Team_Throwing_Paper_in_the_Air

คุณเคยสังเกตไหมว่าคนเรา มักจะยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ตัวอย่างเช่น หากคุณสอบได้คะแนนดีเยี่ยม คุณอาจคิดว่าเป็นเพราะคุณอ่านหนังสือหนักหรือเป็นคนฉลาด แต่ถ้าคุณสอบตกขึ้นมาเมื่อไหร่คุณอาจโทษว่าข้อสอบยากหรือเป็นเพราะความโชคร้าย รูปแบบทางจิตวิทยานี้เราเรียกว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางความคิดที่บุคคล จะอ้างเหตุผลว่าความสำเร็จของตนเองมาจากปัจจัยภายใน เช่น ความสามารถหรือความพยายาม แต่จะอ้างเหตุผลว่าความล้มเหลวมาจากปัจจัยภายนอก เช่น โชคหรือสถานการณ์ และผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับคำว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ว่ามันส่งผลกระทบอย่างไรต่อพฤติกรรมของคนเรา

ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias)

ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) คือ แนวโน้มที่เราจะตีความเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะที่ช่วยปกป้องหรือเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง อคตินี้ช่วยให้ผู้คนรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองไว้ได้ (Positive Self-Image) โดยการเลือกที่จะกำหนดสาเหตุให้กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างลำเอียง ดังนี้

  • เมื่อประสบความสำเร็จ (Success)
    เรามักจะโทษว่าเป็นเพราะ “สาเหตุภายใน” (Internal Causes) เช่น “ฉันทำได้ดีเพราะฉันมีความสามารถหรือทำงานหนัก”
  • เมื่อล้มเหลว (Failure)
    เรามักจะโทษว่าเป็นเพราะ “สาเหตุภายนอก” (External Causes) เช่น “ฉันทำได้ไม่ดีเพราะสถานการณ์ไม่ยุติธรรมหรือฉันโชคร้าย”

Self-Serving Bias ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งมันก็มีหลายปัจจัยทางจิตวิทยาที่อธิบายว่า ทำไมสมองของเราจึงทำงานในลักษณะนี้ เช่น

  1. การปกป้องความภาคภูมิใจในตนเอง (Protecting Self-Esteem)
    โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง และหลีกเลี่ยงความรู้สึกว่าล้มเหลวหรือไม่เพียงพอ การที่เรายกความดีความชอบให้กับตัวเองเมื่อประสบความสำเร็จ และปัดความผิดไปให้ปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว เป็นกลไกป้องกันทางจิตวิทยา (Psychological Defense Mechanism) ที่ช่วยให้เรารักษาระดับความภาคภูมิใจในตนเองให้คงที่หรือเพิ่มขึ้นได้
  2. การเสริมสร้างแรงจูงใจ (Enhancing Motivation)
    การที่เราเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากความสามารถหรือความพยายามของตัวเองจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและกระตุ้นให้เราพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต หากเราคิดว่าความสำเร็จเป็นผลมาจากโชคเพียงอย่างเดียว เราอาจขาดแรงจูงใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในครั้งต่อไป
  3. การลดความไม่ลงรอยกันทางปัญญา (Reducing Cognitive Dissonance)
    ความไม่ลงรอยกันทางปัญญา (Cognitive Dissonance) คือ ความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นเมื่อความเชื่อ การกระทำ หรือทัศนคติของเราขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาด แต่กลับสอบตก การโทษปัจจัยภายนอก (เช่น ข้อสอบยาก) ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่สบายใจ ระหว่างการกระทำของคุณ (สอบตก) กับการรับรู้ตนเอง (ฉันเป็นคนฉลาด) ได้
  4. การเปรียบเทียบทางสังคมและการจัดการความประทับใจ (Social Comparison and Impression Management)
    เราทุกคนต้องการให้ผู้อื่นมองเราในแง่ดี ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองช่วยให้เราสามารถสร้าง และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้อื่นได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จและอ้างว่า เป็นเพราะความสามารถของเรา ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะมองเราว่ามีความสามารถและน่าเชื่อถือมากขึ้น ในทางกลับกัน การที่เราโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ก็ช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของเราในสังคมได้
A_Man_Showing_His_Success_in_front_of_Building_Office

ผลกระทบของ Self-Serving Bias

ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) ไม่ได้มีแต่ด้านลบเสมอไป แต่ก็มีผลดีและผลเสียที่ส่งผลต่อชีวิตของเราได้เช่นกัน ดังนี้

1. ผลกระทบเชิงบวก (Positive Effects)

  • ปกป้องสุขภาพจิต
    กลไกนี้ช่วย “ปกป้องความภาคภูมิใจในตนเอง” ของเราจากความล้มเหลวและความผิดหวัง ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองอยู่เสมอ
  • ส่งเสริมความพากเพียร
    การเชื่อว่าความสำเร็จมาจากความสามารถของตัวเอง จะช่วย “ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพส่วนบุคคล” และกระตุ้นให้เราพยายามต่อไปเมื่อเจออุปสรรค
  • สร้างเสริมการมองโลกในแง่ดีและความยืดหยุ่น
    ความลำเอียงนี้ช่วยให้เรามี “ทัศนคติเชิงบวก” และมีความสามารถในการ “ฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ท้าทาย” ได้เร็วขึ้น เพราะเรามักจะมองหาข้อดีหรือโทษปัจจัยภายนอกเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
A_Couple_Showing_Success_Under_The_Sun

2. ผลกระทบเชิงลบ (Negative Effects)

  • ขัดขวางการพัฒนาตนเอง
    การที่เราไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง และโทษปัจจัยภายนอกอยู่เสมอจะ “ป้องกันไม่ให้เราประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมา” ทำให้เรามองไม่เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงและเติบโต
  • ทำลายความสัมพันธ์
    หากเราโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง อาจ “สร้างความเสียหายให้กับความสัมพันธ์” ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือคนรัก เพราะอีกฝ่ายอาจรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกตำหนิอยู่เสมอ
  • นำไปสู่การบิดเบือนความเป็นจริง และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    การมองโลกในแง่ที่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เรา “รับรู้ความเป็นจริงผิดเพี้ยนไป” และนำไปสู่ “การตัดสินใจที่ไม่ดี” เพราะเราอาจไม่ยอมรับข้อมูลหรือข้อผิดพลาด ที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่เราสร้างไว้

จะเห็นได้ว่าความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกลไกทางจิตวิทยาที่มีทั้งประโยชน์และโทษ โดยการทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้เรา สามารถจัดการกับอคตินี้ได้อย่างมีสติมากขึ้น และใช้ประโยชน์จากข้อดีในขณะที่ลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้น

A_Man_Feel_Disappointed_sitting_on_a_couch

ตัวอย่างของ Self-Serving Bias

ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) สามารถพบเห็นในหลากหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เรื่องการเรียนไปจนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น

1. ผลการเรียน (Academic Performance)

ในรั้วสถาบันการศึกษา เรามักเห็นความลำเอียงนี้บ่อยครั้ง เช่น

  • เมื่อได้เกรดดี – นักเรียนนักศึกษามักจะอ้างว่าผลลัพธ์นี้เกิดจาก “สติปัญญา” ของตนเอง หรือ “ความขยันหมั่นเพียร” ในการอ่านหนังสือและการเตรียมตัวสอบ
  • เมื่อได้เกรดไม่ดี – ในทางกลับกันพวกเขาจะโทษปัจจัยภายนอก เช่น ข้อสอบที่ “ไม่ยุติธรรม” ยากเกินไป หรือครูอาจารย์ที่ “มีอคติ” ในการให้คะแนน

พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความพยายาม ที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ในฐานะผู้เรียนที่ดีและมีความสามารถ การที่คนเชื่อว่าตนเองฉลาดจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง ในขณะที่การโทษสิ่งต่างๆภายนอกเมื่อล้มเหลว ก็ช่วยลดความรู้สึกผิดหวังหรือความไม่เพียงพอลงได้

A_Picture_of_Graduation_in_Monochrome

2. กีฬา (Sports)

ในโลกของการแข่งขันกีฬา ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น

  • เมื่อชนะ – นักกีฬามักจะให้เครดิตกับ “ทักษะความสามารถ” ของตนเอง “การฝึกซ้อมอย่างหนัก” และ “กลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม” ที่เตรียมมา
  • เมื่อแพ้ – พวกเขาจะมองหาสาเหตุภายนอก เช่น การตัดสินของกรรมการที่ “ไม่เป็นธรรม” สภาพอากาศที่ “เลวร้าย” หรือ “โชคร้าย” ที่ไม่เป็นใจ

สำหรับนักกีฬา การรักษาความเชื่อมั่นในตัวเองและทีม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน การโทษปัจจัยภายนอกเมื่อพ่ายแพ้ ช่วยให้พวกเขายังคงรู้สึกถึงความสามารถของตัวเอง และรักษากำลังใจเพื่อการแข่งขันครั้งต่อไป

Image_of_Cycling_Competition

3. สภาพแวดล้อมการทำงาน (Work Environment)

ในบรรยากาศการทำงาน ความลำเอียงก็มีบทบาทสำคัญต่อการรับรู้ ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เช่น

  • เมื่อได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือประสบความสำเร็จในโครงการ – พนักงานมักจะอ้างถึง “ความสามารถ” ของตนเอง “ความทุ่มเท” หรือ “การตัดสินใจที่ชาญฉลาด”
  • เมื่อทำงานผิดพลาดหรือล้มเหลวในหน้าที่ – พวกเขาจะโทษปัจจัยภายนอก เช่น คำแนะนำที่ “ไม่ชัดเจน” จากหัวหน้า สถานการณ์ที่ “ยากลำบาก” หรือการขาดการ “สนับสนุน” จากเพื่อนร่วมงาน

ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการแข่งขันสูง การรักษาภาพลักษณ์เชิงบวก ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตในอาชีพ การยอมรับความสำเร็จและปัดความล้มเหลวออกไป จะช่วยให้พนักงานรักษาระดับความมั่นใจ และยังคงได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร

Colleagues_Enjoying_Business_Success

4. ความสัมพันธ์ (Relationships)

แม้แต่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองก็ยังเข้ามามีอิทธิพลได้ เช่น

  • เมื่อความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดีหรือมีช่วงเวลาที่ดี – ผู้คนมักจะให้เครดิตกับ “ความพยายาม” ของตนเอง “ความเข้าใจ” หรือ “ทักษะ” ในการสื่อสารที่ดี
  • เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือปัญหาในความสัมพันธ์ – พวกเขาจะโทษ “คู่รัก” ว่าเป็นฝ่ายผิด “ไม่เข้าใจ” หรือโทษ “ปัจจัยภายนอก” ที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด เช่น ความเครียดจากงานหรือปัญหาทางการเงิน

ในความสัมพันธ์ การปกป้องอีโก้ของตัวเองอาจเป็นดาบสองคม ในแง่หนึ่งมันอาจช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองและหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด แต่ในอีกแง่หนึ่ง คือ การไม่ยอมรับบทบาทของตัวเองในความขัดแย้ง อาจขัดขวางการแก้ไขปัญหา และพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาวได้

A_Couple_Riding_Bicycle_Under_the_Sunset

จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกลไกที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจมนุษย์ ช่วยให้เรารักษาสมดุลทางอารมณ์ และภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม การตระหนักถึงอคตินี้จะช่วยให้เราเข้าใจ พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

วิธีจัดการกับ Self-Serving Bias

การตระหนักรู้ถึงความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การจัดการ แม้ว่าเราจะกำจัดอคตินี้ไปไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะลดผลกระทบเชิงลบของมันได้ ดังนี้

1. การมีสติและตระหนักรู้ (Self-Awareness)

สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การตระหนักรู้” ว่าความลำเอียงนี้มีอยู่จริง และสามารถส่งผลต่อการรับรู้ของเราได้ เมื่อคุณพบเจอสถานการณ์ที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว โดยให้ลองหยุดคิดและตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า

  • “เรากำลังยกความดีความชอบให้ตัวเองมากเกินไป สำหรับความสำเร็จนี้หรือไม่”
  • “เรากำลังโทษปัจจัยภายนอกมากเกินไป สำหรับความล้มเหลวนี้หรือไม่”
  • “มีส่วนไหนที่เราสามารถรับผิดชอบได้บ้าง”

การฝึกตั้งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น

2. การขอความคิดเห็นจากผู้อื่น (Asking Feedback)

บ่อยครั้งที่เรามองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง การขอ “ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา” จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือสมาชิกในครอบครัวที่เราไว้ใจ สามารถช่วยให้เราได้รับมุมมองที่แตกต่างออกไป พวกเขาอาจชี้ให้เห็นสิ่งที่เรามองข้ามไป หรือช่วยให้เราเห็นบทบาทของตัวเอง ในสถานการณ์ต่าง ๆได้ชัดเจนขึ้น

3. การเรียนรู้จากความล้มเหลว (Learning from Failure)

แทนที่จะมองความล้มเหลวเป็นเพียงเหตุการณ์โชคร้าย ให้มองว่าเป็น “โอกาสในการเรียนรู้” โดยลองวิเคราะห์สถานการณ์ที่ผิดพลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน และถามตัวเองว่า

  • “เราทำอะไรแตกต่างออกไปได้บ้างในครั้งหน้า”
  • “มีทักษะอะไรที่เราต้องพัฒนา”
  • “อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากประสบการณ์นี้”

การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน เป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง

4. การฝึกความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Practicing Empathy)

ลองพยายาม “ทำความเข้าใจมุมมองของผู้อื่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความขัดแย้ง การลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยลดแนวโน้มที่จะโทษผู้อื่น และทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

5. การพัฒนา “Growth Mindset”

Growth Mindset คือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถและสติปัญญาของเรา สามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายามและการเรียนรู้ การมีกรอบความคิดแบบนี้จะช่วยให้เรามองความล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นสิ่งสะท้อนถึงความไม่เพียงพอของเรา เมื่อเราเชื่อว่าเราสามารถพัฒนาได้ เราก็จะเปิดใจยอมรับข้อผิดพลาด และมองหาวิธีที่จะดีขึ้น


การจัดการกับความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อคุณทำได้ คุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พัฒนาความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น และเติบโตเป็นบุคคลที่ดีขึ้นในทุกด้านของชีวิตนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

Social Comparison Theory ทำไมเราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คุณเคยดูรูปภาพวันหยุดของเพื่อนแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณน่าเบื่อบ้างไหม หรือเปรียบเทียบความก้าวหน้าในอาชีพของคุณกับคนอื่น แล้วสงสัยว่าคุณกำลังล้าหลังอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์มีความโน้มเอียงฝังลึก” ที่จะวัดคุณค่าของตนเองด้วยการมองไปที่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า สัญชาตญาณตามธรรมชาตินี้อธิบายได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาอันทรงพลัง ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม” (Social Comparison Theory)


The Spotlight Effect เมื่อเราไม่ได้เป็นจุดสนใจอย่างที่คิด

คุณเคยเดินเข้าไปในห้องแล้วรู้สึกเหมือนว่า “ทุกคนกำลังจ้องมองคุณไหม” หรือบางทีคุณอาจทำกาแฟหกใส่เสื้อ ทำพลาดเล็กน้อยระหว่างการนำเสนอ หรือพูดอะไรแปลกๆในบทสนทนา และทันใดนั้นคุณก็รู้สึกเหมือน “ทุกสายตา” กำลังจับจ้องมาที่คุณและตัดสินคุณอยู่ ความรู้สึกประหม่าอย่างรุนแรงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่น่าเหลือเชื่อ และมีชื่อทางจิตวิทยาว่า “The Spotlight Effect” ครับ


จิตวิทยาและการตลาดด้วย Fluency Effect ยิ่งเข้าใจง่าย ยิ่งดูน่าเชื่อถือและขายได้ดี

คุณเคยอ่านสโลแกน ฟังเพลงโฆษณา หรือเห็นข้อความจากแบรนด์ แล้วทำการ “คลิก” ในทันทีหรือไม่ นั่นก็มีสาเหตุมาจากการที่คุณเข้าใจมัน คุณจดจำมันได้ และไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ คุณก็เชื่อมั่นในสิ่งๆนั้นไปแล้ว และนี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผลจากการคิดอย่างมีเหตุผลของคุณ แต่มันเป็นพลังของปรากฏการณ์ของ “ความคล่องแคล่ว” ที่กำลังทำงานอยู่นั่นเอง ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จัก ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่น่าสนใจนี้ ที่ชื่อ “Fluency Effect”



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์