
คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขับรถที่ดีกว่าคนอื่น ตัดสินใจได้ฉลาดกว่า หรือมีคุณธรรมมากกว่าคนส่วนใหญ่บ้างไหม หากใช่ คุณก็อาจไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนั้นครับ โดยความคิดที่เกิดขึ้นนี้เราเรียกกันว่า Illusory Superiority หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อคติจากการคิดว่าตัวเองดีกว่า” ซึ่งเป็นอคติทางความคิดที่พบได้บ่อย โดยคนเรามักจะประเมินคุณสมบัติ และความสามารถของตัวเองสูงเกินไปเมื่อเทียบกับคนอื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องของความบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ในวิธีที่เรามองเห็นตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ และในบทความนี้ผมจะมาเจาะลึกครับว่า Illusory Superiority คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเราอย่างไร

อะไรคือ Illusory Superiority
Illusory Superiority หรือที่เรียกว่า “อคติจากการคิดว่าตัวเองดีกว่า” คือ อคติทางความคิดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ มักจะประเมินคุณสมบัติของตัวเองในด้านต่างๆ เช่น สติปัญญา ความซื่อสัตย์ ทักษะการขับรถ หรือจรรยาบรรณในการทำงาน ว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วๆไป โดยตามหลักสถิติแล้ว “ทุกคนไม่สามารถดีกว่าค่าเฉลี่ยได้” แต่ในทางจิตวิทยา “คนส่วนใหญ่กลับเชื่อว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น” อคตินี้เกิดขึ้นได้ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว การเรียน สังคม หรือแม้แต่เรื่องคุณธรรม ซึ่งทำให้คนเราประเมินคนอื่นต่ำกว่าความเป็นจริง และประเมินตัวเองสูงเกินไป
หนึ่งในการศึกษาที่โดดเด่นที่สุด คือ ผลงานของ Ola Svenson ในปี 1981 ที่พบว่าคนขับรถชาวอเมริกันถึง 88% ประเมินว่าตัวเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย การค้นพบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการขับรถเท่านั้น แต่ยังปรากฏในการทดสอบเชาวน์ปัญญา การประเมินความเป็นผู้นำ และการตัดสินทางศีลธรรมอีกด้วย
นอกจากนี้ในปี 1995 การศึกษาของ David Dunning และ Justin Kruger ยังเผยให้เห็นว่า คนที่ทำภารกิจได้ไม่ดีมักจะประเมินผลงานของตัวเองสูงเกินไป ซึ่งแนวคิดที่เกี่ยวข้องนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Dunning-Kruger Effect

จิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง Illusory Superiority
1. อคติเพื่อเข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias)
คนเรามักจะมองว่าความสำเร็จเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่เมื่อเกิดความล้มเหลว จะโทษปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น “ที่สอบได้คะแนนดีเพราะเราฉลาด” แต่ “ที่สอบตกเพราะอาจารย์ออกข้อสอบยาก” ความคิดเช่นนี้ช่วยเสริมความเชื่อว่าเราเก่งกว่าคนอื่นอยู่เสมอ
2. การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentrism)
ครเราแต่ละคนจะรับรู้ความคิดและความตั้งใจของตัวเองได้ดีที่สุด ทำให้เรารู้สึกว่าแรงจูงใจภายในของเรานั้นดี และถูกต้องมากกว่าเมื่อเทียบกับพฤติกรรมที่เราเห็นจากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น เวลาขับรถเราจะคิดว่า “เราแค่รีบ” แต่เมื่อเห็นคนอื่นขับปาดหน้า เราจะตัดสินว่า “เขาเป็นคนขับที่แย่” การขาดข้อมูลย้อนกลับที่ตรงไปตรงมา ทำให้เรามองเห็นแต่ด้านดีของตัวเองเพียงด้านเดียว
3. การลดความไม่ลงรอยกันทางปัญญา (Cognitive Dissonance Reduction)
มนุษย์เราไม่ชอบความรู้สึกอึดอัด ที่เกิดจากการยอมรับว่าตัวเอง เป็นคนธรรมดาหรือด้อยกว่าคนอื่น จิตใจจึงพยายามแก้ไขความขัดแย้งนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนการรับรู้ให้เข้าข้างตัวเอง เช่น หากเราได้คะแนนสอบน้อยกว่าเพื่อน เราอาจจะบอกตัวเองว่า “เรื่องคะแนนไม่ได้สำคัญเท่ากับทักษะชีวิต” เพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น


ผลกระทบจาก Illusory Superiority
- ผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact)
- สร้างความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
การเชื่อว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ในบางครั้งก็ช่วยให้เรากล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ และมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง - เพิ่มแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง
ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขัน ความเชื่อว่าเราเหนือกว่าคนอื่น อาจกลายเป็นแรงผลักดันให้เราพยายามพัฒนาตัว เองเพื่อให้ยังคงรักษาความเหนือกว่านั้นไว้ได้
- สร้างความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
- ผลกระทบเชิงลบ (Negative Impact)
- ทำลายความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม
การประเมินคนอื่นต่ำกว่าความเป็นจริง อาจทำให้เราไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ให้ความเคารพในความสามารถของคนรอบข้าง และเกิดความขัดแย้งได้ - นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
การมั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจทำให้เรามองข้ามความเสี่ยง หรือข้อมูลสำคัญที่ขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง - ไม่เปิดรับคำวิจารณ์
เมื่อเราเชื่อว่าตัวเองดีอยู่แล้ว เรามักจะไม่ยอมรับคำแนะนำ หรือคำติชมจากคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรอีก
- ทำลายความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม

Illusory Superiority กับตัวอย่างในชีวิตจริง
- สติปัญญา (Intelligence)
หลายคนมักจะเชื่อว่าตัวเองมีเหตุผล มีไหวพริบ หรือมองโลกได้ลึกซึ้งกว่าคนส่วนใหญ่ แม้ว่าผลการทดสอบจะบ่งชี้เป็นอย่างอื่นก็ตาม - การขับรถ (Driving)
จากการสำรวจพบว่าคนขับรถส่วนใหญ่ ประเมินตัวเองว่าขับรถได้ระมัดระวัง มีทักษะ และมีน้ำใจมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งก็ตาม - คุณธรรมและจริยธรรม (Ethics and Morality)
คนเรามักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีเมตตามากกว่าคนทั่วไป ทั้งที่บางครั้งพฤติกรรมจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น - นักเรียนและการสอบ (Students and Exams)
นักเรียนจำนวนไม่น้อยมักจะคาดการณ์ว่า ตัวเองจะได้คะแนนสอบสูงกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดี - นักวิชาการ (Academics)
ศาสตราจารย์ตามมหาวิทยาลัยจำนวนมาก มักจะประเมินตัวเองว่า “ดีกว่าค่าเฉลี่ย” เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกเมื่อคิดว่า ทุกคนต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเอง


วิธีลดหรือเอาชนะ Illusory Superiority
1. มองหาคำติชมที่ตรงไปตรงมา (Honest Feedback)
เปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากคนรอบข้าง เกี่ยวกับผลงานหรือพฤติกรรมของคุณ การขอคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์จากผู้อื่น จะช่วยให้คุณมองเห็นจุดบกพร่องที่ตัวเองอาจมองข้ามไปได้
2. ฝึกการรับรู้ตัวเอง (Self-Awareness)
การฝึกสติและการทบทวนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การยอมรับว่าเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ จะช่วยลดอคติในการประเมินตัวเองลงได้
3. ใช้เกณฑ์วัดผลที่เป็นรูปธรรม (Objective Metrics)
เมื่อมีโอกาส ให้ใช้ข้อมูล ตัวเลข หรือผลการประเมิน จากแหล่งภายนอกมาเป็นเครื่องมือในการวัดผล แทนที่จะใช้แค่ความรู้สึกหรือการคาดเดา การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณเห็นความเป็นจริงได้แม่นยำกว่า
4. หยุดเปรียบเทียบและเน้นการเรียนรู้ (Compare Less, Learn More)
แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่การ “เป็นคนที่ดีกว่าคนอื่น” ลองเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในทุกๆวัน เมื่อคุณให้ความสำคัญกับการเติบโตของตัวเอง คุณจะหลุดพ้นจากกับดักของการเปรียบเทียบที่ไร้ประโยชน์นี้ได้
Illusory Superiority เป็นกลไกที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในการที่เรามองเห็นตัวเองและผู้อื่น เพราะมันสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้ แต่ก็อาจบดบังความเป็นจริงได้เช่นกัน และสิ่งสำคัญ ก็คือ การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงนั้นมีคุณค่า มากกว่าการคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น การตระหนักถึงอคตินี้จึงถือเป็นก้าวแรก ที่นำไปสู่การเป็นคนถ่อมตนมากขึ้น การพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง และการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อื่นนั่นเอง