดดื่มด่ำให้กับผู้ชม (Immersive Experience) จนทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ที่โฆษณาออกมานั้นดูเป็นรูปธรรมและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยลักษณะสำคัญของโฆษณาแบบ Hyper Realistic Ads ได้แก่
- ภาพความละเอียดสูง การใช้ภาพและวิดีโอที่มีความละเอียดสูงเพื่อเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
- Photorealism การสร้างภาพที่เลียนแบบฉากและวัตถุในชีวิตจริงอย่างใกล้ชิด
- CGI ขั้นสูง ภาพที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟกต์ที่สมจริง
- ความใส่ใจในรายละเอียด การมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น พื้นผิว แสง และเงา เพื่อเพิ่มความสมจริง
- Visual Effects การผสมผสานเอฟเฟกต์ที่ทำให้ฉากน่าดึงดูดและสมจริงยิ่งขึ้น
- Augmented Reality (AR) การใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงที่นำวัตถุต่างๆมาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
Augmented Reality (AR) ถือเป็นเทคโลยีที่สำคัญของ Hyper Realistic Ads ซึ่งครั้งหนึ่งเคยจำกัดอยู่แค่เพียงแอปพลิเคชั่นเกม ก็ได้ถูกพัฒนาเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสำหรับนักการตลาด ที่เชื่อมช่องว่างที่ห่างไกลระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงให้ใกล้กันมากขึ้น ด้วยการที่ผู้บริโภคสามารถใช้สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวเพื่อดูว่ารองเท้าผ้าใบมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร หรือการสัมผัสประสบการณ์ทัวร์เสมือนจริง (Virtual Tour) ของจุดหมายปลายทางก่อนจองการเดินทางไปยังสถานที่เหล่านั้น ตัวอย่างแบรนด์ที่นำ AR มาใช้สร้างประสบการณ์ เช่น IKEA ที่ได้รวม AR เข้ากับแอปพลิเคชั่นของตน ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพเฟอร์นิเจอร์ในบ้านของตนเองก่อนตัดสินใจซื้อ
Computer-Generated Imagery (CGI) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญในการสร้างความสมจริงของภาพที่เหนือชั้น การเกิดขึ้นของ CGI ได้ยกระดับการเล่าเรื่องด้วยภาพ (Visual) ให้สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยแบรนด์ต่างๆสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของความเป็นจริงได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน อาทิ Gucci ที่ได้นำ CGI มาใช้เพื่อสร้างแคมเปญที่เหนือจริงและเหมือนอยู่ในความฝัน ความสามารถในการปรับเปลี่ยนแสง พื้นผิว และการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างโฆษณาบนโลกดิจิทัลที่ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจเท่านั้น แต่ยังแยกไม่ออกจากความเป็นจริงอีกด้วยว่าอันไหนคือของจริงอันไหนคือสิ่งที่ CGI สร้างขึ้นมา
Source: https://yordstudio.com/cgi-ads-are-the-new-viral-marketing-benefits-and-top-examples/
สำหรับการทำ CGI กับงานโฆษณาแบบดิจิทัลในสมัยนี้ หากนำมาผสมผสานกับสื่อโฆษณาภายนอกบ้านหรือที่เราเรียกว่า Out-of-Home (OOH) ก็จะมีคำนิยามศัพท์ใหม่เป็นคำว่า FOOH หรือ Fake/Fuax-Out-of-Home หากแปลเป็นภาษาไทยก็คือ สื่อโฆษณาภายนอกบ้านแบบปลอมๆหลอกๆ โดยโฆษณา FOOH เป็นโฆษณาประเภทหนึ่งที่ใช้ภาพที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นเพื่อสร้างภาพลวงตาบนโฆษณาภายนอกบ้าน (OOH) แบบดั้งเดิม โฆษณาเหล่านี้จะถูกแทรกลงในภาพถ่ายหรือวิดีโอของสถานที่จริงในรูปแบบดิจิทัล ทำให้ดูเหมือนโฆษณานั้นปรากฏอยู่ในสถานที่เหล่านั้นจริงๆ ซึ่งทำได้ผ่าน CGI ขั้นสูงเพื่อให้แน่ใจว่าโฆษณาจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นธรรมชาติ โฆษณา FOOH นั้นสร้างความสมจริงโดยการใช้เทคโนโลยี AR และ CGI ล่าสุด เพื่อสร้างแคมเปญที่สมจริงแบบเกินจริงที่เชื่อมต่อกับลูกค้าของแบรนด์คุณในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากหลายๆคนอาจบอกว่า Hyper Realistic Ads หรือ Fake/Fuax-Out-of-Home (FOOH) คือ รูปแบบเดียวกันก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะจริงๆแล้วมันมีความหมายอย่างเดียวกันนั่นเอง
Source: https://yordstudio.com/cgi-ads-are-the-new-viral-marketing-benefits-and-top-examples/
โฆษณาเหล่านี้มักจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆที่เน้นเรื่องของการสร้างประสบการณ์และความแปลกใหม่ และแน่นอนครับว่าต้องมีงบประมาณมากพอในระดับหนึ่ง เช่น ยานยนต์ แฟชั่น อสังหาริมทรัพย์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับไฮเอนด์ โดย Hyper Realistic Ads จะช่วยกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในกลยุทธ์การโฆษณาและการทำการตลาดสมัยใหม่
Hyper Realistic Ads กับการสร้างประสบการณ์ลูกค้า
การผสมผสานระหว่าง AR และ CGI ในโฆษณาที่สมจริง ได้ปฏิวัติวิธีที่ผู้บริโภคมีปฎิสัมพันธ์หรือการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Engagement) นอกเหนือจากการสังเกตเฉยๆ ผู้ใช้ยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเล่าเรื่อง ส่งเสริมการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับผลิตภัณฑ์และบริการที่พวกเขาพบ ผลลัพธ์? ความภักดีต่อแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ได้รับการปรับปรุง และอัตราการคอนเวอร์ชั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เพิ่มพลังของการเล่าเรื่องราว
Hyper Realistic Ads ช่วยให้แบรนด์ต่างๆสามารถบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่สะท้อนอารมณ์ของผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ผู้ผลิตรถยนต์หรูหราอย่าง BMW ก็ได้ใช้ CGI มาทำโฆษณาเพื่อแสดงให้เห็นถึงรถยนต์ของตนในภูมิประเทศต่างๆที่น่าทึ่ง ผู้ใช้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องราว และสร้างการเชื่อมต่อที่นอกเหนือไปจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ลองดูตัวอย่างได้ที่นี่ครับ >> https://www.bmw.com/en/events/nextgen/global-collaboration.html
สร้างการมีส่วนร่วมแบบ Interactive
AR ช่วยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ในประสบการณ์แบบใหม่ทั้งหมด แบรนด์เครื่องสำอางอย่าง L’Oréal ได้รวมเทคโนโลยี AR เอาไว้ในแอปพลิเคชั่นที่ชื่อ Virtual Try-Ons ทำให้ผู้ใช้สามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์แต่งหน้าได้แบบเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ การลองใช้แบบเสมือนจริง การสาธิตที่มีการตอบโต้กัน ที่สร้างความรู้สึกคุ้นเคยกับแบรนด์ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความไม่พอใจหลังการซื้อได้
Source: https://www.lorealparisusa.com/virtual-try-on-makeup
การแสดงภาพผลิตภัณฑ์โดยละเอียด
ด้วยความที่เป็น CGI ขั้นสูงทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดผลิตภัณฑ์ รวมถึงพื้นผิว สี และคุณสมบัติต่างๆได้ละเอียดมากขึ้นและช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น เพราะความชัดเจนเหล่านี้ช่วยลดความไม่แน่นอนและเพิ่มความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์
ระลึกถึงแบรนด์ได้ดีมากขึ้น
ลักษณะที่โดดเด่นและน่าจดจำของโฆษณาแบบ Hyper Realistic Ads สามารถนำไปสู่การจดจำและการระลึกถึงแบรนด์ได้ดีขึ้น ในความเป็นผู้นำเสนอสิ่งใหม่ที่แตกต่าง ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อประสบการณ์ด้านการรับรู้โดยรวมของลูกค้า
ภาพลักษณ์ในสายตาลูกค้า
ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในงานโฆษณาที่สมจริง สามารถวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นที่เน้นความเป็นนวัตกรรมและมีความล้ำสมัยได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการรับรู้ของลูกค้าเกี่ยวกับแบรนด์ ให้สอดคล้องกับคุณภาพและความทันสมัยที่นำมาใช้ ซึ่งสามารถยกระดับประสบการณ์โดยรวมกับแบรนด์ได้
ตัวอย่าง Hyper Realistic Ads
เมื่อเราเข้าใจกันแล้วว่า Hyper Realistic Ads หรือ Fake/Fuax-Out-of-Home (FOOH) นั้นคืออะไร และมันช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้อย่างไร เราลองมาดูตัวอย่างเจ๋งๆจากทั่วโลกกันครับ
Barbie CGI Ad – Burj Khalifa
ภาพยนตร์ “Barbie” ของ Greta Gerwig ถือเป็นระดับ Master Class ในด้านการตลาดครับ โดยมีการทำแคมเปญต่างๆ เช่น AirBnB สีชมพู, Google สีชมพู และเบอร์เกอร์สีชมพู โดยแบรนด์ Burger King และในช่วงปี 2023 “ตุ๊กตาที่รักมากที่สุดในโลกอย่าง Barbie” ก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยโฆษณา CGI แบบ 3 มิติขนาดยักษ์หน้าตึก Burj Khalifa ซึ่งเป็นตึกระฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดูไบ โฆษณาดังกล่าวนำเสนอตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหญ่ที่ก้าวออกมาจากบรรจุภัณฑ์ของ Mattel โดยสวมชุดจั๊มสูทเกาะอก รองเท้าส้นสูงสีดำ และแว่นกันแดดทรงแคทอายสีขาว ด้วยรายละเอียดที่สมจริงและแอนิเมชั่นที่ไหลลื่นไม่มีสะดุด โฆษณา Hyper Realistic Ads หรือ Fake/Fuax-Out-of-Home (FOOH) จึงกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เข้ามาดูมากกว่า 3.5 ล้านครั้งบน Instagram
Maybelline ที่นอกเหนือจากการเป็นที่รู้จักเรื่องผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางคุณภาพสูงแล้ว ก็ยังมีแคมเปญการตลาดที่กลายเป็นไวรัล เมื่อเร็วๆ โดยการที่แบรนด์โฆษณาโปรโมท Lash Sensational Sky High Mascara โดยมีการติดขนตาบนตู้รถไฟแล้ววิ่งผ่านแท่งมาสคาร่าที่ยื่นออกมาจากบิลบอร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปาดขนตาแบบสมจริง และยังทำในลักษณะเดียวกันกับรสบัสสองชั้นที่มีขนตาขนาดใหญ่ติดอยู่ตรงหัวรสบัสแล้ววิ่งผ่านแท่งมาสคาร่าขนาดใหญ่ ที่ยื่นออกมาจากอาคารทำให้ขนตาดูเป็นปัดมาสคาร่าที่ดูน่าทึ่ง ซึ่งการทำ CGI นั้นเหมือนจริงมากจนหลายคนเชื่อว่าขนตานั้นเป็นของจริง และด้วยความนิยมและการค้นหาที่เพิ่มขึ้นทำให้ Maybelline Mag โพสต์ว่า “ชาวลอนดอนไม่ควรออกไปค้นหาขนตาขนาดยักษ์ในตอนนี้!” เพราะมันไม่ได้เป็นของจริงนั่นเอง
ย้อนกลับไปช่วงฤดูร้อนปี 2023 L’Oreal เข้าไปติดอันดับชาร์ตผู้ชมด้วยโฆษณาที่โปรโมท Infallible Matte Resistance Liquid Lipstick ตัวใหม่ ในโฆษณามีรถ Citroën 2CV ขับไปตามถนน โดยมีลิปสติกสีแดงของ L’Oreal ขนาดยักษ์อยู่ด้านหลัง และขณะที่รถเคลื่อนที่ลิปสติกจะทาเป็นเส้นสีแดงสดใสบนท้องถนน ตอกย้ำลักษณะที่ยั่งยืนติดทนนานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ L’Oreal มอบให้กับลูกค้าที่เป็นลิปสติกที่ทิ้งเม็ดสีที่ติดทนนานไว้บนถนนแม้จะมีพื้นผิวที่ขรุขระ ลิปสติกจะคงอยู่บนริมฝีปากในทำนองเดียวกันโดยไม่เลอะเลือนหรือซีดจางไป โฆษณาเน้นย้ำว่าลิปสติก Infallible Matte Resistance ติดทนนานถึง 16 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากรอยเปื้อนที่ทิ้งไว้บนพื้นยางมะตอย ผู้คนต่างประทับใจกับคำมั่นสัญญาว่าจะได้ลิปสติกที่ติดทนนานและป้องกันรอยเปื้อนได้ ซึ่งมียอดผู้ชมถึง 3.5 ล้านครั้งภายในสองวัน
Source: Laysthailand TikTok
Lay’s Stax ที่เปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้า BTS ให้กลายเป็นขบวนรถ Lay’s Stax หลากสีสัน และยังมีอีกหลากหลายโฆษณาที่ Lay’s ทำขึ้นมาในลักษณะของ Hyper Realistic Ads ที่กลายเป็นกระแสไวรัลอีกมากมาย
Vaseline Gluta Hya แนะสูตรใหม่ล่าสุดที่ทำออกมาได้น่าสนใจและสมจริง โดยมีการผสมผสานบริบทแวดล้อมจริงๆ ที่พอผลิตภัณฑ์เลื่อนผ่านผิวถนนทันใดนั้นผิวถนนก็เกิดความเรียบเนียนในทันที ตรงกับแนวคิดของ Vaseline ที่เป็นสูตรที่ทำมาเพื่อบำรุงให้ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส และยังมีอีกหลายโฆษณาที่ทำเป็น Hyper Realistic Ads ที่น่าสนใจ ลองติดตามดูได้ที่ Facebook ของ Vaselin ครับ