Lego-World

ในโลกของการตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แบรนด์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยธุรกิจเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่ปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่า User-Generated Brand (UGB) กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีที่ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค ซึ่งแตกต่างจากการสร้างแบรนด์แบบดั้งเดิม ที่แต่เดิมธุรกิจเป็นผู้ควบคุมและกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ User-Generated Brand (UGB) คือ การที่ผู้บริโภคมีบทบาทในการกำหนดอัตลักษณ์ ค่านิยม หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เอง ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการตลาดที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมมากขึ้น เรามาทำความรู้จักกับ User-Generated Brand (UGB) ในบทความนี้กันครับ

What's next?

User-Generated Brand (UGB) คืออะไร?

User-Generated Brand (UGB) คือ แนวคิดที่แบรนด์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบริษัทเพียงฝ่ายเดียว แต่ได้รับอิทธิพลและถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างจากแนวทางการสร้างแบรนด์แบบดั้งเดิม ที่ธุรกิจเป็นผู้กำหนดอัตลักษณ์และการสื่อสารของแบรนด์เพียงฝ่ายเดียว UGB คือ กระบวนการที่ผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการกำหนดภาพลักษณ์ ค่านิยม ทิศทาง หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์

UGB ไม่ใช่แค่การที่ผู้บริโภคสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์เหมือนกับ User-Generated Content (UGC) แต่ยังหมายถึงการที่ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาแบรนด์อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งการช่วยกำหนดทิศทางของแบรนด์ร่วมกับบริษัท


ความสำคัญของ User-Generated Brand (UGB)

User-Generated Brand (UGB) เป็นแนวทางที่ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของแบรนด์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในยุคที่ผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างแบรนด์และมีอิทธิพลต่อการตลาด โดยมีความสำคัญหลักๆอยู่ 8 ประการ ดังนี้

1. สร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า (Brand Engagement)

  • ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ทำให้เกิดความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของร่วม (Brand Ownership)
  • สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
  • แบรนด์ที่ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมมักได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าในระยะยาว
A-Man-Sharing-Experience-Via-Mobile-Phone

2. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ (Trust & Reliable)

  • เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (User-Generated Content – UGC) มักถูกมองว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาของแบรนด์
  • ลูกค้ามักเชื่อรีวิวและประสบการณ์จากลูกค้าคนอื่นมากกว่าคำโฆษณาจากแบรนด์
  • แบรนด์ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นจะถูกมองว่าโปร่งใสและจริงใจ

3. ช่วยให้แบรนด์เติบโตผ่านการบอกต่อ (Viral Marketing & Word-of-Mouth)

  • เนื้อหาที่ลูกค้าสร้างขึ้นสามารถแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็ว
  • ลูกค้าที่มีประสบการณ์ดีๆกับแบรนด์มักจะแนะนำให้คนอื่นรู้จัก (Referral Marketing)
  • ช่วยให้แบรนด์เติบโตโดยไม่ต้องพึ่งพางบโฆษณามากนัก

4. พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า (Customer-Driven Innovation)

  • ลูกค้าเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • แบรนด์สามารถนำ Feedback และไอเดียจากลูกค้า ไปปรับปรุงสินค้าและบริการได้อย่างแม่นยำ
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะได้รับการทดสอบและสนับสนุนจากลูกค้าก่อน
Team-is-desinging-customer-journey

5. ลดต้นทุนการตลาดและโฆษณา (Cost-Effective Marketing)

  • การใช้เนื้อหาที่ลูกค้าสร้างขึ้นช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์
  • ลดต้นทุนในการวิจัยตลาดเพราะแบรนด์ได้รับข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า
  • การตลาดแบบ UGB ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากไปกับโฆษณา

6. สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Differentiation)

  • แบรนด์ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง
  • ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เป็นของพวกเขาเอง ทำให้มีความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น
  • เนื้อหาจากสิ่งที่ลูกค้าสร้างขึ้นมา ทำให้แบรนด์มีความเป็นมนุษย์ (Humanized Brand) และเข้าถึงได้ง่าย

7. สร้างชุมชนของลูกค้า (Community)

  • แบรนด์ที่มีชุมชนที่แข็งแกร่งจะมีฐานลูกค้าที่ภักดี (Loyal Customers)
  • ชุมชนสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนและให้ข้อมูลระหว่างลูกค้าด้วยกันเอง
  • ใช้ชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการตลาด

8. สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Growth)

  • แบรนด์ที่ฟังเสียงลูกค้าและให้พวกเขามีส่วนร่วม จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
  • การสร้างแบรนด์ผ่าน UGB ทำให้เกิด Brand Advocacy หรือการที่ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์โดยธรรมชาติ
  • แบรนด์ที่เติบโตจากลูกค้ามักมีความมั่นคง มากกว่าแบรนด์ที่พึ่งพาการโฆษณาเพียงอย่างเดียว

What's next?

ลักษณะของผู้บริโภคที่ขับเคลื่อน UGB

ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นผู้ขับเคลื่อน UGB ได้ โดยผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดมักอยู่ในกลุ่มต่อไปนี้

1. แฟนพันธุ์แท้ (Huge Fans)

คนกลุ่มนี้คือผู้สนับสนุนที่มีความหลงใหลในแบรนด์เป็นอย่างมาก และโดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าขาประจำที่มีความภักดีสูง (Brand Loyalty) หรือชอบศึกษาค้นควาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแบรนด์ โดยพวกเขามักมีส่วนร่วมในการพูดคุยเกี่ยวกับแบรนด์ โปรโมทหรือบอกต่อผลิตภัณฑ์ให้กับคนรอบข้าง และรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของแบรนด์

2. ผู้นำชุมชน & ผู้สนับสนุน (Community Leaders & Advocates)

บางคนมีบทบาทเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ใช้แบรนด์ พวกเขาอาจเป็นผู้ดูแลกลุ่ม พูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือสร้างรีวิวและเนื้อหาเชิงลึกที่ช่วยให้คนอื่นเข้าใจแบรนด์มากขึ้น

3. ผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (Creative Contributors)

ศิลปิน นักออกแบบ และครีเอเตอร์ที่สร้างเนื้อหาพิเศษๆ เช่น คอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บรรดาแฟนอาร์ต หรือกลุ่มคนที่ชอบประสบการณ์ในการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง

4. ลูกค้าที่ภักดีและมีความคิดเห็นที่ชัดเจน (Loyal Customers with Strong Opinions)

คนกลุ่มนี้ให้ข้อเสนอแนะที่มีค่าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาด ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะพวกเขามีความคุ้นเคยกับแบรนด์เป็นอย่างดี

5. อินฟลูเอนเซอร์และไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Influencers & Micro-Influencers)

ผู้ที่มีฐานแฟนคลับและผู้ติดตามจำนวนมาก ก็สามารถช่วยขยายการรับรู้ของแบรนด์ และทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้คนได้กว้างมากยิ่งขึ้น

What's next?

ความแตกต่างระหว่าง UGB vs. UGC

คุณลักษณะUser-Generated Brand (UGB)User-Generated Content (UGC)
ความหมายผู้บริโภคมีอิทธิพลต่อการกำหนด
อัตลักษณ์ และการตัดสินใจของแบรนด์
ผู้บริโภคสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์
ระดับของอิทธิพลมีส่วนร่วมในกลยุทธ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จำกัดอยู่ที่การแบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็น
การควบคุมแบรนด์และผู้บริโภคร่วมกันควบคุมควบคุมโดยแบรนด์เป็นหลัก
ตัวอย่างการร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์อย่าง
LEGO Ideas, Lush, Glossier
แฮชแท็ก รีวิวลูกค้า โพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์

What's next?

กรณีศึกษาแบรนด์ที่ใช้แนวคิด User-Generated Brand (UGB) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการนำแนวคิด User-Generated Brand (UGB) มาใช้ มักมีลักษณะเด่น คือ การให้ลูกค้ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น การร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ การทำ User-Generated Content (UGC) การสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง และการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจ เรามาดูตัวอย่างแบรนด์ที่นำแนวคิด UGB มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกันครับ

1. LEGO Ideas: เปิดโอกาสให้แฟนๆได้กลายเป็นนักออกแบบ

แนวคิดหลักของ LEGO Ideas

LEGO เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยเปิดตัวแพลตฟอร์ม LEGO Ideas ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนๆของแบรนด์สามารถเสนอแนวคิดชุด LEGO ของตัวเองได้

หลักการทำงานของ LEGO Ideas

  1. แฟนๆออกแบบและนำเสนอไอเดีย – ผู้ใช้สามารถออกแบบโมเดล LEGO ของตัวเอง และอัปโหลดขึ้นแพลตฟอร์ม LEGO Ideas พร้อมใส่คำอธิบาย
  2. ให้ชุมชนร่วมโหวต – ผู้ใช้คนอื่นๆสามารถโหวตและสนับสนุนไอเดียที่พวกเขาชอบ
  3. หากได้คะแนนถึง 10,000 โหวต – LEGO จะนำไอเดียนั้นไปพิจารณาเพื่อผลิตจริง
  4. ทีม LEGO พิจารณาและผลิตสินค้า – หาก LEGO ตัดสินใจผลิต เจ้าของไอเดียจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 1% จากยอดขาย

ความสำเร็จของ LEGO Ideas

  • LEGO Ship in a Bottle – ไอเดียจากนักออกแบบที่ชื่นชอบการต่อ LEGO และเรือในขวดแก้ว
  • LEGO Central Perk (จากซีรีส์ Friends) – แฟนซีรีส์ออกแบบฉากร้านกาแฟ Central Perk และได้รับความนิยมอย่างมาก

เหตุผลที่ LEGO Ideas ประสบความสำเร็จ

  • ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์
  • สร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
  • ช่วยให้ LEGO พัฒนาไอเดียใหม่ๆโดยอาศัยพลังจากแฟนๆ
LEGO-Ship-in-a-bottle

Source: https://hip2save.com/2018/12/14/lego-ideas-ship-in-a-bottle-only-55-99-shipped-regularly-70/


2. Glossier: แบรนด์ที่ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

แนวคิดหลักของ Glossier

Glossier เป็นแบรนด์ความงามที่แตกต่างจากแบรนด์เครื่องสำอางแบบดั้งเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่ การฟังเสียงของลูกค้าและสร้างผลิตภัณฑ์จากความคิดเห็นของพวกเขา แบรนด์นี้เกิดจากบล็อก “Into The Gloss” ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ที่พูดคุยเกี่ยวกับสกินแคร์และเมคอัพ

หลักการทำงานของ Glossier

  1. เน้นคอมมูนิตี้ของผู้ใช้ – Glossier ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูกค้าเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
  2. พัฒนาผลิตภัณฑ์จากการฟังเสียงของลูกค้า – Glossier นำความคิดเห็นจากลูกค้ามาพัฒนาสินค้าใหม่ เช่น
    • Milky Jelly Cleanser – เกิดจากคำถามในบล็อกที่ให้แฟนๆ แชร์คุณสมบัติที่พวกเขาต้องการในคลีนเซอร์
    • Balm Dotcom – ลิปบาล์มที่พัฒนาจากฟีดแบ็กของแฟนๆ
  3. ใช้ User-Generated Content แทนโฆษณาแบบดั้งเดิม – Glossier แทบไม่มีโฆษณาแบบเดิมๆ แต่ใช้รูปภาพและรีวิวจากผู้ใช้จริงเป็นเครื่องมือหลักในการทำการตลาด
  4. สร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง – Glossier มีโปรแกรม “Glossier Reps” ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนๆกลายเป็น “Brand Ambassador” และช่วยโปรโมทแบรนด์ต่อไป

เหตุผลที่ Glossier ประสบความสำเร็จ

  • ลูกค้ารู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการสร้างผลิตภัณฑ์
  • แบรนด์สร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าและไม่เน้นโฆษณาเชิงพาณิชย์มากเกินไป
  • คอนเทนต์จากลูกค้าทำให้แบรนด์ดูจริงใจและเข้าถึงง่ายขึ้น
Milky-Jelly-Cleanser-Glossier

Source: https://intothegloss.com/2016/01/milky-jelly-cleanser/


3. Lush: ใช้ความคิดเห็นของลูกค้าในการพัฒนาสินค้า

แนวคิดหลักของ Lush

Lush เป็นแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและจริยธรรม (Ethical Beauty) หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้ Lush แตกต่าง คือ การให้ลูกค้ามีบทบาทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และใช้ User-Generated Content (UGC) เป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาด

หลักการทำงานของ Lush ในแนวคิด UGB

  1. รับฟังความคิดเห็นของลูกค้าโดยตรง – Lush มีโปรแกรมที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการให้กลับมาผลิตใหม่
  2. เปิดตัวแคมเปญ “Lush Kitchen” – เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าโหวตสินค้าที่อยากให้ผลิตซ้ำ และ Lush จะนำสินค้ายอดนิยมกลับมาวางจำหน่าย
  3. ใช้รีวิวจากลูกค้าจริงเป็นเครื่องมือทางการตลาด – บนเว็บไซต์ของ Lush คำอธิบายผลิตภัณฑ์จะมาจาก Feedback ของลูกค้า เช่น ข้อความจากลูกค้าที่บอกว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับสินค้า
  4. สนับสนุนให้ลูกค้าสร้างเนื้อหาเอง – Lush ส่งเสริมให้ลูกค้าโพสต์ภาพและรีวิวผลิตภัณฑ์ผ่าน Instagram และ TikTok

เหตุผลที่ Lush ประสบความสำเร็จ

  • ลูกค้ารู้สึกว่ามีอำนาจในการกำหนดทิศทางของแบรนด์
  • สร้างความภักดีต่อแบรนด์ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า
  • แบรนด์ไม่เน้นโฆษณาแต่ใช้พลังของลูกค้าในการโปรโมท
Lush-Kitchen

Source: https://www.lush.com/us/en_us/p/lush-kitchen-box


User-Generated Brand (UGB) เป็นแนวทางที่ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์ ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของและเชื่อมโยงกับแบรนด์มากขึ้น สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดต้นทุนการตลาด กระตุ้นการบอกต่อ และช่วยให้แบรนด์พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาด ที่กำลังจะกลายเป็นการทำการตลาดที่สำคัญในยุคต่อไป


Share to friends


Related Posts

ความสำคัญของ User-Generated Content กับกลยุทธ์การตลาด

หนึ่งในการทำการตลาดโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับแบรนด์ สินค้า และบริการของธุรกิจคุณ นั่นก็คือ คอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยลูกค้าตัวจริงโดยอาจจะเป็นคอนเทนต์ในรูปแบบ วีดิโอ การรีวิวสินค้า การทำ Testimonial บทความ และอื่นๆอีกหลายรูปแบบ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า User-Generated Content (UGC)


Marketing Trends ปี 2025 กับการเปิดรับอนาคตด้วยนวัตกรรมและการสร้างสรรค์เชิงกลยุทธ์

แนวโน้มการตลาดในปี 2025 (Marketing Trends) ถูกกำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Dava-Driven) และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่เคย (Customer-Centric) และด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence (AI) และแพลตฟอร์มในเชิงโต้ตอบ (Interactive) ทำให้แบรนด์ต่างๆกำลังกำหนดนิยามใหม่ของการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคกับธุรกิจต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมแบบ Real-Time เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมและเหนือจริง


กลยุทธ์การสร้างความผูกพันด้วยการทำ Emotional Branding

กลยุทธ์ในการทำธุรกิจสำหรับยุคใหม่ คือ การสร้างแบรนด์ที่ทำให้เกิดความผูกพันเชิงอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า หรือที่เราเรียกว่า Emotional Branding โดยหากแบรนด์ของคุณสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถการันตีได้เลยครับว่าแบรนด์ของคุณจะมีโอกาสถูกจดจำ และนำไปสู่การขายสินค้าหรือบริการได้มากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีการสร้างความผูกพันธ์เชิงอารมณ์ใดๆเลย



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์