Big family in living room with close up style

เรามาดูสรุปรายงานภาพรวมฉบับล่าสุดจาก TCDC กับ Insight ของคนแต่ละ Generation ในปี 2026 จากทั่วทุกมุมโลกกันครับ ที่จะทำให้คุณในฐานะนักการตลาด เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เรามาดูกันครับว่า Insight ของคนแต่ละ Generation ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026 นั้นมีอะไรกันบ้าง (โดยข้อมูลดังกล่าวถูกรวบรวมและวิเคราะห์มาจาก WGSN Insight, McKinsey, The Guardian และอื่นๆ)

Baby_Boomer_Sitting_in_Living_Room

กลุ่ม Baby Boomer จะมีอายุระหว่าง 62-80 ปี ในปี 2026 และเมื่อถึงปี 2030 จะมีอายุระหว่าง 66-84 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “ผู้สูงอายุตอนต้น” (Young Old) ที่จะมีจำนวนสูงถึง 61 ล้านคนทั่วโลก โดยนอกจากคนรุ่น Baby Boomer แล้ว เจนที่เกิดก่อนหน้าอย่างเจน “วัยสงบเงียบ” (Silent Generation) จะขยับตำแหน่งขึ้นมาเป็น “ผู้สูงอายุที่แก่ที่สุด” (Oldest Old) โดยจะมีจำนวนถึง 9 ล้านคน

Baby Boomer ยังคงเป็นเจนที่แก่แต่วัยส่วนหัวใจยังสดชื่น แม้อายุที่มากขึ้นจะทำให้ต้องใส่ใจกับเรื่องสุขภาพร่างกาย แต่คนวัยนี้ก็มาพร้อมเสถียรภาพทางการเงิน อำนาจในการจับจ่ายใช้สอย แถมยังมีทัศนคติที่ไม่ละเลยเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และในประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวหน้า กลุ่มประชากรผู้สูงวัยนั้นมีจำนวนมากขึ้นซึ่งสวนทางกับอัตราการเกิดที่ลดลง ประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าประชากรที่มีอายุน้อย ในปี 2025 ที่ผ่านมา คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเป็นฝ่ายขับเคลื่อนการเติบโตของการใช้จ่ายทั่วโลก โดย 60% ของมูลค่าการใช้จ่ายอยู่ในจีนและสหรัฐอเมริกา ส่วนอีก 79% อยู่ในสหภาพยุโรป Baby Boomer ชาวจีน 2 ใน 3 คน จะทุ่มเงินไปกับการออกกำลังกาย โดยผู้สูงวัยจากแดนมังกรจะให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น

สิ่งที่อยากให้จับตา คือ คำว่า “บลูโซน” (Blue Zones) ให้ดี โดยเป็นกระแสธุรกิจที่พัฒนาแหล่งพักผ่อน สำหรับผู้สูงอายุในโซนสีน้ำเงินทั่วโลกกำลังมาแรง อย่าง Bluceira บริการรีทรีตเพื่อสุขภาพ และความสมบูรณ์ของร่างกายในเมืองเอริเซรา โปรตุเกส มีเป้าหมายเพื่อ “ยกระดับคุณภาพชีวิต” ของผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า 60 ปีโดยเฉพาะ นับเป็นการปฏิวัติวงการอายุยืนยาวด้วยการนำเสนอโปรแกรมการพักผ่อนแบบองค์รวม ที่อิงจากภูมิภาคโซนสีน้ำเงินทั้ง 5 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างทำสวนหรือเดินป่า

ด้วยความใส่ใจและให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย ธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์นักช้อปวัยเก๋ที่ต้องการลงทุน เพื่อจะมีอายุยืนยาวได้แบบสุขภาพดีจึงน่าจับตามอง อย่างเช่นแบรนด์รองเท้า HOKA ที่ Collabs กับแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นยั่งยืน Reformation เปิดตัวคอลเล็กชันรองเท้าออกกำลังกายเฉดสีใหม่ ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล 100% พร้อมระบุคำนิยามไว้ว่าออกแบบมาเพื่อ “นักกีฬาทุกวัย” ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งหรือนักเล่นพิกเคิลบอลมือสมัครเล่นก็ตาม

Baby Boomer ยังคงให้ความสำคัญเรื่องการพักผ่อน และไม่หยุดที่จะสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ด้วยการทำกิจกรรมท่องเที่ยวสารพัดรูปแบบ ดังนั้นธุรกิจหรือแบรนด์ที่มอบบริการการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และตอบโจทย์ความสุขทางใจได้ด้วย จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เช่น บริษัทท่องเที่ยว Saga ที่ออกแบบโปรแกรมทัวร์สำหรับคนวัย 50 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะ กับโปรแกรมแต่ละวันที่จัดทำขึ้นให้เหมาะกับช่วงวัยของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะไปเที่ยวสเปน โครเอเชีย อินเดีย หรือออสเตรเลีย Baby Boomer จึงสนุกไปกับเพื่อนวัยเก๋า ที่แชร์ความสนใจในเรื่องใหม่ๆร่วมกันได้

Baby Boomer เป็นอีกหนึ่งเจนที่จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อต้องการช้อปปิ้งสินค้าใดๆ ก็มักมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทั้งยังเจาะลึกถึงกระบวนการผลิต โดยไม่ซื้อวัตถุดิบที่อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจสินค้าหรือบริการใดที่แสดงข้อมูลที่มาของสินค้าตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะนำเสนอตรงบรรจุภัณฑ์หรือให้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ทางออนไลน์ ก็จะสามารถคว้าใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ และทัศนคตินี้ก็ยังครอบคลุมถึงการให้ความสำคัญ เรื่องบริการซ่อมแซมหลังการขาย กลุ่ม Baby Boomer จึงมักเลือกสินค้าที่มีความทนทาน และเลือกซ่อมก่อนจะทิ้งสินค้านั้นๆ

หนึ่งในกลยุทธ์ของ Baby Boomer คือ การตลาดแบบหลากหลายช่วงวัย ที่ทำอย่างไรให้วัยเก๋ดูมีสไตล์ไม่ตกยุค สินค้าแฟชั่นที่แสดงให้เห็นว่าคนแต่ละเจน ใส่เสื้อผ้าจากคอลเล็กชันเดียวกันแล้วเป็นอย่างไร ให้ความรู้สึกแบบ Timeless Design ออกแบบเพื่อใส่ได้อีกหลายซีซั่นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ อย่างเช่น แบรนด์ FatFace สร้างผลงานร่วมกับ MotherShoppers นำเสนอคอลเล็กชัน Autumn Remixed ที่โชว์ให้เห็นว่าไอเท็มเดียวกัน แต่ใส่โดยคนสองวัยนั้นช่วยสร้างสไตล์ที่น่าจดจำแม้จะต่างอายุกันก็ตาม

Gen_X_age_50_working_in_office

ข้อมูลศึกษาวิจัยโดย LinkedIn ในปี 2019 พบว่า Gen X เผชิญภาวะความเครียดสูงสุดเมื่อเทียบกับเจนอื่นๆ ทั้งเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ความมั่นคงในหน้าที่การงาน การรักษาเป้าหมายในชีวิต รวมถึงความมั่นคงในช่วงเกษียณ และข้อมูลในปี 2021 ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป โดยเจนเอ็กซ์ 22% ยอมรับว่าต่อสู้กับความเครียดทุกวัน เมื่อเทียบกับกลุ่ม Millenials (Gen Y) ที่มีความเครียด 17%, Gen Z 14% และ Baby Boomer 8% อย่างไรก็ดี แม้ว่า Gen X อาจมีความเครียดมากที่สุด แต่ก็มีความพร้อมในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆมากที่สุด ด้วยภูมิหลังของพวกเขาเติบโตมากับการคิดหาทางออกด้วยตนเอง การรู้จักปรับตัวจนมีทักษะความยืดหยุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ สมาคมจิตวิทยาอเมริกันชี้ให้เห็นว่า “ความเครียดสามารถเกิดได้กับทุกช่วงวัย แต่สำหรับคน Gen X ดูเหมือนพวกเขาจะมีทักษะการรับมือกับความเครียดได้ดี แม้จะรู้สึกกดดันมากกว่ากลุ่มคนกลุ่มอื่นก็ตาม”

แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นเจนที่ถูกลืมและเป็นเจนที่มีจำนวนน้อย แต่ Gen X กลับเป็นผู้สร้างอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก และในปัจจุบันซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่จากการจัดอันดับ 500 Fortune โดย Fast Company แสดงให้เห็นว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในกลุ่ม Gen X เช่นเดียวกับผู้มีอิทธิพลหลายคนในโลกแห่งเทคโนโลยี ซึ่งได้แก่ เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) อีลอน มัสก์ (Elon Musk) สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) แลร์รี่ เพจ (Larry Page) และเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ล้วนเป็นผลผลิตจากช่วงยุคปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (The Personal Computer Revolution) ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1990 อันเป็นสะพานเชื่อมต่อที่สำคัญในธุรกิจเทคโนโลยี นอกจากนี้ คนเจนนี้ยังมีจุดแข็งหลายประการที่ช่วยให้พวกเขา สามารถผ่านพ้นสภาพแวดล้อมในโลกการทำงานและธุรกิจมาได้ พร้อมกับมีความเข้าใจและสามารถปรับตัว ให้เข้ากับคนจากแต่ละ Generation ได้ดี

Gen X คิดเป็น 31% ของประชากรโลกและ 27% ของรายจ่ายทั่วโลก นับเป็นกลุ่มคนที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ไปจนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ แบรนด์ที่สามารถสร้างเรื่องราวการมองโลกในแง่ดีอย่างมีเหตุผล เพื่อยกระดับจิตใจได้จึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญ Gen X คือ เจนที่มีความละเอียดลออ โดยทุกรายละเอียดย่อมมีความหมาย การใช้โทนสีเอิร์ธโทน (Earth Tone) เพื่อสื่อถึงความหรูหราไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ชั้นเยี่ยม จึงเป็นคำตอบที่เจนนี้กำลังมองหา

การให้ความสำคัญกับภาพและภาษาที่ครอบคลุมช่วงวัยในแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen X ถือเป็นพลังการเชื่อมต่อที่สำคัญ เนื่องจากการวิจัยทั่วโลกพบว่ามีเพียง 13% ของกลุ่ม Gen X เท่านั้นที่รู้สึกว่า มีตัวแทนที่สามารถสื่อสารความเป็นเจนของตนเองได้ชัดเจนในโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย เช่นเดียวกับ 88% ของผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปทั่วสหราชอาณาจักรที่ไม่พอใจกับภาพลักษณ์ของตนเองในโฆษณา และอย่าประเมิน TikTok ว่ามีไว้สำหรับคนรุ่นใหม่เท่านั้น เพราะแพลตฟอร์มดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางสำหรับทุกเจน และที่สำคัญ ก็คือ บรรดาครีเอเตอร์ Gen X ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยการศึกษาในระดับโลกพบว่าแคมเปญจากเหล่า Gen X มีคะแนนความสนใจสูงกว่า 73% และส่งผลให้มีการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นกว่า 43% ดังนั้นการทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ Gen X ทั้งการสื่อสารไลฟ์สไตล์หรืออารมณ์ขัน ก็สามารถสร้างโอกาสในเชิงธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ

ดังนั้น ความสะอาด ความเรียบง่าย ความโปร่งใส และสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแบรนด์ และผลิตภัณฑ์แบบรอบด้านเพื่อช่วยในการมองเห็นและตัดสินใจ คือ สมการเพื่อจับใจเหล่า Gen X เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Gen X เป็นคนมีเหตุผลและเชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้พวกเขาเป็นผู้บริโภคที่มีไหวพริบ ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ต่างๆต้องแน่ใจว่า ข้อมูลที่สื่อสารทั้งหมดนั้นชัดเจนและเข้าถึงง่าย

Gen_Y_Working_in_Office

กลุ่ม Millennials (Gen Y) ที่อายุน้อยที่สุดได้อายุขึ้นเลข 3 เป็นที่เรียบร้อย ในปีนี้ชาว Gen Y จึงถูกขนานนามว่าเป็นวัยกลางคนเต็มตัว มีศักยภาพใช้จ่ายต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นส่วนแบ่งการตลาดบน E-Commerce ถึง 62% ซึ่งคาดว่าภายในปี 2030 ชาว Gen Y จะมีกำลังจ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีอิทธิพลต่อการใช้จ่ายรูปแบบ Buy Now, Pay Later (BNPL) ในทุกๆแพลตฟอร์ม

ชาว Gen Y ขับเคลื่อนโซเชียลมีเดียไม่แพ้ Gen Z ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย Gen Y กว่า 47% หวนคิดถึงชีวิตที่เรียบง่ายในยุค 90 และปี 2000 ซึ่งเป็นการนำเทรนด์แฟชั่น Y2K กลับมาอีกครั้ง ส่วนในปี 2026 นี้ อุตสาหกรรมบันเทิงไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการโทรทัศน์ และดนตรี ที่นำพาประสบการณ์ในอดีตกลับมา (Nostalgia) จะสามารถเข้าถึงใจและได้รับการตอบรับที่ดีมากถึง 46% เช่น แพลตฟอร์ม TikTok ที่อัปโหลดเพลงจากยุค 70, 80 และ 90 มาใช้บนแพลตฟอร์ม โดยใช้ความคิดถึงเป็นกุญแจเพื่อปลอบประโลมใจจากความเหนื่อยล้า ทางด้านซีรีส์จาก Netflix เรื่อง When Life Gives You Tangerines ที่เล่าความสัมพันธ์ของครอบครัว ในบริบทที่แตกต่างตามยุคสมัย โดยเฉพาะช่วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจในอดีต ที่แม้จะยากลำบากแต่ก็อบอุ่นหัวใจ คือ สิ่งที่ถูกนำมาเป็นกำลังใจให้กับบริบทชีวิตปัจจุบันของผู้คนในยุคนี้

สไตล์แบบ Minimalism ยังคงครองใจชาว Gen Y มานานนับศตวรรษ ทุกวันนี้ชาว Gen Y กว่า 88% ยังคงสืบค้นสินค้า ผลิตภัณฑ์และของตกแต่งในสไตล์มินิมอล โดยใส่ใจเรื่องชุดสีเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งห้อง การแต่งตัว หรือการสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย เจนนี้มักใช้สีที่ทำให้ความรู้สึกหรูหรา สุขภาพดี อาจใช้กลุ่มสีเอิร์ธโทน (Earth Tone) และสีแนวเรโทร (Retro) เพื่อบ่งบอกตัวตนสายมินิมอล ผ่านสิ่งของที่ชอบและคุมโทนด้วยสีคลาสสิกที่ใช่ เช่น แบรนด์ July กระเป๋าเดินทางสัญชาติออสเตรเลีย ที่ให้บริการออกแบบแบบ Customization ที่มอบทั้งความหรูหราและยังคงความสนุกในแบบมินิมอล ทำให้ July เป็นแบรนด์กระเป๋าเดินทางคู่ใจของชาว Gen Y ในออสเตรเลียและยุโรป

แผนลดน้ำหนักของ Gen Y ไม่ได้มุ่งไปที่รูปร่างเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการตามใบสั่งแพทย์ โดยเฉพาะความเสี่ยงโรคเบาหวาน ไขมัน และความดัน ที่พบมากขึ้นในชาว Gen Y ถึง 27% (สถิติภายในครึ่งปีแรกของปี 2025) จึงเกิดกระแสลดน้ำหนักแบบ Ozempic ซึ่งเดิมทีเป็นการใช้ยาควบคุมอินซูลิน สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 แต่ปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อลดน้ำหนัก อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การดูแลของแพทย์ การลดน้ำหนักรูปแบบนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้หญิง Gen Y ชาวอเมริกันและออสเตรเลีย เนื่องจากการปฏิกิริยาของยาสามารถลดความอยากอาหาร และปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานช้าลง จึงสามารถลดน้ำหนักและควบคุมปัญหาด้านสุขภาพไปพร้อมๆกัน

พ่อแม่รุ่น Gen Y มีแนวคิดเปิดกว้างมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ โดยนำวิธีคิด แนวทาง และความรู้ เพื่อเลี้ยงดูลูกจากโซเชียลมีเดียมาใช้ ยินดีใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลโดยไม่เข้มงวดมากจนเกินไป เมื่อเทียบกัน Gen X เช่น การยอมให้ลูกน้อยเล่นแท็บเล็ต และการคัดเลือกแอปพลิเคชัันที่ส่งเสริมสติปัญญาของลูกน้อย

พ่อแม่ชาว Gen Y ชื่นชอบวางแผนท่องเที่ยวของครอบครัวในช่่วงวันหยุดมากถึง 89% โดยผลสำรวจจาก American Express พบว่า 45% เลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว หรือสถานที่พักผ่อนจากโปรโมชัน และสถานที่ที่สามารถใช้คะแนนในบัตรเครดิตได้ดีที่สุด จำนวน 44% ใช้ AI วางแผนกิจกรรม คำนวณงบประมาณค่าใช้จ่าย แนะนำการเดินทางที่เป็นกระแสบนโซเชียลมีเดีย และออกแบบแผนท่องเที่ยวเฉพาะบุคคล โดยคำนึงถึงสถานที่ที่สามารถทำกิจกรรมได้สำหรับคนทุกช่วงวัย

Gen_Z_Travelling_with_Friends

รหัสทางวัฒนธรรมใหม่” (New Culture Code) ที่ถูกขนานนามว่าเป็นตัวตนของ Gen Z ในปี 2026 แบ่งออกเป็น 2 โหมดด้วยกัน โดยโหมดแรก คือ Dark Mode หรือโหมดออฟไลน์ เพื่อใช้เวลากับพื้นที่ส่วนตัวในกิจกรรมที่ปล่อยจอย ซ่อนรสนิยมความชอบที่แตกต่าง เสพความหรูหรา และข่มความโดดเด่นนี้ไว้ ให้เห็นเฉพาะเพื่อนที่รู้ใจในคอนเซ็ปต์ OIYK (Only If You Know) และโหมดที่สอง คือ Chronically Online หรือโหมดออนไลน์แบบตะโกน โดยเห็นความจำเป็นของโซเชียลมีเดีย ที่เสมือนเครื่องมือกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์กลุ่มและวลีธรรมดา ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไม่รู้สึกเขินอาย บรรยากาศแห่งอารมณ์ขัน และช่วงเวลาเฉพาะกลุ่มนี้ คือ ช่วงเวลาการเข้าสังคมที่มีค่าสำหรับ Gen Z

รายงานจาก NielsenIQ เผยพฤติกรรม “Spend Z” หรือการใช้จ่ายของ Gen Z ที่มีอิทธิพลต่อตลาดค้าปลีก โดยเฉพาะสินค้าหมวดอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวัน (Consumer Packaged Goods: CPG) สินค้าหมวดเทคโนโลยีและสินค้าคงทน (Technology & Durable Products: T&D) ที่ส่งเสริมไลฟ์สไตล์ และสามารถถอดรหัสความภักดีของ Gen Z ในฐานะลูกค้าคนสำคัญ จะกลายเป็นแบรนด์ที่ได้ไปต่อในช่วงวัยผู้ใหญ่ของ Gen Z โดยคาดว่าศักยภาพการใช้จ่ายนี้จะสูงถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 เลยทีเดียว

WGSN เผยว่าไลฟ์สไตล์และแบรนด์ที่โดดเด่นที่จะมัดใจ Gen Z ไว้ได้ ต้องคำนึงถึง 4Cs ซึ่งประกอบด้วย Content, Culture, Commerce และ Community โดยมองหาความแปลกใหม่จากการ Collabs สินค้าข้ามขั้ว หรือเปลี่ยนภาพลักษณ์สินค้าให้สนุกขึ้น เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ซึ่งจะกลายเป็นค่านิยมใหม่ที่รับรู้กันเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างเช่น Starface แบรนด์แผ่นแปะสิวลวดลายการ์ตูนแสนน่ารัก ที่ได้รับความนิยมในชุมชนเกม Discord จากการสร้างคอมมิวนิตี้เล็กๆ ทำให้แบรนด์ได้รับความไว้วางใจ และรู้สึกแตกต่างจากสินค้าที่ขายบนแพลตฟอร์มอื่น หรือแบรนด์เครื่องดื่มอย่าง Heineken ที่จับมือกับร้านขายของชำ Bodege เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นพับได้ The Boring Phone ซึ่งฟังก์ชันทำได้เพียงโทรเข้า-ออก และส่งข้อความเท่านั้น เพื่อทำให้กิจกรรมในชีวิตจริงกลายเป็นช่วงเวลาที่มีค่า โดยไม่ถูกรบกวนจากโซเชียลมีเดีย

Gen Z ชาวอเมริกันและยุโรป 93% ใส่ใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกินงบประจำเดือน เมื่อต้องเลือกออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยการรับประทานอาหารนอกบ้านจำเป็นต้องวางแผนอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ความคุ้มค่าของประสบการณ์กลุ่ม ความอร่อย และคอนเทนต์ที่แปลกใหม่ ร้านนั้นอาจเป็นร้านอาหารที่ดูหรูหราและมีรสนิยมด้านการตกแต่ง ในขณะที่ TikTok ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มแนะนำอาหารยอดนิยมมากถึง 70%

ในอินเดีย จีน และอินโดนีเซีย Gen Z จำนวนมากกำลังเผชิญกับภาวะตกงาน ขณะที่ในญี่ปุ่นมีเพียง 21% ที่ยังคงยึดถือค่านิยมบริษัทเดียวจนเกษียณ นอกนั้นเริ่มบ่มเพาะทักษะใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีและ E-Commerce เพื่อทำงานในตำแหน่งพนักงานพาร์ตไทม์หรือพนักงานชั่วคราว ในจีนและเกาหลีมี Gen Z ช่วงอายุ 20 ตอนปลายที่กลับไปทำงานที่บ้านเกิด โดยทำอาชีพเกษตรกรหรือไกด์ท่องเที่ยววิถีชุมชน ส่วนในเอเชียแปซิฟิกกว่า 93% วางแผนการเงินและวันลา เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมและงานอดิเรกที่ชื่นชอบ เช่น ร่วมงานแฟนด้อมของศิลปินทั้งในและต่างประเทศ ชมงานแข่งขันกีฬาระดับลีก งานแฟนเกมและการแข่งขันเกม E-Sport งานเทศกาลแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบ โดยกิจกรรมเหล่านี้ได้กลายเป็นหลุมหลบภัยชั่วคราว เมื่อต้องรับมือกับปัญหาด้านสังคมและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ

10_Years_Old_kids_playing_ipad

Gen Alpha เป็นเจนที่มีจำนวนมากที่สุดถึง 2.2 พันล้านคนในปีที่ผ่านมา เป็นเจนที่มีความหลากหลายในหลายมิติมากที่สุด และคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ถึง 5.46 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029 โดย Gen Alpha ให้ความสำคัญเรื่องการมีจิตใจที่เปิดกว้าง การมีส่วนร่วม สุขภาวะทางอารมณ์ และสังคมของตนเองและคนรอบตัว

Gen Alpha ใช้ชีวิตในวัยเด็กท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 และการล็อกดาวน์ พ่อแม่ที่ต้องทำงานจึงมักเลี้ยงลูกเจนนี้ด้วยหน้าจอ จนได้รับฉายาว่า “เจนไอแพด” แต่ผลที่ตามมา คือ Gen Alpha กลับชอบปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงมากกว่าแบบดิจิทัล ต้องการมีเพื่อนและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ให้ความสำคัญเรื่องการเล่น อารมณ์ขัน และความคิดสร้างสรรค์ ในฐานะเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเพื่อน ดังนั้น แบรนด์ควรสร้างพื้นที่สนับสนุนให้ Gen Alpha ได้ปล่อยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ความไม่เป็นสาระ และความไม่จริงจัง บนโลกออนไลน์

สำหรับ Gen Alpha ที่มีอายุระหว่าง 1-12 ปี ในปี 2025 จะเติบโตมากับพ่อแม่ชาว Gen Y ที่ใส่ใจสุขภาพทั้งกายและใจ พ่อแม่จะเลี้ยงดู Gen Alpha ให้ยอมรับความจริง และเปิดใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตของตนเอง สร้างความตระหนักรู้ให้เด็กๆมากขึ้น เด็กอายุ 12-14 ปีในสหรัฐอเมริกา 6 ใน 10 คน กล่าวว่าพ่อแม่สอนให้พวกเขา เรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพจิตของตนเอง แบรนด์ต่างๆ ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ความงาม กีฬา ไปจนถึงกิจกรรมกลางแจ้ง จึงควรเริ่มลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับ Gen Alpha

คาดว่าเด็กวัย 0-14 ปี จะมีกำลังซื้อ 5.46 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029 เมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ หลายคนหันมาเล่นกีฬาและเล่นเพื่อความสนุกสนาน ในอังกฤษ เด็ก 91.4% เข้าร่วมกิจกรรมกีฬา ในสหรัฐอเมริกาจากผลการสำรวจของ KidSay ในปี 2023 พบว่าเด็กวัย 8-11 ปี 92% “ดู ติดตาม เล่นกีฬา หรือเล่นวิดีโอเกมกีฬา” ส่วนเด็กวัย 8-12 ปี 37% ในจีน ใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาอาชีพเมื่อโตขึ้น ดังนั้น แบรนด์ต่างๆจึงต้องเปิดตัวโปรเจ็กต์ ที่ช่วยส่งเสริมการเคลื่อนไหวและกีฬาเพื่อให้ยังครองใจเจนนี้ไว้ให้ได้

Close-up of Hands Holding Baby Feet

รายงานจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่ถดถอยส่งผลให้ อัตราการเกิดของ Gen Beta ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกลดลงเหลือ 46% ซึ่งนับว่ามีจำนวนน้อย หากเทียบกับ Gen X ซึ่งเป็นเจนที่เกิดในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยเช่นเดียวกัน แต่กลับมีอัตราการเกิดอยู่ที่ 61% ท่ามกลางค่าครองชีพที่ผันผวนกับภาระหนี้ครัวเรือน พ่อแม่ Gen Z ในหลายประเทศ เริ่มวางแผนสอนลูกเรื่องการใช้เงิน การใช้ของแบบ DIY และความประหยัด รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการเลี้ยงดูและปลูกฝังความคิดแบบหลายช่วงวัย (Multigenerational) จึงช่วยปรับบรรยากาศในบ้านให้สมดุลและไม่เครียดจนเกินไป

Gen Beta เกิดมาพร้อมกับยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับ AI จึงอาจเรียกว่าโตมาด้วยกัน เพราะผู้ปกครอง Gen Beta มีทักษะการใช้ AI การสืบค้นคู่มือเลี้ยงดูบุตรและแนวทางแก้ปัญหา ข้อมูลเหล่านี้ถูกวิเคราะห์และให้คำแนะนำโดย Search Engine ที่มี AI เป็นผู้ประมวลผล โดยเฉพาะแอปพลิเคชันซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ๆ ที่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยและเสริมพัฒนาการ ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นใน Gen Beta อย่างเช่น Raise ผู้ช่วยเสมือนจริงสำหรับผู้ปกครอง โดยแอปฯจะรวบรวมคลังเนื้อหาที่จำเป็นสำหรับเด็ก 0-10 ขวบ เสริมด้วยพอดแคสต์ การ์ตูน และเรื่องเล่านิทานก่อนนอน ถือเป็นผู้ช่วยเลี้ยงลูกสำหรับพ่อแม่ได้ครบจบในแอปฯเดียว

พ่อแม่ Gen Beta จำนวนมากเริ่มป้อนข้อมูลของลูกน้อย ลงในระบบผู้ช่วย AI ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพื่อหาคู่มือเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดให้แก่ลูกน้อย โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมแล้วนำมาวิเคราะห์ ให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน AI จึงกลายเป็นคนรู้ใจของคน Gen Beta ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ยอดขายอุปกรณ์ผู้ช่วยเสียงหรือกล้องวงจรปิด ที่มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงเด็กนั้นเติบโตมากขึ้น เช่น Alexa ผู้ช่วย AI ของ Amazon ที่นิยมใช้ในบ้านที่มีเด็กเล็ก ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่สร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรกับเด็กๆ

แพทย์เด็กและครอบครัวประจำคลินิก Villa Oasis ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยว่าอิทธิพลจากเทคโนโลยี AI อาจมีผลได้ทั้งทางบวกและทางลบ หากเป็นในเชิงบวก Gen Beta สามารถเรียนรู้ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีได้ตั้งแต่แรกเกิด จนเป็นความสัมพันธ์ดั่งเพื่อนและครูในคราวเดียวกัน แต่ในทางลบ คือ โอกาสที่ Gen Beta จะเติบโตมาโดยมีเพื่อนที่อยู่ในโลกเสมือนจริง ซึ่งเกิดขึ้นได้มากกว่า Gen Alpha จึงมีความเสี่ยงที่จะขาดทักษะการสื่อสารโต้ตอบกับมนุษย์ การนำ AI มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กจึงจำเป็นต้องมีกรอบ ขอบเขต และสอนบทบาทของ AI ให้ชัดเจน เพื่อให้ลูก Gen Beta แยกออกว่ากำลังปฏิสัมพันธ์กับอุปกรณ์เสมือนจริงหรือมนุษย์


Source: TCDC


หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
📜 อ่านประวัติของผมได้ที่นี่: การสอน การบรรยาย และเรื่องราวที่ผ่านมา


Share to friends


Related Posts

สรุป Insight คนแต่ละ Generation ประจำปี 2025

มาดูสรุปรายงานภาพรวมฉบับล่าสุดจาก TCDC กับ Insight ของคนแต่ละ Generation ในปี 2025 จากทั่วทุกมุมโลก ที่จะทำให้คุณในฐานะนักการตลาด เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เรามาดูกันครับว่า Insight ของคนแต่ละ Generation ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 นั้นมีอะไรกันบ้าง


สรุป Insight คนแต่ละ Generation ประจำปี 2024

รายงานภาพรวมฉบับล่าสุดจาก TCDC กับ Insight ของคนแต่ละ Generation ในปี 2024 จากทั่วทุกมุมโลก ที่จะทำให้คุณในฐานะนักการตลาด เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เรามาดูกันครับว่า Insight ของคนแต่ละ Generation ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2024 นั้นมีอะไรกันบ้าง


รวมสถิติการใช้เทคโนโลยีของคนแต่ละ Generation

เทคโนโลยีนับว่าสำคัญมากกับการใช้ชีวิตประจำวันกับคนทุกๆวัยอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้แล้วนะครับ และมันส่งผลต่อการทำธุรกิจหลายๆประเภทเป็นอย่างมากซึ่งทุกๆแบรนด์จำเป็นต้องหันมาให้ความสนใจและเปิดรับเทคโนโลยีต่างๆ โดยในบทความนี้ได้รวบรวมสถิติจากหน่วยงานต่างๆของผู้ใช้เทคโนโลยีในแต่ละ Generation ซึ่งเป็นผลสำรวจโดยรวมจากหลายๆประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์กับนักการตลาดและธุรกิจต่างๆครับ



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์