A_Paper_with_Wordings_on_it

คุณเคยดูรูปภาพวันหยุดของเพื่อนแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณน่าเบื่อบ้างไหม หรือเปรียบเทียบความก้าวหน้าในอาชีพของคุณกับคนอื่น แล้วสงสัยว่าคุณกำลังล้าหลังอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์มีความโน้มเอียงฝังลึก” ที่จะวัดคุณค่าของตนเองด้วยการมองไปที่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า สัญชาตญาณตามธรรมชาตินี้อธิบายได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาอันทรงพลัง ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม” (Social Comparison Theory) ที่ผมจะพามารู้จักกันในบทความนี้ครับ

อะไรคือทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory)

ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาที่ชื่อ Leon Festinger ในปี 1954 โดยเขาเสนอว่ามนุษย์มีความต้องการพื้นฐาน ที่จะประเมินความสามารถ ผลการปฏิบัติงาน ความคิดเห็น และอารมณ์ของตนเอง และวิธีที่พบบ่อยที่สุดวิธีหนึ่งที่เราทำสิ่งนี้ คือ “การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น” แทนที่จะอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมเพียงอย่างเดียว (ซึ่งมักจะเข้าถึงได้ยาก) เรามักใช้คนอื่นเป็นจุดอ้างอิงเพื่อตอบคำถามเช่น

  • “ฉันประสบความสำเร็จไหม”
  • “ฉันดูดีไหม”
  • “ฉันใช้ชีวิตได้ดีไหม”

นิสัยการประเมินตนเองผ่านมุมมองของผู้อื่นนี้เอง ที่กลายเป็นแกนหลักของ Social Comparison Theory และการเปรียบเทียบทางสังคม ก็มีวัตถุประสงค์ทางจิตวิทยาหลายประการ เช่น

  • การประเมินตนเอง (Self-Evaluation) – เพื่อทำความเข้าใจว่าเราอยู่ในจุดไหน เมื่อเทียบกับความสำเร็จ ความน่าดึงดูดใจ สติปัญญา และอื่นๆ
  • การเสริมสร้างตนเอง (Self-Enhancement) – เพื่อค้นหาการเปรียบเทียบที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับตัวเอง
  • การพัฒนาตนเอง (Self-Improvement) – เพื่อมองหาแรงบันดาลใจและต้นแบบจากผู้อื่นเพื่อการเติบโต

นี่ถือเป็นกระบวนการที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งใช้ในการสร้าง “ความรู้สึกเป็นตัวตน” รักษา “ความภาคภูมิใจในตนเอง” และเป็นแนวทางในการตัดสินใจส่วนบุคคล แต่มันก็มีคำถามครับว่าทำไมการเปรียบเทียบ ถึงได้ฝีงลึกอยู่ในตัวของเรามากถึงขนาดนี้ ซึ่งมันก็มีเหตุผลทางจิตวิทยาในการอธิบายอยู่ว่า

  • มุมมองวิวัฒนาการ (Evolutionary Perspective)
    ในสังคมมนุษย์ยุคแรกเริ่มนั้น การเปรียบเทียบภายในกลุ่มช่วยให้เราสามารถกำหนดลำดับขั้น (Rank) สถานะ (Status) และความปลอดภัยได้ (Safety) การรู้ว่าเราอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเทียบกับผู้อื่น นับว่ามีความสำคัญต่อการอยู่รอด
  • กลไกการรับรู้ (Cognitive Mechanisms)
    สมองของเรามักจะมองหาทางลัด เพื่อทำความเข้าใจตำแหน่งของเราบนโลก การสังเกตคนรอบข้างทำได้เร็วกว่าการวิเคราะห์ตัวเองอย่างโดดเดี่ยว และนี่คือวิธีที่สมองประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms)
    สิ่งที่ถือว่าเป็น “ปกติ” ส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยพฤติกรรมของผู้อื่น ดังนั้นเราจึงคอยสังเกตผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อดูว่าเราอยู่ในจุดไหนเมื่อเทียบกับบรรทัดฐานเหล่านั้น
  • การเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning)
    เรามองผู้อื่นเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ยอมรับได้ (Acceptable) พึงปรารถนา (Desirable) หรือเป็นที่คาดหวัง (Expected) การเห็นผู้อื่นทำสิ่งต่างๆจะช่วยให้เราเข้าใจ และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมได้
  • การควบคุมตนเอง (Self-Regulation)
    การเปรียบเทียบช่วยให้เราสามารถกำหนดเป้าหมายส่วนตัว หรือขอบเขตต่างๆโดยอิงจากตัวอย่างในชีวิตจริง เราสามารถเรียนรู้จากความสำเร็จ หรือข้อผิดพลาดของผู้อื่นเพื่อปรับปรุงตัวเองได้

ประเภทของ Social Comparison Theory

ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) แบ่งได้เป็น 2 ทิศทางหลัก คือ

1. การเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า (Upward Comparison)

การเปรียบเทียบแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเราเปรียบเทียบตัวเอง กับคนที่เราเชื่อว่า “ดีกว่า” ในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ร่ำรวยกว่า หรือดูดีกว่า ตัวอย่างเช่น การเห็นเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตำแหน่ง อาจทำให้คุณเริ่มตั้งคำถามถึงความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง ซึ่งมีผลกระทบทางจิตวิทยา ดังนี้

  • ผลกระทบด้านบวก (Possitive Impact)
    สามารถเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ เช่น การเห็นนักกีฬามืออาชีพแล้วอยากฝึกฝนให้เก่งเหมือนพวกเขา
  • ผลกระทบด้านลบ (Negative Impact)
    อาจทำให้ความภาคภูมิใจในตนเองลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเรา กับคนที่เราเปรียบเทียบนั้นกว้างเกินไปจนไม่สามารถตามทันได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกท้อแท้หรืออิจฉา

2. การเปรียบเทียบกับคนที่ด้อยกว่า (Downward Comparison)

การเปรียบเทียบแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเราเปรียบเทียบตัวเอง กับคนที่เรารับรู้ว่า “แย่กว่า” หรือมีสถานการณ์ที่ด้อยกว่า ตัวอย่างเช่น การคิดว่า “อย่างน้อยฉันก็สุขภาพดีกว่าคนนั้น” หลังจากเห็นใครบางคนกำลังประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ ซึ่งมีผลกระทบทางจิตวิทยา ดังนี้

  • ผลกระทบด้านบวก (Possitive Impact)
    สามารถช่วยเพิ่มคุณค่าในตนเองและปลอบประโลมจิตใจได้ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับสถานการณ์ของตัวเอง เช่น เมื่อเรากังวลเรื่องการเงิน แต่เมื่อมองไปรอบๆแล้วเห็นว่ามีคนที่ลำบากกว่า เราก็อาจรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามี
  • ผลกระทบด้านลบ (Negative Impact)
    อาจนำไปสู่ความรู้สึกพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่มากเกินไป (Complacency) จนขาดแรงจูงใจในการพัฒนา หรือแม้กระทั่งทำให้เกิดความเย่อหยิ่ง และมองข้ามปัญหาของผู้อื่นได้
A_Man_Feeling_Stress_at_Work

Social Comparison กับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการเปรียบเทียบจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่การเปรียบเทียบอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถทำลายสุขภาพจิตได้ สิ่งนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งในบริบทสมัยใหม่ เช่น

  • โซเชียลมีเดีย (Social Media)
    เรามักจะเปรียบเทียบชีวิตเบื้องหลังของเรา (ที่เต็มไปด้วยความจริงและความท้าทาย) กับ “ช่วงเวลาสำคัญๆ” (Highlight Reels) ที่ผ่านการคัดสรร และปรุงแต่งของผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักจะแสดงแต่ด้านที่ดีที่สุดเท่านั้น ทำให้เกิดความรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ดีพอหรือน่าเบื่อ
  • วัฒนธรรมการแข่งขันสูง (Competitive Cultures)
    ในสังคมที่นิยามความสำเร็จอย่างแคบๆ เช่น ต้องรวย ต้องสวย ต้องมีตำแหน่งสูงๆ ต้องมีเงินเดือนสูงๆ เราจะเปรียบเทียบตัวเองด้วยมาตรฐานที่ผิวเผินเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกกดดันและความไม่พอใจในตนเอง หากเราไม่ตรงตามเกณฑ์เหล่านั้น
  • ตัวกระตุ้นความไม่มั่นคง (Insecurity Triggers)
    สำหรับผู้ที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low Self-Esteem) หรือมีแนวโน้มสมบูรณ์แบบ (Perfectionist Tendencies) การเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า (Upward Comparison) อาจทำให้อาการวิตกกังวล (Anxiety) และความสงสัยในตนเองแย่ลงไปอีก (Self-Doubt) เพราะพวกเขามักจะมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของตนเองเมื่อเทียบกับผู้อื่น
a_woman_sitting_at_her_desk_with_stress_feeling

เมื่อ Social Comparision เข้ามามีส่วนกับการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น ก็จะเกิดผลกระทบในเชิงลบได้อย่างมากมาย ดังนี้

  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) กับความรู้สึกไม่พอใจในตนเองอย่างต่อเนื่องและขาดความสุข
  • โรควิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety) จนเกิดความประหม่าเมื่อต้องเข้าสังคม เพราะกลัวถูกตัดสินหรือเปรียบเทียบ
  • ปัญหาภาพลักษณ์ทางร่างกาย (Body Image Issues) กับความไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การอดอาหาร หรือการเสพติดการออกกำลังกายที่มากเกินไป
  • ภาวะหมดไฟ (Burnout) กับความรู้สึกเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ จากการพยายามไล่ตามมาตรฐานของผู้อื่น
  • ความรู้สึก “ไม่ดีพอ” แบบเรื้อรัง (Feeling Chronically) กับความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่เคยดีพอ ไม่ว่าทำอะไรก็ยังรู้สึกขาดไปอยู่เสมอ
  • ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low Self-Esteem) กับการมองไม่เห็นคุณค่าในตนเองหรือเชื่อว่าตนเองไม่มีความสามารถ
  • กลุ่มอาการแอบอ้าง (Imposter Syndrome) Link กับความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนหลอกลวง ไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ได้รับ และกลัวว่าคนอื่นจะจับได้
  • การถอนตัวทางสังคม (Social Withdrawal) กับการหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะความรู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่อยากเปรียบเทียบ

ตัวอย่าง Social Comparison กับผลกระทบเชิงลบในชีวิตจริง

การเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison) เกิดขึ้นได้ในทุกแง่มุมของชีวิตประจำวัน ดังนี้

1. ศิลปินกับการยอมรับ

ศิลปินอาจตัดสินความสามารถของตนเอง จากจำนวนการยอมรับจากสาธารณะ เมื่อเทียบกับศิลปินคนอื่น เช่น จิตรกรคนหนึ่งสร้างสรรค์ผลงานมากมาย แต่เมื่อเห็นผลงานของศิลปินคนอื่น ที่ได้รับความนิยมและขายได้ในราคาสูง ก็เริ่มสงสัยในคุณค่าของงานศิลปะของตนเอง

2. ชีวิตนักเรียน / นักศึกษา

นักเรียนหรือนักศึกษาคนหนึ่งอาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้มเหลว เพียงเพราะเพื่อนร่วมชั้นดูเหมือนจะเข้าใจบทเรียนได้เร็วกว่า หรือได้คะแนนดีกว่าในวิชาเดียวกัน เช่น เห็นเพื่อนโพสต์คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่สูงกว่ามาก ทำให้รู้สึกท้อแท้กับความพยายามของตัวเอง

3. ชีวิตในที่ทำงาน

พนักงานอาจมองข้ามคุณค่าของผลงานตัวเอง หากเพื่อนร่วมงานได้รับการชื่นชมหรือคำชมเชยมากกว่า เช่น คุณทำงานหนักในโปรเจกต์หนึ่งอยู่แต่เพื่อนร่วมงานกลับได้รับรางวัล “พนักงานดีเด่น” ทำให้คุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณทำยังไม่ดีพอ

a_woman_with_burnout_at_table

4. ความสัมพันธ์

บางคนอาจรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนเองไม่แข็งแรง เพียงเพราะคนอื่นโพสต์ภาพคู่ที่ดูหวานซึ้ง หรือกิจกรรมพิเศษทางออนไลน์มากกว่า เช่น คู่รักคู่หนึ่งไม่ค่อยโพสต์รูปคู่บนโซเชียลมีเดีย แต่เมื่อเห็นคู่รักคู่อื่นโพสต์รูปไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ก็เริ่มตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ของตัวเอง “น่าเบื่อ” เกินไปหรือเปล่า

5. วัยรุ่นกับการเปรียบเทียบความนิยม

วัยรุ่นอาจเปรียบเทียบความนิยมของตนเองจากจำนวนผู้ติดตาม (Followers) และยอดกดไลค์ (Likes) บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น รู้สึกไม่มั่นใจเมื่อเห็นเพื่อนมีผู้ติดตาม TikTok จำนวนมาก ในขณะที่ตัวเองมีน้อยกว่ามาก

a_woman_using_smartphone

6. คนทำงานกับความก้าวหน้าในอาชีพ

ผู้เชี่ยวชาญในสายงานอาจรู้สึกติดขัดหรือไม่ก้าวหน้า หลังจากเห็นเพื่อนร่วมรุ่นเริ่มธุรกิจของตัวเอง หรือได้รับการเลื่อนตำแหน่งครั้งใหญ่ เช่น คุณทำงานมาหลายปีในตำแหน่งเดิม แต่เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกลับเปิดบริษัทของตัวเอง และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณเริ่มสงสัยในเส้นทางอาชีพของตัวเอง

7. ผู้ปกครองกับการเปรียบเทียบความสำเร็จของลูก

พ่อแม่อาจนำความสำเร็จของลูก ไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น เช่น คุณแม่ท่านหนึ่งภาคภูมิใจที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่เมื่อทราบว่าลูกของเพื่อนบ้านได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็เริ่มรู้สึกว่าลูกของตัวเองยังไปได้ไม่ไกลพอ

kids_make_some_noise_behind_working_mom

วิธีการรับมือกับ Social Comparison

แทนที่จะพยายามกำจัดการเปรียบเทียบ (ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย) เราสามารถเรียนรู้ ที่จะจัดการกับวิธีที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบนั้นได้ ดังนี้

1. ฝึกฝนการตระหนักรู้ในตนเอง (Raise Awareness)

  • จับตัวเองให้ได้เมื่อกำลังเปรียบเทียบ
    ทันทีที่คุณรู้สึกว่ากำลังเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ให้หยุดและตั้งคำถามกับตัวเองว่า “การเปรียบเทียบนี้กำลังช่วยคุณอยู่หรือกำลังทำร้ายตัวคุณกันแน่”
  • พิจารณาผลกระทบ
    การตระหนักรู้ว่าการเปรียบเทียบนั้นมีประโยชน์หรือเป็นโทษในขณะนั้น จะช่วยให้คุณสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนความคิด หรือหยุดกระบวนการเปรียบเทียบที่ไม่สร้างสรรค์ได้

2. เปลี่ยนจุดอ้างอิง (Switch the Focus)

  • เปรียบเทียบกับตัวคุณในอดีต
    แทนที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ให้หันมาเปรียบเทียบกับตัวคุณเองในอดีต โดยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “คุณมาไกลแค่ไหนแล้ว คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง คุณพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง”
  • มุ่งเน้นที่การเติบโต ไม่ใช่การจัดอันดับ
    การติดตามความก้าวหน้าและการเติบโตส่วนบุคคลของคุณ จะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะรู้สึกถูกกดดันจากการจัดอันดับ หรือการแข่งขันกับคนอื่น

3. จำกัดการเปิดรับสิ่งกระตุ้น (Limit Triggers)

  • ออกห่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
    ใช้เวลาพักจากการใช้แอปพลิเคชั่น แพลตฟอร์มต่างๆ หรือกลุ่มต่างๆ ที่มักนำเสนอเนื้อหาที่ถูกทำให้สมบูรณ์แบบเกินจริง หรือกระตุ้นให้เกิดการเปรียบเทียบที่เป็นพิษ
  • เลือกเนื้อหาและบุคคลที่จะติดตาม
    พยายามคัดกรองเนื้อหาและเลือกติดตาม บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจในทางที่ดี แทนที่จะเป็นผู้ที่ทำให้คุณรู้สึกด้อยค่า

4. ปรับกรอบการเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า (Reframe Upward Comparison)

  • ใช้เป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่การตัดสิน
    เมื่อคุณเห็นความสำเร็จของผู้อื่น ให้มองว่าเป็นแรงบันดาลใจและโอกาสในการเรียนรู้ แทนที่จะนำมาตัดสินคุณค่าของตัวเอง
  • เรียนรู้จากผู้อื่นโดยไม่ด้อยค่าตัวเอง
    ลองศึกษาเส้นทางสู่ความสำเร็จของพวกเขา ดูว่ามีอะไรที่คุณสามารถนำมาปรับใช้ได้บ้าง โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตัวเอง “ด้อยกว่า” หรือ “ไม่ดีพอ”

5. สร้างมาตรฐานภายในของตนเอง (Define Your Own Standards)

  • กำหนดนิยามความสำเร็จและความสุขในแบบของคุณ
    ความสำเร็จ ความสุข และคุณค่าในชีวิต ไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาเหมือนกันสำหรับทุกคน
  • ตัดสินใจว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณ
    กำหนดคุณค่าและเป้าหมายส่วนตัวของคุณเอง แทนที่จะให้สังคมหรือผู้อื่นมากำหนดว่าคุณควรจะเป็นอย่างไร การมีมาตรฐานภายในที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณ มีความมั่นคงทางอารมณ์และไม่ถูกกระทบกระเทือนง่ายๆ จากการเปรียบเทียบภายนอก

ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) นั้นช่วยให้เราเข้าใจหนึ่งในแนวโน้ม ที่เป็นธรรมชาติที่สุดของมนุษย์ นั่นก็คือ “ความปรารถนาที่จะรู้จักตัวเองผ่านผู้อื่น” แม้ว่าการเปรียบเทียบจะผลักดันให้เราเติบโตได้ แต่ก็สามารถบิดเบือนคุณค่าในตนเองของเราได้เช่นกัน หากปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่มีการควบคุม โดยทฤษฎีนี้จะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนวิธีคิดอย่างมีสติและมีเมตตามากขึ้นนั่นเอง



หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594


Share to friends


Related Posts

จิตวิทยาการสื่อสาร (Psychology of Communication) กับการทำให้คนฟังอย่างตั้งใจจริง

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด ผู้จัดการ ผู้ประกอบการ หรือ Content Creator ความสามารถในการทำให้ผู้คนตั้งใจฟังอย่างแท้จริง อาจสร้างความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวได้ และการที่จะทำให้สิ่งที่คุณสื่อสารนั้นติดตรึงอยู่ในใจของผู้คน และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ก็คือ การเข้าใจในจิตวิทยาของการสื่อสาร (Psychology of Communication) ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยวิธีที่ผู้คนคิด (Think) รู้สึก (Feel) และแสดงพฤติกรรม (Behave)


จิตวิทยาและการตลาดกับ Anxiety and Uncertainty เมื่อความกังวลใจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า

คุณเคย “ลังเล” ก่อนที่จะกดปุ่ม “ซื้อเลย” บ้างไหม ทั้งๆที่คุณเองก็ต้องการสินค้านั้นเป็นอย่างมาก หรือบางครั้งก็ดันเปลี่ยนใจในช่วงตอนกำลังจะชำระเงิน ทั้งๆที่คุณเองก็ใช้เวลาเปรียบเทียบและดูรีวิวมานาน ซึ่งมันเป็นความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ไม่ใช่ความตึงเครียดในเรื่องของราคาหรือคุณค่า แต่เป็นเรื่องของ “ความกังวล” (Anxiety) และ “ความไม่แน่นอน” (Uncertainty)


จิตวิทยาและการตลาดด้วย Science of Happiness กับ Dopamine สารที่ช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อ

เคยสังเกตไหมครับว่าทำไมหลายๆคนถึงตื่นเต้นกับการช้อปปิ้ง เกิดความรู้สึกโหยหาแบรนด์ที่โปรดปราน หรือรู้สึกถึงความสุขทางอารมณ์เมื่อทำการซื้อสินค้าอะไรบางอย่าง คำตอบของความรู้สึกนี้อยู่ที่เคมีในสมองที่ชื่อ “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เชื่อมโยงถึงความสุข (Happiness) ความพึงพอใจ (Pleasure) จากการได้รับรางวัลบางอย่าง (Reward) และหากนักการตลาดที่เข้าใจบทบาทของ “โดพามีน” (Dopamine)



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์