
เคยไหมที่เห็น AI สามารถตอบคำถามยากๆแบบพรวดเดียวจบได้ จนคุณไม่เข้าใจว่ามันคิดมาได้ยังไง ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุมาจากการคิดแบบเป็นขั้นๆเชื่อมโยงกันไป และมันได้กลายเป็นเทคนิคการ Prompt แบบหนึ่งที่เรียกว่า Chain-of-Thought (CoT) ซึ่งเปรียบเสมือนการปลดล็อกให้ AI ได้ “คิดออกเสียง” ทีละขั้นตอน ซึ่งคล้ายกับวิธีที่เรามนุษย์ใช้เหตุผลเพื่อแก้ปัญหาอันสุดซับซ้อน โดย CoT ไม่เพียงแค่ทำให้ AI สามารถแยกแยะปัญหาออกเป็นลำดับแบบเชิงตรรกะ (Logic) เท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แม่นยำ อธิบายได้ชัดเจน และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น และในบทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเทคนิค Chain-of-Thought (CoT) ว่ามันคืออะไรและทำงานอย่างไร เพื่อที่ผู้อ่านจะได้นำไปใช้ในการเขียน Prompts ได้ดีมากยิ่งขึ้น

การ Prompt แบบ Chain-of-Thought คืออะไร
การ Prompt แบบ Chain-of-Thought (CoT) คือ เทคนิคการสั่งการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI “คิดออกเสียง” หรือ “แสดงกระบวนการคิด” ของตัวเองออกมาเป็นลำดับขั้น ก่อนที่จะให้คำตอบสุดท้าย เพราะโดยปกติแล้วเวลาเราถามคำถาม AI มันมักจะให้คำตอบออกมาเลยทันที โดยที่เราไม่เห็นว่า AI ใช้เหตุผลอย่างไร หรือมีขั้นตอนการคิดอะไรบ้าง แต่ CoT จะเปลี่ยนตรงจุดนี้ด้วยการกระตุ้นให้ AI “สร้างชุดของขั้นตอนการให้เหตุผล” หรือที่เรียกว่า “ลูกโซ่แห่งความคิด” (Chain-of-Thought) ออกมาก่อน
อยากให้ลองนึกภาพว่าคุณกำลังแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน “โดยแทนที่จะเขียนแค่คำตอบสุดท้าย แต่คุณจะแสดงวิธีทำทีละขั้นตอน” จุดนี้แหละครับคือสิ่งที่ CoT ทำกับ AI และเหตุผลที่มันเหมาะที่จะนำมาใช้ก็มี ดังนี้
- ไม่กระโดดข้ามขั้นตอน
แทนที่จะกระโดดไปที่คำตอบทันที AI จะค่อยๆอธิบายกระบวนการคิดของมัน เช่น “ขั้นแรกฉันจะพิจารณา… จากนั้นฉันจะวิเคราะห์… ซึ่งจะนำไปสู่ข้อสรุปว่า…” - เชื่อมโยงความคิด
AI จะสร้างการเชื่อมโยงเชิงตรรกะระหว่างความคิดแต่ละขั้น คล้ายกับการเรียงตัวของห่วงโซ่ ทำให้เรามองเห็นเส้นทางที่ AI ใช้ในการแก้ปัญหาหรือตอบคำถาม - โปร่งใสและตรวจสอบได้
การแสดงขั้นตอนเหล่านี้ทำให้เราในฐานะผู้ใช้งานเข้าใจว่า AI มาถึงข้อสรุปนั้นได้อย่างไร ทำให้กระบวนการทำงานของ AI มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากขึ้น ถ้ามีข้อผิดพลาดเราก็สามารถย้อนกลับไปดูได้ว่า AI เริ่มคิดผิดพลาดตรงจุดไหน
วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การคำนวณแบบหลายขั้นตอน การอนุมานเชิงตรรกะ งานที่ต้องอาศัยความเข้าใจที่ต้องมีการอธิบาย

กฎของการ Prompt แบบ Chain-of-Thought
การ Prompt แบบ Chain-of-Thought (CoT) ไม่ได้มีโครงสร้างที่ตายตัวหรือตัวย่อเฉพาะ ซึ่งอาจแตกต่างจากกรอบการทำงานอื่นๆ เพราะหลักการสำคัญของ CoT คือ “การให้เหตุผล ไม่ใช่การจัดรูปแบบ” โดยจุดประสงค์เพื่อ “นำทางให้ AI คิดไปทีละขั้นตอน เหมือนกับมนุษย์ที่กำลังแก้ปัญหา” โดยแทนที่จะออกคำสั่งหรือถามคำถาม AI โดยตรง คุณจะขอให้ AI “แสดงกระบวนการคิดของมันก่อน” ซึ่งจะช่วยให้ AI สามารถแยกย่อยตรรกะ พิจารณาความเป็นไปได้ และได้คำตอบที่แม่นยำ ลึกซึ้ง หรือสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งนั่นก็เพราะว่า
- งานที่แตกต่างกันต้องการการให้เหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น คณิตศาสตร์ จริยธรรม การเขียน การวางแผน
- การกำหนดโครงสร้างที่ตายตัว จะจำกัดความสามารถของ AI ในการสำรวจปัญหาจากมุมมองต่างๆ
- CoT ส่งเสริมการคิดที่ลื่นไหลและปรับตัวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มันมีประสิทธิภาพ

กฎของ Chain-of-Thought (CoT) คือ การให้ AI
คิดก่อนจะตอบอะไรออกมา


Chain-of-Thought Framework
ขั้นตอน | กระบวนการ |
---|---|
ขั้นที่ 1 | แบ่งงานที่ซับซ้อนให้เป็นส่วนย่อยที่จัดการได้ง่ายขึ้น |
ขั้นที่ 2 | ให้เหตุผลหรืออธิบายความคิดเบื้องหลัง การแก้ปัญหาในแต่ละส่วนย่อย |
ขั้นที่ 3 | สร้างความเชื่อมโยงที่สมเหตุสมผลระหว่างแต่ละส่วน เพื่อแสดงให้เห็นถึงลำดับการคิด |
ขั้นที่ 4 | สรุปผลลัพธ์สุดท้ายที่มาจากกระบวนการคิดและเหตุผลที่ชัดเจน |
ขั้นแรกคือการ “ทำความเข้าใจปัญหา” ซึ่งทำให้มั่นใจว่า AI เข้าใจคำถามหรืองานที่ได้รับอย่างถ่องแท้ เป็นการวางรากฐานที่ชัดเจนสำหรับสิ่งที่ต้องแก้ไข ถัดมาคือการ “แยกย่อยปัญหา” โดยแบ่งงานที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้น ที่ช่วยให้ AI สามารถมุ่งเน้นไปที่แต่ละองค์ประกอบทีละขั้นตอน ขั้นตอนที่ 3 คือ “การให้เหตุผลผ่านแต่ละส่วน” ซึ่งส่งเสริมให้ AI วิเคราะห์และเชื่อมโยงองค์ประกอบย่อยๆเหล่านี้อย่างรอบคอบ สำรวจมุมมอง และความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันเพื่อสร้างแนวทางแก้ไข ไปสู่ “การให้คำตอบสุดท้าย” ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่ได้รับจากขั้นตอนก่อนหน้า เพื่อส่งมอบคำตอบที่ได้รับการพิจารณาอย่างดีและถูกต้อง

ตัวอย่างการใช้ Chain-of-Thought ในการเขียน AI Prompts
Example #1 การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนแบบทีละขั้นตอน
- C – Clarify the problem (ทำความเข้าใจปัญหา) ทำความเข้าใจคำถามและสิ่งที่โจทย์ต้องการให้หา
- H – Highlight key data (ระบุข้อมูลสำคัญ) ระบุตัวเลขและรายละเอียดที่สำคัญ
- A – Analyze relationships (วิเคราะห์ความสัมพันธ์) ทำความเข้าใจว่าข้อมูลแต่ละส่วนเชื่อมโยงกันอย่างไร
- I – Infer intermediate steps (คำนวณ/คิดวิเคราะห์แต่ละส่วน) คำนวณหรือให้เหตุผลผ่านแต่ละส่วนย่อยอย่างมีตรรกะ
- N – Navigate to conclusion (นำทางสู่ข้อสรุป) รวมผลลัพธ์เพื่อหาคำตอบสุดท้าย
ตัวอย่าง AI Prompt
“โปรดแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์นี้แบบทีละขั้นตอน โดยในขั้นแรก อธิบายว่าคำถามต้องการอะไร พร้อมระบุตัวเลขและรายละเอียดสำคัญ แล้ววิเคราะห์ว่าข้อมูลเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างไร และคำนวณหรือวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และสุดท้าย ช่วยนำทางไปสู่คำตอบสุดท้ายพร้อมคำอธิบาย”
Example #2 การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางธุรกิจที่มีหลายปัจจัย
- C – Clarify objective (ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์) กำหนดว่าต้องวิเคราะห์หรือตัดสินใจเรื่องใด
- H – Highlight key points (ระบุประเด็นสำคัญ) ระบุข้อมูลและข้อจำกัดที่สำคัญ
- A – Assess relationships (ประเมินความสัมพันธ์) ทำความเข้าใจความสัมพันธ์แบบเหตุและผล หรือการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
- I – Interpret each factor’s impact (ตีความผลกระทบของแต่ละปัจจัย) ให้เหตุผลผ่านผลที่ตามมาของแต่ละปัจจัย
- N – Navigate to recommendation (นำทางสู่ข้อเสนอแนะ) สังเคราะห์ข้อค้นพบไปสู่ข้อสรุป
ตัวอย่าง AI Prompt
“วิเคราะห์กรณีศึกษาทางธุรกิจนี้ทีละขั้นตอนโดยใช้ Chain-of-Thought เริ่มด้วยทำความเข้าใจวัตถุประสงค์หลัก ระบุข้อมูลและข้อจำกัดสำคัญ ประเมินว่าปัจจัยต่างๆสัมพันธ์กันอย่างไร ตีความผลกระทบของแต่ละปัจจัย และสุดท้าย นำทางไปสู่ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนพร้อมคำอธิบาย”
Example #3 การแก้จุดบกพร่องของ Code ทีละขั้นตอนอย่างมีตรรกะ
- C – Check each code part (ตรวจสอบโค้ดแต่ละส่วน) ทบทวนการทำงานของโค้ดทีละบรรทัด
- H – Highlight suspicious code (ระบุโค้ดที่น่าสงสัย) ระบุส่วนที่อาจเกิดข้อผิดพลาด
- A – Analyze logic flow (วิเคราะห์ลำดับการทำงานของโปรแกรม) ลำดับการทำงานของโปรแกรม หรือทิศทางที่ข้อมูลและคำสั่งถูกประมวลผลไปทีละขั้นตอน
- I – Investigate problem sources (ตรวจสอบแหล่งที่มาของปัญหา) ให้เหตุผลเกี่ยวกับข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น
- N – Navigate fix (นำทางสู่การแก้ไข) เสนอแนวทางแก้ไขพร้อมคำอธิบายเป็นขั้นตอน
ตัวอย่าง AI Prompt
“ช่วยแก้จุดบกพร่องของ Code นี้โดยไล่ไปทีละขั้นตอน โดยตรวจสอบการทำงานของโค้ดแต่ละส่วน ระบุส่วนที่น่าสงสัย วิเคราะห์ลำดับการทำงานของโปรแกรม หรือทิศทางที่ข้อมูลและคำสั่งถูกประมวลผลไปทีละขั้นตอน ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น และนำทางไปสู่การแก้ไขพร้อมคำอธิบายโดยละเอียด”
RCAO Framework เหมาะกับใคร
ประเภทผู้ใช้งาน | Chain-of-Thought (CoT) ช่วยอะไรได้บ้าง |
---|---|
Educators | ใช้สอนการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา |
Students | เรียนรู้การอธิบายกระบวนการให้เหตุผล |
Developers | ทำความเข้าใจและแก้ไขข้อผิดพลาดของ Code อย่างมีตรรกะ |
Analysts & Researchers | วิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนทีละขั้นตอน |
Anyone | ใครที่ต้องการเหตุผลของ AI ที่โปร่งใสและเป็นขั้นเป็นตอน |
การ Prompt แบบ Chain-of-Thought (CoT) ช่วยให้ AI “คิดไปทีละขั้นตอน” ก่อนที่จะตอบสนอง โดยมันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ การให้เหตุผล และความลึกซึ้ง โดยเฉพาะสำหรับงานที่ซับซ้อน ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมากสำหรับการนำมาใช้ กับงานที่มีรายละเอียดและต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนนั่นเอง