Optimism Bias อคติจากการมองโลกในแง่ดี จนเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

คุณเคยรู้สึกไหมว่าเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับคนอื่น และก็คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับคุณบ้างไหม บางทีคุณอาจเชื่อว่าคุณจะได้งานในฝัน มีสุขภาพแข็งแรง หรือหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ แม้ว่าสถิติต่างๆอาจจะชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม แนวโน้มที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปของมนุษย์นี้เราเรียกว่า “อคติจากการมองโลกในแง่ดี” (Optimism Bias) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด


Sunk Cost Fallacy กับเหตุผลที่เรายังยึดติดทั้งๆที่มันควรจบ

คุณเคยบังคับตัวเองให้ดูหนังจนจบทั้งๆที่ไม่สนุกเลย เพียงเพราะคุณจ่ายค่าตั๋วไปแล้วบ้างหรือไม่ หรือยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวหรืองานที่ไม่ก้าวหน้าเพราะคิดว่า “ก็ลงทุนไปตั้งเยอะแล้ว จะให้เลิกตอนนี้ได้ยังไง” กรอบความคิดที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คือ การดำเนินต่อไปในเส้นทางเดิม เพียงเพราะสิ่งที่เราสูญเสียไปแล้ว ซึ่งถูกเรียกว่า “The Sunk Cost Fallacy” นั่นเองครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในจิตวิทยาที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับ The Sunk Cost Fallacy จากมุมมองทางจิตวิทยาและพฤติกรรม (Psychology & Behavior)


The Dunning-Kruger Effect เมื่อเรารู้ไม่พอ…แต่กลับมั่นใจเกินจริง

คุณเคยเจอใครบางคนที่ “มั่นใจ” ในทักษะที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญเลยไหม หรือบางทีคุณอาจเคยคิดว่าตัวเอง “เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง” จนกระทั่งได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วตระหนักว่าจริงๆแล้ว “คุณรู้น้อยแค่ไหน” ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “ผลกระทบดันนิง-ครูเกอร์” (The Dunning-Kruger Effect) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด ที่ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือความรู้ต่ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป


Self-Serving Bias เมื่อเรามองโลกในมุมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

คุณเคยสังเกตไหมว่าคนเรา มักจะยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ตัวอย่างเช่น หากคุณสอบได้คะแนนดีเยี่ยม คุณอาจคิดว่าเป็นเพราะคุณอ่านหนังสือหนักหรือเป็นคนฉลาด แต่ถ้าคุณสอบตกขึ้นมาเมื่อไหร่คุณอาจโทษว่าข้อสอบยากหรือเป็นเพราะความโชคร้าย รูปแบบทางจิตวิทยานี้เราเรียกว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางความคิดที่บุคคล จะอ้างเหตุผลว่าความสำเร็จของตนเองมาจากปัจจัยภายใน


Social Comparison Theory ทำไมเราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คุณเคยดูรูปภาพวันหยุดของเพื่อนแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณน่าเบื่อบ้างไหม หรือเปรียบเทียบความก้าวหน้าในอาชีพของคุณกับคนอื่น แล้วสงสัยว่าคุณกำลังล้าหลังอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์มีความโน้มเอียงฝังลึก” ที่จะวัดคุณค่าของตนเองด้วยการมองไปที่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า สัญชาตญาณตามธรรมชาตินี้อธิบายได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาอันทรงพลัง ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม” (Social Comparison Theory)


The Spotlight Effect เมื่อเราไม่ได้เป็นจุดสนใจอย่างที่คิด

คุณเคยเดินเข้าไปในห้องแล้วรู้สึกเหมือนว่า “ทุกคนกำลังจ้องมองคุณไหม” หรือบางทีคุณอาจทำกาแฟหกใส่เสื้อ ทำพลาดเล็กน้อยระหว่างการนำเสนอ หรือพูดอะไรแปลกๆในบทสนทนา และทันใดนั้นคุณก็รู้สึกเหมือน “ทุกสายตา” กำลังจับจ้องมาที่คุณและตัดสินคุณอยู่ ความรู้สึกประหม่าอย่างรุนแรงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่น่าเหลือเชื่อ และมีชื่อทางจิตวิทยาว่า “The Spotlight Effect” ครับ


The Contrast Effect ทำไมการรับรู้ของคนถึงถูกหลอกได้ง่ายๆ จากการเปรียบเทียบ

คุณเคยไหมที่รู้สึกว่าของบางอย่างหนัก จนกระทั่งคุณลองยกของที่หนักกว่า หรือรู้สึกว่าใครบางคนดูใจดีเป็นพิเศษ เพียงเพราะคนที่เจอมาก่อนหน้านั้นหยาบคาย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและพฤติกรรม (Psychology & Behavior) ที่เรียกว่า “ผลกระทบจากการเปรียบเทียบ” (The Contrast Effect) และแม้ว่าจะถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในการตลาดและการโน้มน้าวใจ


copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์