AI_Generated_Image_of_People_Watching_Road_Accident

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์หรือเห็นเหตุการณ์ ในขณะที่คุณกำลังเดินไปตามท้องถนน และเผอิญเห็นใครสักคนล้มลงบนทางเท้า พอคุณมองไปรอบๆและเห็นคนที่อยู่ใกล้ๆคุณรวมถึงตัวคุณเอง ที่เกิดความลังเลไม่มีใครขยับตัวที่จะเข้าไปช่วย เพราะคุณคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นๆก็คงจะช่วยเองบ้างหรือเปล่า หากคุณเคยมีลักษณะอาการแบบนี้ นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังอยู่ในปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “ผลกระทบจากผู้ยืนดู” (Bystander Effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่เผยให้เห็นว่าอิทธิพลทางสังคม และการกระจายความรับผิดชอบ สามารถนำไปสู่การ “ไม่ดำเนินการร่วมกัน” ได้อย่างไร แม้จะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตแค่ไหนก็ตาม ผมจะพาผู้อ่านมาสำรวจที่มาที่ไป และรากฐานทางจิตวิทยาของ “ผลกระทบจากผู้ยืนดู” (Bystander Effect) รวมถึงวิธีที่เราจะสามารถเอาชนะปรากฎการณ์นี้ได้กันครับ

Bystander Effect คืออะไร

ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) หากอ้างถึงทฤษฎีจิตวิทยาทางสังคมแล้วนั้น ก็มีความหมายว่า การที่บุคคลมีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือน้อยลงแก่เหยื่อเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย และยิ่งมีคนอยู่มากเท่าไหร่ โอกาสที่คนใดคนหนึ่งจะให้ความช่วยเหลือก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นี่ถือเป็นผลมาจากแนวคิดที่เรียกว่า “การกระจายความรับผิดชอบ” ครับ โดยที่ผู้ยืนดูแต่ละคนจะสมมติว่าคนอื่นจะลงมือทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำ

โดยที่มาของผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) นั้นมาจากคดีหนึ่งในอดีตตั้งแต่ปี 1964 ที่ชื่อ “คดี Kitty Genovese” ซึ่งเป็นหนึ่งในดคีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในนครนิวยอร์ก โดยมีรายงานว่าเพื่อนบ้านหลายสิบคน เป็นพยานหรือได้ยินการโจมตีดังกล่าวแต่ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง หรือโทรแจ้งตำรวจได้อย่างทันเวลา และแม้ว่าข้อเท็จจริงของคดีจะถูกปรับเปลี่ยนในภายหลังแล้วก็ตาม แต่ก็จุดประกายให้เกิดการวิจัยทางจิตวิทยาอย่างลึกซึ้งว่า ทำไมคนดีๆบางครั้งจึงไม่สามารถกระทำอะไรได้เลยแม้จะอยู่ในกรณีฉุกเฉินก็ตาม

ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) ได้รับการพัฒนาและศึกษาอย่างลึกซึ้ง โดยนักจิตวิทยาสังคม 2 ท่านคือ Bibb Latané และ John Darley โดยทั้ง 2 เริ่มทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากได้รับแรงบันดาลใจจากคดีฆาตกรรม Kitty Genovese ในปี 1964 ที่มีรายงานว่ามีพยานหลายคน แต่ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจได้ทันเวลา แม้ว่ารายละเอียดของคดีจะมีการโต้แย้งในภายหลังก็ตาม แต่ก็จุดประกายให้ Latané และ Darley สนใจศึกษาว่า ทำไมผู้คนถึงไม่กระทำการใดๆในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีพยานหลายคน และมันก็มีหลักและกลไลที่อยู่เบื้องหลังผลกระทบของ Bystander Effect ดังนี้

1. การกระจายความรับผิดชอบ (Diffusion of Responsibility)

แก่นสำคัญของ Bystander Effect คือ เมื่อคุณเป็นพยานในเหตุการณ์ฉุกเฉินและมีคนอื่นๆอยู่ด้วย สมองของคุณจะเริ่มคิดว่า “มีคนอื่นอยู่นี่นา คงจะมีใครสักคนช่วยแหละ” ความรับผิดชอบในการช่วยเหลือ จึงไม่ได้ตกอยู่กับคุณเพียงผู้เดียว แต่เหมือนกับถูก “กระจาย” ออกไปในหมู่คนทั้งหมดที่อยู่ในสถานการณ์นั้น ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่แต่ละคนก็จะยิ่งรู้สึกว่า ความรับผิดชอบที่ตัวเองต้องแบกรับนั้นน้อยลงเท่านั้น ทำให้ทุกคนต่างรอให้คนอื่นเป็นคนแรกที่ลงมือทำ จนสุดท้ายก็ไม่มีใครทำอะไรเลย

เมื่อมีคนอยู่รอบๆตัวเรามากขึ้น เราจะรู้สึกว่าความรับผิดชอบส่วนตัว
ในการลงมือทำลดลง เพราะเราจะคิดว่าคนอื่นจะทำเอง


2. อิทธิพลทางสังคมและภาวะเมินเฉยพร้อมกัน (Social Influence & Pluralistic Ignorance)

ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและเรามักจะมองคนรอบข้าง เพื่อหาข้อมูลว่าสถานการณ์ต่างๆ ว่าควรได้รับการตอบสนองอย่างไร โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน เช่น มีคนล้มลงแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือแค่เดินสะดุดอะไรบางอย่าง ถ้าไม่มีใครแสดงท่าทีตกใจหรือเข้าไปช่วยเราก็อาจจะอนุมานว่า “คงไม่มีอะไรมั้ง” หรือ “คนอื่นก็ไม่เห็นตื่นเต้นเลย” ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “ภาวะการเมินเฉยพร้อมกัน” (Pluralistic Ignorance) ซึ่งก็คือ ทุกคนต่างคิดว่าคนอื่นรู้ว่าควรทำอะไร และเชื่อมั่นในการตัดสินใจของคนอื่น แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างกำลังมองหาคำตอบจากคนอื่นอยู่เช่นกัน ทำให้เกิดภาวะที่ต่างคนต่างรอ ต่างคนต่างเงียบ และไม่มีใครลงมือทำ

เรามักจะมองหาพฤติกรรมของผู้อื่น เพื่อเป็นสัญญาณว่าควรทำอย่างไร
หากไม่มีใครตอบสนอง เราจะตีความสถานการณ์ว่าไม่เร่งด่วน
แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม

AI-Generated-Image-of-a-man-fainted-on-street

3. ความกลัวการถูกตัดสิน (Fear of Judgment)

ไม่มีใครอยากดูโง่หรือทำผิดพลาดในที่สาธารณะครับ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนนั้น การเข้าไปช่วยเหลืออาจทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ คุณอาจกังวลว่าจะทำสถานการณ์ให้แย่ลง จะถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าเป็นคนโง่ถ้าสิ่งที่คุณทำไม่เหมาะสม ความกลัวเหล่านี้ทำให้เราลังเลที่จะกระทำการใดๆ กลายเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ขัดขวางการช่วยเหลือได้

ผู้คนอาจกลัวการถูกตัดสิน การทำให้อับอาย
หรือการทำสิ่งผิดพลาดในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากสถานการณ์นั้นไม่ชัดเจน


4. ความคลุมเครือของสถานการณ์ (Unclear Situation)

ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เช่น คนที่ล้มลงแค่เมาหรือเป็นลม หรือเสียงดังนั้นคืออุบัติเหตุ หรือแค่การทะเลาะวิวาท คุณจะตัดสินใจลำบากว่าจะต้องทำอะไร หรือต้องช่วยเหลือแบบไหน ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้สมองของเราเกิดภาวะ “แช่แข็ง” โดยไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี จนทำให้เราหยุดนิ่ง สับสน และรอให้สถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น หรือรอให้มีคนอื่นที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์มากกว่า เป็นผู้นำและเป็นผู้ลงมือทำก่อน

เมื่อไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
หรือต้องการความช่วยเหลือแบบไหน ผู้คนมักจะหยุดนิ่ง
หรือรอให้คนอื่นเป็นผู้นำ

กลไกเหล่านี้มักจะทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดสถานการณ์ที่แม้จะมีผู้คนจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะก้าวออกมาให้ความช่วยเหลือนั่นเอง

ผลกระทบของ Bystander Effect ต่อสังคมและบุคคล

ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบที่กว้างกว่า ทั้งต่อสังคมโดยรวมและตัวบุคคลเอง ดังนี้

1. ความล่าช้าในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน (Delay in Emergency Response)

ในสถานการณ์วิกฤต เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หัวใจวาย หรือเหตุรุนแรง ที่ทุกวินาทีนั้นมีค่า การที่ไม่มีใครตัดสินใจเข้าช่วยเหลือเพราะเกิดผลกระทบจาก Bystander Effect ทำให้เวลาอันมีค่าในการช่วยชีวิต หรือบรรเทาความเสียหายผ่านพ้นไปได้ การช่วยเหลือที่ล่าช้าเพียงไม่กี่นาที อาจเป็นตัวกำหนดความแตกต่างระหว่างชีวิตกับความตาย หรือระหว่างการบาดเจ็บเล็กน้อยกับการบาดเจ็บสาหัสได้เลย

2. ความเสียใจทางศีลธรรม (Moral Regret)

แม้ในตอนแรกผู้ยืนดูอาจไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เพราะคิดว่าคนอื่นจะจัดการเอง แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป เมื่อได้ย้อนคิดทบทวนหลายคนจะรู้สึกถึงความสำนึกผิด ความเสียใจ และความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย นั่นเป็นเพราะจิตสำนึกทางศีลธรรมของมนุษย์ยังคงอยู่ และความรู้สึกนี้สามารถรบกวนจิตใจได้ในระยะยาว สร้างบาดแผลทางใจให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้กระทำการ

3. ความเฉยชาทางวัฒนธรรม (Cultural Desensitization)

หากสังคมหนึ่งๆมีประสบการณ์ซ้ำๆ ที่ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน สิ่งนี้อาจนำไปสู่การยอมรับความเฉยชา (Apathy) ให้กลายเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมการไม่แยแสนี้อาจแพร่กระจาย และกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่เป็นไรที่จะไม่ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันจะกัดกร่อนสายสัมพันธ์ในชุมชน ทำให้ผู้คนมีความเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง และลดทอนความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่ง ที่ต้องรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมสังคม

ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) นั้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาเสมอไป ซึ่งมันก็มีบางเงื่อนไขที่สามารถลดหรือขจัดผลกระทบนี้ได้ เช่น

  • หากผู้ยืนดูนั้นอยู่คนเดียว
    เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ยืนดูนั้นอยู่เพียงลำพัง พวกเขามีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือมากกว่ามาก เพราะเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว ความรับผิดชอบทั้งหมดจะตกอยู่กับบุคคลนั้นโดยตรง ไม่มีใครให้คาดหวังว่าจะเข้ามาช่วย ทำให้บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะลงมือทำ
  • หากรู้สึกว่ามีความสามารถ
    ใครบางคนที่ได้รับการฝึกปฐมพยาบาลเบื้องต้น หรือรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ พวกเขามีแนวโน้มที่จะก้าวเข้าไปช่วยมากกว่า ความรู้สึกมั่นใจในทักษะและความสามารถของตนเอง จะช่วยเอาชนะความกลัวการถูกตัดสิน และความคลุมเครือของสถานการณ์ได้ บุคคลที่ได้รับการฝึกอบรมจะรู้ว่าต้องทำอะไร จึงลดความลังเลนั้นลง
  • การร้องขอความช่วยเหลือโดยตรง
    การระบุตัวบุคคลและมอบหมายหน้าที่ที่ชัดเจน จะขจัดความคลุมเครือและป้องกันการกระจายความรับผิดชอบ ทำให้บุคคลที่ถูกระบุนั้นรู้สึกถึงภาระหน้าที่โดยตรงในการลงมือทำ เช่น “คุณคนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินนั่นหนะ ช่วยกรุณาโทรแจ้ง 191 ด้วยครับ”

ตัวอย่างในชีวิตจริงของ Bystander Effect

ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบทเรียนทางจิตวิทยาเท่านั้น แต่ยังปรากฏให้เห็นในสถานการณ์จริงรอบตัวเราอยู่บ่อยครั้ง เช่น

สถานการณ์ฉุกเฉิน

  • คนเป็นลมในที่สาธารณะ
    คุณอาจเคยเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง เมื่อคนเป็นลมลงไปนอนอยู่กลางฝูงชนในห้างสรรพสินค้า ป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟฟ้า แม้จะมีคนเดินผ่านไปมามากมาย แต่หลายคนก็แค่หยุดมองชั่วครู่แล้วเดินผ่านไป เพราะคิดว่า “เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาช่วยแหละ” หรือ “ไม่รู้จะช่วยยังไงดี” และกว่าจะมีคนตัดสินใจโทรเรียกความช่วยเหลือ หรือเข้าไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็อาจใช้เวลานาน ทำให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • อุบัติเหตุเล็กน้อยบนท้องถนน
    ตัวอย่างที่พบบ่อย เช่น รถจักรยานยนต์ล้ม หรือรถยนต์เฉี่ยวชนกันเล็กน้อย ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน บางครั้งคนขับรถที่ประสบเหตุก็ต้องจัดการเอง เพราะรถคันอื่นที่ขับผ่านไป ไม่ได้หยุดให้ความช่วยเหลือทันที พวกเขาอาจคิดว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไรมากมั้ง” หรือ “ตำรวจหรือประกันคงมาเร็วๆนี้แหละ”
AI_Generated_Image_of_Car_Accident_on_the_Road

การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์

  • กลุ่มไลน์หรือเฟซบุ๊กที่มีการบูลลี่
    ในกลุ่มแชทที่มีสมาชิกจำนวนมาก หากมีใครคนหนึ่งถูกกลั่นแกล้งด้วยคำพูดหรือรูปภาพ ผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆอาจเลือกที่จะนิ่งเฉย เพราะคิดว่า “มีคนอื่นตั้งเยอะเดี๋ยวก็มีคนจัดการเอง” หรือ “ไม่อยากยุ่งเดี๋ยวโดนหางเลข” ทำให้ผู้กระทำผิดได้ใจและผู้ถูกกระทำ ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปโดยไม่ได้รับการปกป้อง
  • ข่าวปลอมหรือข้อมูลที่เป็นอันตราย
    ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เมื่อมีคนโพสต์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือสร้างความเกลียดชัง ผู้คนจำนวนมากที่เห็นอาจไม่ได้กดรายงานโพสต์นั้น เพราะคาดหวังว่า “เดี๋ยวก็มีคนอื่นกดรายงานเอง” หรือ “แอดมินคงเห็นแล้ว” ทำให้ข้อมูลผิดๆแพร่กระจายออกไปได้ง่ายขึ้น
AI_Generated_Image_of_Social_Media_Bullying

โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

  • การล่วงละเมิดในงานกิจกรรม
    ในงานปาร์ตี้หรือกิจกรรมที่มีคนเยอะๆ หากมีคนหนึ่งกำลังถูกคุกคามหรือล่วงละเมิด ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์อาจลังเลที่จะเข้าไปช่วย เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือไม่ และกลัวจะทำสถานการณ์ให้แย่ลง หรือคิดว่าคนอื่นจะเข้ามาจัดการเอง ทำให้เหยื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายนานขึ้น
  • เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทหรือการกลั่นแกล้งในโรงเรียน
    ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก หากมีเหตุการณ์นักเรียนทะเลาะกัน หรือมีเด็กถูกกลั่นแกล้งในมุมใดมุมหนึ่งของอาคารเรียน เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ อาจไม่ได้เข้าไปห้ามหรือแจ้งครูทันที เพราะความกลัวการถูกมองว่าสอดรู้สอดเห็น และไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปช่วยอย่างไร หรือเชื่อว่า “มีคนอื่นเห็นตั้งเยอะ เดี๋ยวครูก็มาเองแหละ” ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บทางกายหรือจิตใจที่รุนแรงขึ้น
AI_Generated_Image_of_Students_Doing_Group_Activity_at_School

วิธีการเอาชนะ Bystander Effect

การรับรู้ถึงผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก แต่การจะเอาชนะมันได้นั้น เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้เฝ้ามองไปสู่การเป็นผู้ลงมือทำ และคุณเองก็สามารถนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ได้ครับ

1. การตระหนักรู้

ก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง คือ การรู้ว่าปัญหามีอยู่จริง และเมื่อคุณเข้าใจว่าสมองของเรา มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในกับดักของการกระจายความรับผิดชอบ และความเฉยชาทางสังคมได้ง่ายๆ คุณจะเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ในสถานการณ์จริง การตระหนักรู้จะทำให้คุณสามารถก้าวออกจาก “โหมดผู้ยืนดู” และตัดสินใจอย่างมีสติว่าจะลงมือทำอย่างไร

2. รับผิดชอบด้วยตัวเอง

เมื่อคุณเห็นใครบางคนต้องการความช่วยเหลือ ให้ถามตัวเองว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ฉันล่ะ” แทนที่จะคิดว่า “เดี๋ยวก็มีคนอื่นช่วยเอง” ให้เปลี่ยนความคิดเป็น “ฉันสามารถช่วยได้ และฉันจะช่วย” การรับผิดชอบส่วนบุคคล หมายถึง การไม่ปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่น แต่ให้ถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทางออก หากสัญชาตญาณบอกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ก็ให้เชื่อในความรู้สึกนั้นและกล้าที่จะเป็นคนแรกที่ลงมือทำ

3. ทำลายความเงียบงัน

หนึ่งในกลไกของผลกระทบจาก Bystander Effect คือ “อิทธิพลทางสังคม” ที่ผู้คนที่มองหากันและกัน เพื่อดูว่าควรตอบสนองอย่างไร ดังนั้น การที่คุณเป็นคนแรกที่ส่งเสียง แสดงความกังวล หรือตั้งคำถาม เช่น “มีใครโอเคไหม” “เกิดอะไรขึ้น” หรือ “เราควรโทรหาใครดี” จะเป็นการทำลายความเงียบ และสัญญาณความไม่แน่ใจในกลุ่มของคุณ สิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นให้คนอื่นๆตระหนักถึงสถานการณ์ และอาจทำให้พวกเขากล้าที่จะลงมือทำตามคุณ

4. เป็นผู้นำด้วยการกระทำ

คุณไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่เพื่อเอาชนะ Bystander Effect ครับ แค่การเริ่มต้นด้วยการกระทำเล็กๆน้อยๆก็เพียงพอแล้ว เช่น การเดินเข้าไปหาคนที่ดูเหมือนต้องการความช่วยเหลือ การสบตาเพื่อแสดงว่าคุณเห็นพวกเขา การถามคำถามง่ายๆ เช่น “คุณโอเคไหมครับ” หรือ “ให้ฉันช่วยอะไรได้ไหม” การกระทำเหล่านี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน ไปยังคนรอบข้างว่า “สถานการณ์นี้ต้องการความช่วยเหลือ และฉันกำลังทำอะไรบางอย่าง” ซึ่งสามารถจุดประกายให้คนอื่นๆรู้สึกกล้า และเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือได้เช่นกัน


ผลกระทบจากผู้ยืนดู (Bystander Effect) แสดงให้เห็นว่าการลงมือทำ สามารถถูกแทนที่ด้วยความลังเลได้อย่างง่ายดายแค่ไหน และด้วยความรู้ ความตระหนักรู้ในตนเอง และความเห็นอกเห็นใจ เราสามารถเปลี่ยนจาก “ผู้สังเกตการณ์อย่างเฉยชา” ไปเป็น “ผู้ให้ความช่วยเหลือที่กระตือรือร้น” ได้ และในบางครั้งการเป็นคนแรกที่แสดงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน ก็เป็นสิ่งเดียวที่จำเป็นในการสร้างความแตกต่างนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

Optimism Bias อคติจากการมองโลกในแง่ดี จนเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

คุณเคยรู้สึกไหมว่าเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับคนอื่น และก็คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับคุณบ้างไหม บางทีคุณอาจเชื่อว่าคุณจะได้งานในฝัน มีสุขภาพแข็งแรง หรือหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ แม้ว่าสถิติต่างๆอาจจะชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม แนวโน้มที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปของมนุษย์นี้เราเรียกว่า “อคติจากการมองโลกในแง่ดี” (Optimism Bias) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด


Self-Serving Bias เมื่อเรามองโลกในมุมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

คุณเคยสังเกตไหมว่าคนเรา มักจะยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ตัวอย่างเช่น หากคุณสอบได้คะแนนดีเยี่ยม คุณอาจคิดว่าเป็นเพราะคุณอ่านหนังสือหนักหรือเป็นคนฉลาด แต่ถ้าคุณสอบตกขึ้นมาเมื่อไหร่คุณอาจโทษว่าข้อสอบยากหรือเป็นเพราะความโชคร้าย รูปแบบทางจิตวิทยานี้เราเรียกว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางความคิดที่บุคคล จะอ้างเหตุผลว่าความสำเร็จของตนเองมาจากปัจจัยภายใน


Sunk Cost Fallacy กับเหตุผลที่เรายังยึดติดทั้งๆที่มันควรจบ

คุณเคยบังคับตัวเองให้ดูหนังจนจบทั้งๆที่ไม่สนุกเลย เพียงเพราะคุณจ่ายค่าตั๋วไปแล้วบ้างหรือไม่ หรือยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวหรืองานที่ไม่ก้าวหน้าเพราะคิดว่า “ก็ลงทุนไปตั้งเยอะแล้ว จะให้เลิกตอนนี้ได้ยังไง” กรอบความคิดที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คือ การดำเนินต่อไปในเส้นทางเดิม เพียงเพราะสิ่งที่เราสูญเสียไปแล้ว ซึ่งถูกเรียกว่า “The Sunk Cost Fallacy” นั่นเองครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในจิตวิทยาที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับ The Sunk Cost Fallacy จากมุมมองทางจิตวิทยาและพฤติกรรม (Psychology & Behavior)



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์