AI_Generated_Image_of_People_Looking_at_Smartphone

การตลาดแบบ Seeding Marketing เป็นหนึ่งวิธียอดนิยมบนโลกการตลาดดิจิทัล ที่ได้รับการยกย่องในด้านความสามารถในการส่งเสริมการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness) Link การสร้างความน่าเชื่อถือทางสังคม (Social Proof) Link และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก แต่เบื้องหลังของ Seeding Marketing นั้นกลับซ่อนไว้ซึ่งความเป็นจริงที่ดำมืด ซึ่งนั่นก็คือ ท้องทะเลแห่งความคิดเห็นและรีวิวแบบปลอมๆ (Fake Comments & Reviews) ที่ถูกจัดฉากขึ้นมา ทำให้วงจรความไว้วางใจที่ถูกบิดเบือนนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพลังในการทำล้ายล้างแบรนด์ของตัวเอง Seeding Marketing จึงเป็นกลยุทธ์ที่ควรใช้อย่างชาญฉลาด มีจริยธรรม และด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษเป็นอย่างสูง

ผมจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงการทำ Seeding Marketing อย่างไรไม่ให้แบรนด์และธุรกิจพังพินาส และเราจะสังเกตอย่างไรว่า Seeding Marketing นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม

อะไรคือ Seeding Marketing

การตลาดแบบหว่านเมล็ด (Seeding Marketing) คือ กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่เกี่ยวข้องกับการ “ปลูก” และ “หว่าน” เนื้อหา เช่น การรีวิวสินค้า (Reviews) โพสต์บนโซเชียลมีเดีย (Posts) การแสดงความคิดเห็น (Comments) หรือการเขียนบทความ (Blogs) ลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่ลูกค้าเป้าหมายมีแนวโน้มที่จะเห็น การวางเนื้อหาเหล่านี้มักจะทำในลักษณะที่ “เป็นธรรมชาติ” เหมือนกับการสนทนาแบบธรรมดา โดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อื่นสนใจและเชื่อในสิ่งนั้น โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวว่านี่คือกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง แทนที่จะโฆษณาสินค้าของคุณโดยตรง แต่คุณปล่อยให้คนอื่นๆพูดถึงสินค้าของคุณในช่องทางที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสม และในลักษณะที่เหมาะสม

รากฐานของ Seeding Marketing นั้นต้องย้อนกลับไปสู่ยุคของการตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing – WOM) ที่ได้รับแรงผลักดันมากขึ้นจากการเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และชุมชนออนไลน์ในช่วงปี 2000 เป็นต้นมา โดยเริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงกลางถึงปลายปี 2000 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ YouTube, Blogs และ Forum เช่น Reddit หรือ Pantip ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

เดิมที Seeding Marketing ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความแท้จริง ด้วยการให้ตัวอย่างสินค้าฟรีแก่ผู้มีอิทธิพล (Influencer) บนโลกออนไลน์ก่อนใคร ที่ให้พวกเขาได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ และแบ่งปันความคิดเห็นที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อโลกดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เกิดการล่อลวงเพื่อปลอมแปลงสิ่งต่างๆที่เข้ามาอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน

หลักการทำงานของ Seeding Marketing

การทำ Seeding Marketing มีหลักการทำงานอยู่ด้วยกัน 6 ข้อ ดังนี้

1. มีการเลือกใช้ Platform อย่างเหมาะสม

มีการระบุแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณ มีแนวโน้มที่จะใช้งานและมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังโปรโมทผลิตภัณฑ์ความงาม แพลตฟอร์มเป้าหมายอาจเป็น Facebook หรือ Instagram ที่เน้นเรื่องความงาม ช่อง YouTube ของ Beauty Blogger กระทู้รีวิวเครื่องสำอางบน Pantip หรือบัญชี TikTok ที่สร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับเคล็ดลับความงาม โดยการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมจะช่วยให้มั่นใจว่า เนื้อหาของคุณเข้าถึงผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของคุณจริงๆ

2. สร้างตัวตนของบุคคลขึ้นมา

การสร้างตัวตนหรือใช้บุคคลที่มีอยู่ (Persona) เพื่อเผยแพร่เนื้อหา ซึ่งอาจเป็นผู้มีอิทธิพล (Influencers) ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากและมีความน่าเชื่อถือในกลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ใช้งานจริงที่เป็นลูกค้าประจำ (Real Users) และมีความชื่นชอบในแบรนด์ของคุณ “นอกจากนี้อาจมีการใช้บัญชีปลอม (Bots / Ghost users) เพื่อสร้างบทสนทนา หรือแสดงความคิดเห็นในปริมาณมาก แต่การใช้วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงด้านจริยธรรมและความน่าเชื่อถือได้”

3. การสร้างสรรค์เนื้อหา

การสร้างสรรค์เนื้อหาที่ดูเป็นธรรมชาติและไม่เหมือนการโฆษณาโดยตรง อาจเป็นรีวิวที่เป็นประโยชน์ การให้ข้อมูล ความคิดเห็นที่แสดงความสนใจ การตั้งคำถาม โพสต์ที่แบ่งปันประสบการณ์การใช้งาน หรือแม้แต่การเข้าร่วมสนทนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ ที่ดูเป็นธรรมชาติจะช่วยลดความรู้สึกต่อต้านจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ

4. การเผยแพร่เนื้อหา

การเผยแพร่หรือ “ปลูก” และ “หว่าน” ข้อความเหล่านี้ลงในแพลตฟอร์มเป้าหมาย เช่น กระทู้สนทนา ช่องแสดงความคิดเห็น ส่วนที่ให้รีวิวสินค้า หรือในเนื้อหาที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆสร้างขึ้น (User-Generated Content) Link การวางเนื้อหาในบริบทที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะสังเกตเห็นและมีส่วนร่วม

5. ตัวกระตุ้นให้มีส่วนร่วม

การกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ เช่น การตั้งคำถามปลายเปิด การแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ หรือการสร้างประเด็นให้เกิดการถกเถียง เมื่อผู้ใช้งานคนอื่นๆเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการสนทนา จะช่วยเพิ่มการมองเห็น (Visibility) การเข้าถึง (Reach) และความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของเนื้อหาที่ทำการ “ปลูกและหว่าน” เอาไว้ เนื่องจากความคิดเห็นและการพูดคุยจากผู้ใช้งานจริง มักจะถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาโดยตรง

6. ใช้วิธีการเข้าถึงใหม่ๆ

ในกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ เอเยนซี่ก็มีการใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การทำงานร่วมกับกลุ่ม Micro-Influencers ที่มีผู้ติดตามเฉพาะกลุ่ม แต่มีความใกล้ชิดกับผู้ติดตามสูง การหว่านเมล็ดผ่านการประชาสัมพันธ์ (PR Seeding) โดยการส่งผลิตภัณฑ์หรือข้อมูลให้กับสื่อ หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือเพื่อสร้างการพูดถึงในวงกว้าง รวมถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชนออนไลน์แบบลับๆ (Covert Community Engagement) โดยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และสร้างอิทธิพลอย่างค่อยเป็นค่อยไป

AI_Generated_Image_of_Influencer_Typing_Comment_On_Computer

Dark Side ของ Seeding Marketing กับความคิดเห็น / รีวิวปลอม กับความไว้วางใจที่พังทลาย

การตลาดแบบหว่านเมล็ด (Seeding Marketing) อาจกลายเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมันก้าวข้ามเส้นแบ่งของความเป็นกลยุทธ์แบบธรรมชาติ ไปสู่การหลอกลวงที่บิดเบือนความจริงสู่การหลอกลวง และมันทำให้เกิด

  • การสูญเสียความไว้วางใจ
    ลูกค้าสามารถสังเกตรีวิวที่ถูกเขียนขึ้นมา หรือรีวิวปลอมได้อย่างง่ายดาย เมื่อความไว้วางใจถูกทำลายลงแล้วก็ยากที่จะเรียกคืนกลับมาได้ การที่ลูกค้ารู้สึกว่าถูกหลอกลวง จะนำไปสู่ความไม่พอใจ และการเลิกสนับสนุนแบรนด์ในที่สุด
  • ความเสี่ยงทางกฎหมาย
    ในหลายประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป) มีกฎระเบียบที่ต่อต้านเนื้อหาที่ได้รับการสนับสนุนโดยไม่เปิดเผย (Undisclosed Sponsored) และการทำกิจกรรมใดๆที่หลอกลวง การใช้กลยุทธ์ Seeding Marketing ที่ไม่โปร่งใส อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีและบทลงโทษทางกฎหมายได้
  • บทลงโทษจากแพลตฟอร์ม
    แพลตฟอร์มใหญ่ๆอย่าง Google, Facebook และ Amazon มีนโยบายที่เข้มงวด ต่อการใช้กลยุทธ์ Seeding Marketing ที่เข้าข่ายการฉ้อโกง และอาจลงโทษหรือแบนผู้ที่ละเมิดนโยบายเหล่านี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการมองเห็น (Visibility) และการเข้าถึงลูกค้า (Reach) บนแพลตฟอร์มเหล่านั้น
  • ความเสียหายต่อแบรนด์
    หากถูกเปิดโปงขึ้นมาการทำ Seeding Marketing แบบปลอมๆ สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในทางลบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านประชาสัมพันธ์ (PR Disasters) และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ (Image) และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (Credibility) ในระยะยาว ความเสียหายนี้อาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย (Sales Target) และความภักดีของลูกค้าในระยะยาว (Customer Loyalty) Link

การหว่านเมล็ดที่ปราศจากความซื่อสัตย์ ก็เปรียบเสมือนการปลูกเมล็ดพันธุ์ที่เป็นพิษ ที่อาจเติบโตอย่างรวดเร็วและในระยะยาวมันจะทำลายสวนที่คุณสร้างขึ้นมา การสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ต้องอาศัยความโปร่งใสและความจริงใจ โดยหากใช้กลยุทธ์ที่หลอกลวงก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามในท้ายที่สุด

องค์ประกอบของ Seeding Marketing ที่ดี

หากคุณต้องการทำการตลาดแบบหว่านเมล็ด (Seeding Marketing) ให้มีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม กลยุทธ์ของคุณควรมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. ผู้ใช้งานหรือผู้มีอิทธิพลจริง (Real Users or Influencers)

ทำงานร่วมกับผู้ใช้งานจริงที่ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณแล้ว โดยสนับสนุนให้พวกเขาแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองอย่างอิสระ โดยไม่มีการกำหนดบทพูดหรือเนื้อหาล่วงหน้า การที่ผู้ใช้งานจริงพูดถึงประสบการณ์ของพวกเขา จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาโดยตรง และช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภครายอื่นๆ

การร่วมมือกับ Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีกลุ่มผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณก็เป็นวิธีที่ดี แต่สิ่งสำคัญ ก็คือ ต้องให้พวกเขาได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริงๆ และแสดงความคิดเห็นตามประสบการณ์จริงของพวกเขา

2. ความโปร่งใส (Transparency)

เปิดเผยความร่วมมือกับหรือเนื้อหาที่ได้รับการสนับสนุน (Sponsored) เมื่อจำเป็น เพราะการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความเคารพจากผู้บริโภค เช่น หากเป็นความร่วมมือกับ Influencer ในรูปแบบการสนับสนุน (Sponsored) ก็ให้บอกตรงๆไปเลย การไม่เปิดเผยข้อมูลอาจถูกมองว่าเป็นการหลอกลวง และนำไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์ (Brand Reputation) Link ในระยะยาว

3. เนื้อหาที่มีคุณค่า (Valuable Content)

อย่าเพียงแค่ “ปลูก” ในแบบโปรโมชั่น แต่ให้มีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างมีความหมาย ด้วยการนำเสนอเคล็ดลับ ตอบคำถาม หรือช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้งาน การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้แบรนด์ของคุณ ถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

4. ความสอดคล้องกับแพลตฟอร์ม (Platform Alignment)

แต่ละแพลตฟอร์มบนโลกออนไลน์ก็จะมีวัฒนธรรม และรูปแบบการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ โพสต์ที่ได้ผลบน TikTok อาจไม่ได้ผลกับแพลตฟอร์มอื่นๆได้เช่นกัน จึงจำเป็นต้องปรับโทนและรูปแบบของเนื้อหาให้เข้ากับแต่ละแพลตฟอร์ม ตัวอย่างเช่น การใช้ภาษาที่เป็นกันเองและวิดีโอสั้นอาจเหมาะกับ TikTok ในขณะที่การนำเสนอข้อมูลเชิงลึก และการอ้างอิงแหล่งที่มาอาจเหมาะสมกับ Facebook, Blogs หรือกระทู้ใน Pantip มากกว่า การเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับบริบทของแต่ละแพลตฟอร์ม จะช่วยเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาของคุณจะได้รับการยอมรับและมีส่วนร่วมมากขึ้น

5. จังหวะเวลา (Timing)

การโพสต์ในเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่อผู้ใช้งานกำลังตั้งคำถาม มองหาคำแนะนำ หรือพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อที่เกี่ยวข้อง การสังเกตและเข้าร่วมในการสนทนาที่กำลังเป็นที่สนใจ จะช่วยให้เนื้อหาของคุณได้รับการมองเห็น และมีโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของผู้ใช้งานคนอื่นๆ การตอบสนองต่อความต้องการ และข้อสงสัยของผู้ใช้งานในเวลาที่เหมาะสม จะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างแท้จริง

AI_Generated_Image_of_Influencer_Review_Product_Live_on_Camera

วิธีสังเกตว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็น Bad Seeding Marketing Campaign

หลายๆคนอาจโดนหลอกโดยการถูกหว่านล้อม จากความปลอมที่คิดว่ามันเป็นความจริง และสุดท้ายก็ได้ในสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ ดังนั้นเราควรป้องกันการถูกหลอกจากบรรดา Bad Seeding Marketing หรือ Campaign โดยเริ่มจากการสังเกตด้วยตัวเองง่ายๆ ดังนี้

1. รีวิวที่คล้ายคลึงกันมากเกินไป (Too Many Similar Reviews)

หากคุณสังเกตรีวิวหรือความคิดเห็นจำนวนมากที่ใช้ภาษาซ้ำๆ มีโครงสร้างประโยคที่เหมือนกันหรือวลีที่ปรากฏซ้ำไปซ้ำมา นั่นอาจเป็นสัญญาณของการสร้างรีวิวปลอมจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ผู้ที่สร้างรีวิวปลอมมักจะคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนข้อความพื้นฐานเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดความคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผิดวิสัยของความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง ที่มีประสบการณ์และความคิดที่หลากหลาย

2. น้ำเสียงเชิงบวกมากเกินไป (Overly Positive Tone)

รีวิวหรือความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยคำชมที่ไม่สมจริง ไม่มีข้อเสีย หรือไม่มีข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์เลย อาจเป็นสัญญาณของการปลอมแปลงได้ ผู้ใช้งานจริงมักจะมีความคิดเห็นที่สมดุล โดยอาจกล่าวถึงทั้งข้อดีและข้อเสีย หรือให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นๆ การมีแต่คำชมอย่างเดียวอาจดูไม่น่าเชื่อถือและจงใจเชียร์มากจนเกินไป

3. บัญชีใหม่เอี่ยมหรือไม่มีความเคลื่อนไหว (New or Inactive Accounts)

หากความคิดเห็นส่วนใหญ่มาจากบัญชีที่เพิ่งสร้างใหม่ๆ หรือบัญชีที่ไม่มีประวัติการใช้งานอะไรเลย (เช่น ไม่มีรูปโปรไฟล์ ไม่มีการโพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องอื่นๆ) นั่นอาจบ่งชี้ว่าบัญชีเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างรีวิวปลอมโดยเฉพาะ ผู้ใช้งานจริงมักจะมีประวัติการใช้งานบนแพลตฟอร์มนั้นๆมาก่อนเสมอ

4. ขาดรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจง (Lack of Specifics)

คำชมที่ดูคลุมเครือ เช่น “สินค้าดีมาก” “บริการเยี่ยม” โดยไม่มีบริบท หรือรายละเอียดว่าอะไรที่ดีหรือเยี่ยมอย่างไร ถือเป็นสัญญาณที่น่าสงสัยอยู่เสมอ รีวิวหรือความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง มักจะกล่าวถึงคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์ ประสบการณ์การใช้งาน หรือสิ่งที่พวกเขาประทับใจหรือไม่ประทับใจอย่างชัดเจน การขาดรายละเอียดทำให้ความคิดเห็นนั้นดูไม่จริงใจและไม่น่าเชื่อถือ

5. โพสต์แบบถี่ยิบในช่วงเดียว (Timing Clusters)

หากคุณสังเกตเห็นความคิดเห็นจำนวนมาก ถูกโพสต์ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมาก (เช่น ภายในไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง) นั่นอาจเป็นผลมาจากการจ้างคนจำนวนมากให้โพสต์รีวิวปลอมพร้อมๆกัน ผู้ใช้งานจริงมักจะโพสต์ความคิดเห็นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสะดวกของแต่ละบุคคล การที่ความคิดเห็นหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเวลาสั้นๆ อาจบ่งชี้ถึงความพยายามในการสร้างกระแสอย่างรวดเร็วและไม่เป็นธรรมชาติ

ตัวอย่างคำพูดเปรียบเทียบระหว่าง Good Seeding Marketing (ของจริง) vs. Bad Seeding Marketing (น่าจะปลอม)

ตัวอย่างที่ 1: รีวิวผลิตภัณฑ์สกินแคร์

  • Good Seeding Marketing (ผู้ใช้งานจริง)
    “เพิ่งลองเซรั่มตัวนี้มาอาทิตย์นึง รู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นจริงๆ รอยแดงๆก็ดูจางลงนิดหน่อย เนื้อเซรั่มซึมไวดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ ชอบตรงที่ไม่มีน้ำหอมด้วยค่ะ ใครผิวแพ้ง่ายน่าจะลองดูนะ”
  • Bad Seeding Marketing (ที่น่าจะปลอม)
    “สุดยอดเซรั่มหน้าใสแห่งปี!!! ใช้แล้วหน้าขาวใสขึ้นทันที 10 ระดับ รอยสิวหายเกลี้ยง ฝ้ากระจุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด ต้องมีติดบ้านทุกคน!!! #หน้าใส #เซรั่มเทพ #ของดีบอกต่อ”

ความแตกต่าง คือ รีวิวที่ดีจะเน้นประสบการณ์ส่วนตัว บอกถึงผลลัพธ์ที่ได้จริง และมีรายละเอียดที่สมเหตุสมผล รีวิวที่น่าจะปลอมมักใช้คำพูดที่เกินจริง โอ้อวดสรรพคุณมากเกินไป และมักมี #Hashtag ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ

Photo_of_Woman_Make_Up_Her_Face

ตัวอย่างที่ 2: คอมเมนท์บนโพสต์เกี่ยวกับร้านอาหารใหม่

  • Good Seeding Marketing (ผู้ที่เคยไปทานจริง)
    “เมื่อวานไปลองร้านนี้มาค่ะ บรรยากาศดีมากเลย อาหารอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะเมนู [เนื้อย่าง] คือ ห้ามพลาด พนักงานบริการก็ดีมากๆ ประทับใจค่ะ”
  • Bad Seeding Marketing (ที่น่าจะปลอม)
    “ร้านนี้อร่อยที่สุดในโลก!!! วัตถุดิบสดใหม่ระดับพรีเมียม เชฟฝีมือขั้นเทพ กินแล้วเหมือนขึ้นสวรรค์ ต้องไปลองให้ได้เลยนะทุกคน!!!”

ความแตกต่าง คือ คอมเมนท์ที่ดีจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์จริงที่ได้รับ และอาจมีการกล่าวถึงเมนูแบบเฉพาะเจาะจง คอมเมนท์ที่น่าจะปลอมมักใช้คำพูดที่เว่อร์วังอลังการ ไม่มีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ และเน้นการเชียร์แบบไร้เหตุผล

Photo_of_Pasta_on_Table

ตัวอย่างที่ 3: การแสดงความคิดเห็นในกระทู้ถามคำถาม เกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

  • Good Seeding Marketing (ผู้ใช้งานจริง)
    “ผมใช้ [Samsung Z Fold] มาประมาณ 6 เดือนแล้วครับ โดยรวมถือว่าดีเลย กล้องสวย แบตฯอึด แต่ว่าลำโพงอาจจะไม่ดังเท่าไหร่ ถ้าเน้นถ่ายรูปกับใช้งานทั่วไปผมว่าคุ้มราคาครับ”
  • Bad Seeding Marketing (ที่น่าจะปลอม)
    “[VIVO Y200] คือที่สุดของโทรศัพท์แล้ว!!! แรง เร็ว กล้องเทพ แบตฯทนทาน ใช้งานได้ทุกอย่างไหลลื่น ไม่มีข้อเสียเลย ซื้อเลยไม่ต้องคิดเยอะ!!!”

ความแตกต่าง คือ ความคิดเห็นที่ดีจะกล่าวถึงข้อดีและข้อเสียตามประสบการณ์จริง และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อ ความคิดเห็นที่น่าจะปลอมมักอวยสินค้าแบบไม่มีเงื่อนไข และไม่มีการกล่าวถึงข้อจำกัดใดๆ

A_Man_Playing_Game_on_Mobile_Phone

ตัวอย่างที่ 4: การตอบคำถามในกลุ่ม Facebook เกี่ยวกับปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์

  • Good Seeding Marketing (ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์)
    “ลองตรวจสอบดูว่าคุณได้ติดตั้ง Driver ล่าสุดแล้วหรือยังครับ? บางทีปัญหานี้อาจเกิดจาก Driver ที่ล้าสมัย นอกจากนี้ลองเข้าไปดูใน [Link นี้] อาจจะมีวิธีแก้ไขอื่นๆที่ผู้ใช้งานเคยเจอก็ได้ครับ”
  • Bad Seeding Marketing (ที่น่าจะปลอม)
    “ไม่ต้องคิดมากเลยครับ ซอฟต์แวร์ [Ultra Burst] นี่แหละดีที่สุด ใช้งานง่าย เสถียร ไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้ามีปัญหาก็แค่รีสตาร์ทเครื่องก็หายแล้วครับ”

ความแตกต่าง คือ การตอบคำถามที่ดีจะให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และมีเหตุผล อาจมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม การตอบที่น่าจะปลอมมักให้คำตอบที่ง่ายเกินไป ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจริงๆ และอาจมีการเชียร์ซอฟต์แวร์นั้นๆอย่างออกนอกหน้า

A_Woman_Using_Laptop_Doing_Her_Works

ตัวอย่างที่ 5: การโพสต์ในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับบริการ Subscription

  • Good Seeding Marketing (ผู้ใช้งานจริง)
    “ช่วงนี้ติดซีรีส์เรื่องใหม่ใน [บน Netflix] มากเลยค่ะ คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปจริงๆ มีซีรีส์และหนังให้เลือกดูเยอะมาก แถมภาพคมชัดด้วย ใครชอบดูหนังดูซีรีส์แนะนำเลย”
  • Bad Seeding Marketing (ที่น่าจะปลอม)
    “[PaoPomoPo] คือ บริการสตรีมมิ่งอันดับหนึ่งของโลก!!! มีทุกสิ่งที่คุณต้องการ ดูได้ไม่อั้น ไม่มีโฆษณา ภาพเสียงคมชัดระดับ 4K สมัครเลยชีวิตคุณจะดีขึ้น 300%!!!”

ความแตกต่าง คือ โพสต์ที่ดีจะเน้นประสบการณ์การใช้งานจริง และให้เหตุผลว่าทำไมถึงคุ้มค่า โพสต์ที่น่าจะปลอมมักใช้คำพูดที่เร้าอารมณ์เกินจริง ไม่มีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ และสัญญาในสิ่งที่อาจเป็นไปไม่ได้

Photo_of_VDO_Editor_Using_Video_Editing_Software

ตัวอย่างแบรนด์ที่ผ่านทั้ง Good Seeding และ Bad Seeding

Glow Recipe กับ PR Unboxing

Glow Recipe ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) เลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบหว่านเมล็ดที่ดี โดยมุ่งเน้นที่การทำงานร่วมกับ Micro-Influencer ซึ่งมักจะมีฐานผู้ติดตามที่เฉพาะเจาะจง และมีความเชื่อมั่นในตัว Influencer ระดับ Micro มากกว่า Macro ด้วยการส่งผลิตภัณฑ์จริงให้บรรดา Influencer ได้ทดลองใช้ และบอกเล่าประสบการณ์ตามจริง ซึ่งทำให้รีวิวมีความน่าเชื่อถือและดูเป็นธรรมชาติ การที่ Influencer เน้นรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของผลิตภัณฑ์ เช่น เนื้อสัมผัสและกลิ่น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และการใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok ซึ่งเน้นวิดีโอสั้น (Short Video) ที่ดูง่ายและมีความเป็นกันเอง ก็ช่วยให้รีวิวนั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และสร้างการมีส่วนร่วมได้ดี


GoPro กับการรีวิวเปรียบเทียบ

GoPro ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบหว่านเมล็ดอย่างชาญฉลาด โดยการส่งเสริมให้ผู้ใช้งานจริงที่เป็น Influencer ด้วยการสร้างเนื้อหาที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง (User-Generated Content) Link โดยบรรดาผู้ใช้งานจริงเหล่านี้มักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ชอบกิจกรรมแบบท้าทาย และต้องการกล้องที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่ง GoPro สามารถตอบโจทย์นี้ได้ ด้วยการที่ผู้ใช้งานได้โพสต์ภาพและวิดีโอที่บันทึกจากกล้อง GoPro ในสภาพแวดล้อมจริง เช่น การเล่นกีฬาแนวผาดโผน การผจญภัยในธรรมชาติ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพ และความทนทานของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง เป็นเนื้อหาที่มีความน่าเชื่อถือสูงเพราะมาจากผู้ใช้งานจริง ที่มีความเชี่ยวชาญในกิจกรรมนั้นๆ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจในกิจกรรมเดียวกัน ทำให้เกิดความต้องการในผลิตภัณฑ์โดยธรรมชาติ

Video Source: https://youtu.be/hdMPzlik5sY


Samsung กับรีวิวปลอมโจมตีคู่แข่ง

ในปี 2013 แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Samsung ถูกปรับในไต้หวันเนื่องจากจ้างบุคคลให้โพสต์รีวิวปลอมทางออนไลน์ โดยมีเนื้อหาโจมตีบริษัท HTC ซึ่งเป็นคู่แข่ง และในขณะเดียวกันก็สรรเสริญผลิตภัณฑ์ของ Samsung อย่างดิบดี การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียอย่างมากต่อชื่อเสียงของแบรนด์ Samsung กรณีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญสำหรับนักการตลาดว่า การใช้กลยุทธ์ที่ขาดจริยธรรมและมุ่งทำลายคู่แข่งนั้น สุดท้ายแล้วจะส่งผลเสียต่อแบรนด์ของตนเองในระยะยาว ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค แม้ว่าเป้าหมายอาจเพื่อเพิ่มยอดขายของ Samsung ในระยะสั้นก็ตาม

Example_of_Fake_Reviews

Image Source: https://www.marketingweek.com/samsung-fined-for-posting-fake-htc-reviews/


รีวิวปลอมบน Amazon อย่างแนบเนียน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะกับธุรกิจ E-Commerce และ E-Marketplace ที่มีการให้คะแนนสินค้าและร้านค้า โดยผู้ขายจำนวนมากบน Amazon ใช้วิธีการหว่านเมล็ดแบบ Bad Seeding ด้วยการจ้างคนให้เขียนรีวิวแบบได้เต็ม 5 ดาว (5 Stars) เพื่อปั่นให้เกิดความน่าสนใจและน่าเชื่อถือกับสินค้าของตัวเอง กรณีนี้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่แพร่หลายของการใช้ “รีวิวปลอม” บนแพลตฟอร์ม E-Commerce ขนาดใหญ่อย่าง Amazon ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการตลาดแบบหว่านเมล็ดที่ “ผิดจริยธรรม” และ “ผิดกฎหมาย” แต่ในปัจจุบัน Amzaon ได้ใช้ระบบ AI เพื่อตรวจจับและลบรีวิวเหล่านี้แล้ว และผู้ขายที่กระทำผิดก็จะถูกแบนเป็นประจำ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม

Example_of_Fake_Reviews

Image Source: https://www.reddit.com


ตารางเปรียบเทียบ Seeding Marketing และ Influencer Marketing

หากนำระหว่าง Seeding Marketing และ Influencer Marketing จะเห็นว่ามีทั้งความคล้ายและความแตกต่าง ที่จะช่วยให้คุณลองพิจารณาเลือกใช้เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกันดูครับ

ประเด็น

Seeding Marketing

Influencer Marketing

คำจำกัดความ

กลยุทธ์ที่แบรนด์ “หว่าน” หรือส่งสินค้า/บริการไปให้ Influencer หรือกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า เพื่อหวังให้เกิดการพูดถึง หรือรีวิวโดยสมัครใจ

กลยุทธ์ที่แบรนด์ “ว่าจ้าง” หรือร่วมมือกับ Influencer เพื่อโปรโมทสินค้า

เป้าหมายหลัก

สร้างกระแสพูดถึงแบบ Organic สร้าง “รีวิวที่ดูจริงใจ” และสร้าง Social Proof

เพิ่มการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมาย ผ่านคอนเทนต์ โดยโปรโมทจากผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดีย

การจ่ายเงิน

ไม่มีการจ่ายเงิน ส่วนใหญ่มีแค่การให้สินค้าฟรี

มีการจ่ายค่าตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือสิ่งของ พร้อมข้อตกลงในการโปรโมท

การควบคุมเนื้อหา

ควบคุมได้น้อย โดยผู้รับอาจจะโพสต์หรือไม่โพสต์ก็ได้ และโทนของข้อความก็ไม่สามารถกำหนดได้

ควบคุมได้มาก โดยมักมี Brief หรือแนวทางจากแบรนด์ที่ชัดเจน

ประเภทของผู้เข้าร่วม

Micro-Influencer, Nano-Influencer, ลูกค้าจริง ผู้รีวิวทั่วไป

Macro-Influencer คนดัง หรือ Creator มืออาชีพ

ระดับความน่าเชื่อถือ

สูงมาก ดูเป็นธรรมชาติ เพราะไม่ได้จ้างให้รีวิว

กลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับความจริงใจของ Influencer และความรู้สึกของผู้ชม

ระดับความเสี่ยง

ค่อนข้างสูง ถ้าใช้ไม่เหมาะสม (เช่น รีวิวปลอม คอมเมนต์บิดเบือน)

ปานกลาง ที่ยังมีความเสี่ยงเรื่องข้อมูลหรือผู้ติดตามปลอม

การวัดผลและติดตาม

วัดผลยาก ต้องอาศัยการติดตามการพูดถึงเอง

วัดผลได้ง่าย เช่น Reach, Engagement, Clicks

ตัวอย่าง

แจกผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้ผู้ชื่นชอบด้านความงาม 500 คน

จ้าง YouTuber ความงามชื่อดังรีวิวผลิตภัณฑ์


การตลาดแบบหว่านเมล็ด (Seeding Marketing) อาจเป็นขุมกำลังเชิงกลยุทธ์ หรืออาจกลายเป็นกับระเบิดที่ทำลายชื่อเสียงของแบรนด์และธุรกิจ โดยทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณทำ และทันทีที่คุณแลกเปลี่ยนความจริงใจกับกระแสในระยะสั้น คุณก็จะเสี่ยงกับผลกระทบในระยะยาว ต่อทั้งชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้านั่นเอง

Share to friends


Related Posts

กลยุทธ์การตลาดด้วย Virtual Influencer มิติใหม่แห่งการนำเสนอแบรนด์

Virtual Influencer มอบทางเลือกที่ดูสดใหม่ สามารถปรับแต่งได้ตามจินตนาการ และสามารถควบคุมพฤติกรรมได้แบบไม่มีวันแก่ชรา ทำให้เราสามารถควบคุมพฤติกรรมได้อย่างเต็มที่


เคล็ดลับสู่การเป็น Influencer มืออาชีพ

Influencer หรือ คนที่มีชื่อเสียงในทางใดทางหนึ่งที่มีคนติดตามจำนวนมาก ได้กลายเป็นหนึ่งในวิธีทางการตลาดอันดับต้นๆที่หลายแบรนด์ใช้ในยุคนี้ เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก รวมไปถึงการรีวิวหรือโปรโมทสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์


จิตวิทยาและการตลาดกับพลังของ Social Proof เมื่อความไว้วางใจผลักดันให้เกิดยอดขายสินค้า

หลักฐานทางสังคม (Social Proof) คือ ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและสังคม ที่ผู้คนเลียนแบบการกระทำของผู้อื่น เพื่อพยายามสะท้อนพฤติกรรมที่ถูกต้องในสถานการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือแนวคิดที่ว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะทำบางสิ่งมากขึ้น หากพวกเขาเห็นคนอื่นๆทำสิ่งนั้น แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากความจริงที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธจากสังคม



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์