
คุณเคยสังเกตไหมว่าคนเรา มักจะยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ตัวอย่างเช่น หากคุณสอบได้คะแนนดีเยี่ยม คุณอาจคิดว่าเป็นเพราะคุณอ่านหนังสือหนักหรือเป็นคนฉลาด แต่ถ้าคุณสอบตกขึ้นมาเมื่อไหร่คุณอาจโทษว่าข้อสอบยากหรือเป็นเพราะความโชคร้าย รูปแบบทางจิตวิทยานี้เราเรียกว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางความคิดที่บุคคล จะอ้างเหตุผลว่าความสำเร็จของตนเองมาจากปัจจัยภายใน เช่น ความสามารถหรือความพยายาม แต่จะอ้างเหตุผลว่าความล้มเหลวมาจากปัจจัยภายนอก เช่น โชคหรือสถานการณ์ และผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับคำว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ว่ามันส่งผลกระทบอย่างไรต่อพฤติกรรมของคนเรา

ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias)
ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) คือ แนวโน้มที่เราจะตีความเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะที่ช่วยปกป้องหรือเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง อคตินี้ช่วยให้ผู้คนรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองไว้ได้ (Positive Self-Image) โดยการเลือกที่จะกำหนดสาเหตุให้กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างลำเอียง ดังนี้
- เมื่อประสบความสำเร็จ (Success)
เรามักจะโทษว่าเป็นเพราะ “สาเหตุภายใน” (Internal Causes) เช่น “ฉันทำได้ดีเพราะฉันมีความสามารถหรือทำงานหนัก” - เมื่อล้มเหลว (Failure)
เรามักจะโทษว่าเป็นเพราะ “สาเหตุภายนอก” (External Causes) เช่น “ฉันทำได้ไม่ดีเพราะสถานการณ์ไม่ยุติธรรมหรือฉันโชคร้าย”
Self-Serving Bias ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งมันก็มีหลายปัจจัยทางจิตวิทยาที่อธิบายว่า ทำไมสมองของเราจึงทำงานในลักษณะนี้ เช่น
- การปกป้องความภาคภูมิใจในตนเอง (Protecting Self-Esteem)
โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง และหลีกเลี่ยงความรู้สึกว่าล้มเหลวหรือไม่เพียงพอ การที่เรายกความดีความชอบให้กับตัวเองเมื่อประสบความสำเร็จ และปัดความผิดไปให้ปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว เป็นกลไกป้องกันทางจิตวิทยา (Psychological Defense Mechanism) ที่ช่วยให้เรารักษาระดับความภาคภูมิใจในตนเองให้คงที่หรือเพิ่มขึ้นได้ - การเสริมสร้างแรงจูงใจ (Enhancing Motivation)
การที่เราเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากความสามารถหรือความพยายามของตัวเองจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและกระตุ้นให้เราพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต หากเราคิดว่าความสำเร็จเป็นผลมาจากโชคเพียงอย่างเดียว เราอาจขาดแรงจูงใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในครั้งต่อไป - การลดความไม่ลงรอยกันทางปัญญา (Reducing Cognitive Dissonance)
ความไม่ลงรอยกันทางปัญญา (Cognitive Dissonance) คือ ความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นเมื่อความเชื่อ การกระทำ หรือทัศนคติของเราขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาด แต่กลับสอบตก การโทษปัจจัยภายนอก (เช่น ข้อสอบยาก) ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่สบายใจ ระหว่างการกระทำของคุณ (สอบตก) กับการรับรู้ตนเอง (ฉันเป็นคนฉลาด) ได้ - การเปรียบเทียบทางสังคมและการจัดการความประทับใจ (Social Comparison and Impression Management)
เราทุกคนต้องการให้ผู้อื่นมองเราในแง่ดี ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองช่วยให้เราสามารถสร้าง และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้อื่นได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จและอ้างว่า เป็นเพราะความสามารถของเรา ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะมองเราว่ามีความสามารถและน่าเชื่อถือมากขึ้น ในทางกลับกัน การที่เราโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ก็ช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของเราในสังคมได้


ผลกระทบของ Self-Serving Bias
ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) ไม่ได้มีแต่ด้านลบเสมอไป แต่ก็มีผลดีและผลเสียที่ส่งผลต่อชีวิตของเราได้เช่นกัน ดังนี้
1. ผลกระทบเชิงบวก (Positive Effects)
- ปกป้องสุขภาพจิต
กลไกนี้ช่วย “ปกป้องความภาคภูมิใจในตนเอง” ของเราจากความล้มเหลวและความผิดหวัง ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองอยู่เสมอ - ส่งเสริมความพากเพียร
การเชื่อว่าความสำเร็จมาจากความสามารถของตัวเอง จะช่วย “ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพส่วนบุคคล” และกระตุ้นให้เราพยายามต่อไปเมื่อเจออุปสรรค - สร้างเสริมการมองโลกในแง่ดีและความยืดหยุ่น
ความลำเอียงนี้ช่วยให้เรามี “ทัศนคติเชิงบวก” และมีความสามารถในการ “ฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ท้าทาย” ได้เร็วขึ้น เพราะเรามักจะมองหาข้อดีหรือโทษปัจจัยภายนอกเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

2. ผลกระทบเชิงลบ (Negative Effects)
- ขัดขวางการพัฒนาตนเอง
การที่เราไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง และโทษปัจจัยภายนอกอยู่เสมอจะ “ป้องกันไม่ให้เราประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมา” ทำให้เรามองไม่เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงและเติบโต - ทำลายความสัมพันธ์
หากเราโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง อาจ “สร้างความเสียหายให้กับความสัมพันธ์” ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือคนรัก เพราะอีกฝ่ายอาจรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกตำหนิอยู่เสมอ - นำไปสู่การบิดเบือนความเป็นจริง และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
การมองโลกในแง่ที่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เรา “รับรู้ความเป็นจริงผิดเพี้ยนไป” และนำไปสู่ “การตัดสินใจที่ไม่ดี” เพราะเราอาจไม่ยอมรับข้อมูลหรือข้อผิดพลาด ที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่เราสร้างไว้
จะเห็นได้ว่าความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกลไกทางจิตวิทยาที่มีทั้งประโยชน์และโทษ โดยการทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้เรา สามารถจัดการกับอคตินี้ได้อย่างมีสติมากขึ้น และใช้ประโยชน์จากข้อดีในขณะที่ลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้น


ตัวอย่างของ Self-Serving Bias
ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) สามารถพบเห็นในหลากหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เรื่องการเรียนไปจนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น
1. ผลการเรียน (Academic Performance)
ในรั้วสถาบันการศึกษา เรามักเห็นความลำเอียงนี้บ่อยครั้ง เช่น
- เมื่อได้เกรดดี – นักเรียนนักศึกษามักจะอ้างว่าผลลัพธ์นี้เกิดจาก “สติปัญญา” ของตนเอง หรือ “ความขยันหมั่นเพียร” ในการอ่านหนังสือและการเตรียมตัวสอบ
- เมื่อได้เกรดไม่ดี – ในทางกลับกันพวกเขาจะโทษปัจจัยภายนอก เช่น ข้อสอบที่ “ไม่ยุติธรรม” ยากเกินไป หรือครูอาจารย์ที่ “มีอคติ” ในการให้คะแนน
พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความพยายาม ที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ในฐานะผู้เรียนที่ดีและมีความสามารถ การที่คนเชื่อว่าตนเองฉลาดจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง ในขณะที่การโทษสิ่งต่างๆภายนอกเมื่อล้มเหลว ก็ช่วยลดความรู้สึกผิดหวังหรือความไม่เพียงพอลงได้

2. กีฬา (Sports)
ในโลกของการแข่งขันกีฬา ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น
- เมื่อชนะ – นักกีฬามักจะให้เครดิตกับ “ทักษะความสามารถ” ของตนเอง “การฝึกซ้อมอย่างหนัก” และ “กลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม” ที่เตรียมมา
- เมื่อแพ้ – พวกเขาจะมองหาสาเหตุภายนอก เช่น การตัดสินของกรรมการที่ “ไม่เป็นธรรม” สภาพอากาศที่ “เลวร้าย” หรือ “โชคร้าย” ที่ไม่เป็นใจ
สำหรับนักกีฬา การรักษาความเชื่อมั่นในตัวเองและทีม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน การโทษปัจจัยภายนอกเมื่อพ่ายแพ้ ช่วยให้พวกเขายังคงรู้สึกถึงความสามารถของตัวเอง และรักษากำลังใจเพื่อการแข่งขันครั้งต่อไป

3. สภาพแวดล้อมการทำงาน (Work Environment)
ในบรรยากาศการทำงาน ความลำเอียงก็มีบทบาทสำคัญต่อการรับรู้ ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เช่น
- เมื่อได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือประสบความสำเร็จในโครงการ – พนักงานมักจะอ้างถึง “ความสามารถ” ของตนเอง “ความทุ่มเท” หรือ “การตัดสินใจที่ชาญฉลาด”
- เมื่อทำงานผิดพลาดหรือล้มเหลวในหน้าที่ – พวกเขาจะโทษปัจจัยภายนอก เช่น คำแนะนำที่ “ไม่ชัดเจน” จากหัวหน้า สถานการณ์ที่ “ยากลำบาก” หรือการขาดการ “สนับสนุน” จากเพื่อนร่วมงาน
ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการแข่งขันสูง การรักษาภาพลักษณ์เชิงบวก ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตในอาชีพ การยอมรับความสำเร็จและปัดความล้มเหลวออกไป จะช่วยให้พนักงานรักษาระดับความมั่นใจ และยังคงได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร

4. ความสัมพันธ์ (Relationships)
แม้แต่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเองก็ยังเข้ามามีอิทธิพลได้ เช่น
- เมื่อความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดีหรือมีช่วงเวลาที่ดี – ผู้คนมักจะให้เครดิตกับ “ความพยายาม” ของตนเอง “ความเข้าใจ” หรือ “ทักษะ” ในการสื่อสารที่ดี
- เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือปัญหาในความสัมพันธ์ – พวกเขาจะโทษ “คู่รัก” ว่าเป็นฝ่ายผิด “ไม่เข้าใจ” หรือโทษ “ปัจจัยภายนอก” ที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด เช่น ความเครียดจากงานหรือปัญหาทางการเงิน
ในความสัมพันธ์ การปกป้องอีโก้ของตัวเองอาจเป็นดาบสองคม ในแง่หนึ่งมันอาจช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองและหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด แต่ในอีกแง่หนึ่ง คือ การไม่ยอมรับบทบาทของตัวเองในความขัดแย้ง อาจขัดขวางการแก้ไขปัญหา และพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาวได้

จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกลไกที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจมนุษย์ ช่วยให้เรารักษาสมดุลทางอารมณ์ และภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม การตระหนักถึงอคตินี้จะช่วยให้เราเข้าใจ พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

วิธีจัดการกับ Self-Serving Bias
การตระหนักรู้ถึงความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การจัดการ แม้ว่าเราจะกำจัดอคตินี้ไปไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะลดผลกระทบเชิงลบของมันได้ ดังนี้
1. การมีสติและตระหนักรู้ (Self-Awareness)
สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การตระหนักรู้” ว่าความลำเอียงนี้มีอยู่จริง และสามารถส่งผลต่อการรับรู้ของเราได้ เมื่อคุณพบเจอสถานการณ์ที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว โดยให้ลองหยุดคิดและตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า
- “เรากำลังยกความดีความชอบให้ตัวเองมากเกินไป สำหรับความสำเร็จนี้หรือไม่”
- “เรากำลังโทษปัจจัยภายนอกมากเกินไป สำหรับความล้มเหลวนี้หรือไม่”
- “มีส่วนไหนที่เราสามารถรับผิดชอบได้บ้าง”
การฝึกตั้งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น
2. การขอความคิดเห็นจากผู้อื่น (Asking Feedback)
บ่อยครั้งที่เรามองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง การขอ “ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา” จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือสมาชิกในครอบครัวที่เราไว้ใจ สามารถช่วยให้เราได้รับมุมมองที่แตกต่างออกไป พวกเขาอาจชี้ให้เห็นสิ่งที่เรามองข้ามไป หรือช่วยให้เราเห็นบทบาทของตัวเอง ในสถานการณ์ต่าง ๆได้ชัดเจนขึ้น
3. การเรียนรู้จากความล้มเหลว (Learning from Failure)
แทนที่จะมองความล้มเหลวเป็นเพียงเหตุการณ์โชคร้าย ให้มองว่าเป็น “โอกาสในการเรียนรู้” โดยลองวิเคราะห์สถานการณ์ที่ผิดพลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน และถามตัวเองว่า
- “เราทำอะไรแตกต่างออกไปได้บ้างในครั้งหน้า”
- “มีทักษะอะไรที่เราต้องพัฒนา”
- “อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากประสบการณ์นี้”
การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน เป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง
4. การฝึกความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Practicing Empathy)
ลองพยายาม “ทำความเข้าใจมุมมองของผู้อื่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความขัดแย้ง การลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยลดแนวโน้มที่จะโทษผู้อื่น และทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
5. การพัฒนา “Growth Mindset”
Growth Mindset คือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถและสติปัญญาของเรา สามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายามและการเรียนรู้ การมีกรอบความคิดแบบนี้จะช่วยให้เรามองความล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นสิ่งสะท้อนถึงความไม่เพียงพอของเรา เมื่อเราเชื่อว่าเราสามารถพัฒนาได้ เราก็จะเปิดใจยอมรับข้อผิดพลาด และมองหาวิธีที่จะดีขึ้น
การจัดการกับความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง (Self-Serving Bias) เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อคุณทำได้ คุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พัฒนาความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น และเติบโตเป็นบุคคลที่ดีขึ้นในทุกด้านของชีวิตนั่นเอง