มาดูสรุปรายงานภาพรวมฉบับล่าสุดจาก TCDC กับ Insight ของคนแต่ละ Generation ในปี 2025 จากทั่วทุกมุมโลก ที่จะทำให้คุณในฐานะนักการตลาด เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เรามาดูกันครับว่า Insight ของคนแต่ละ Generation ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 นั้นมีอะไรกันบ้าง
เจาะ Insight กลุ่ม Baby Boomer (1946-1964)
รายงานจากสหประชาชาติคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีจำนวนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าผู้ที่มีอายุ 15-24 ปี เนื่องจากอัตราการเกิดที่น้อยลง และอาจมีผู้สูงอายุมากกว่าในปัจจุบันถึง 2 เท่า เพราะปัจจัยทางการแพทย์และองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ทำให้ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 100 ปีมีมากขึ้น โดยชาว Baby Boomer นั้นมองว่าการเข้ามาเรียนรู้โลกโซเชียลมีเดียหรือใช้มีมตามวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องที่น่าตลก ซึ่งผลสำรวจโดย The Guardian ระบุว่าแม้พวกเขาจะอายุมากขึ้น แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเด็กที่ต่อสู้กับอุปสรรคในยุคหนึ่งมาก่อน และพวกเขาก็พร้อมจะปล่อยจอยด้วยการใช้ชีวิตตามบริบทยุคนี้บ้าง
จากผลสำรวจของ Demansage ชี้ว่าธุรกิจในสหรัฐอเมริกามากถึง 54% ยังคงมีเจ้าของเป็นกลุ่ม Baby Boomer ในวัย 60 ปีขึ้นไป และยังมีผู้บริหารที่อายุ 70 ปีขึ้นไปในบริษัทขนาดใหญ่อีกด้วย กลุ่ม Baby Boomer ยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพมากกว่ากลุ่มคน Generation อื่นๆ โดยผลสำรวจจาก Pew Research Center ระบุว่ากลุ่ม Baby Boomer กว่า 85% ตวรจเช็คสมาร์ทโฟนและช่องทางออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน ขณะที่ 31% ออนไลน์แทบจะตลอดเวลา โดยกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายไปกับสินค้าออนไลน์ถึง 187 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อเดือนเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวที่รวดเร็วมากกว่าในช่วง 3 ปีก่อนหน้าเสียอีก โฆษณาในอนาคตจึงต้องปรับตัวและปรับมุมมองของผู้สูงอายุใหม่ โดยมีเป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่ทันสมัย กระฉับกระเฉง และทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นๆ
และแม้ว่ากลุ่ม Baby Boomer จะถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่เข้าใจเทคโนโลยีช้ามากที่สุด แต่กลายเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และนาฬิกา Smart Watch มากที่สุด โดยเฉพาะนาฬิกาและ Gadget ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และในปี 2025 คอนเทนต์รูปแบบวีดิโอโดยเฉพาะบน Facebook นั้น ถือเป็นรูปแบบที่กลุ่ม Baby Boomer เสพเนื้อหามากที่สุดกว่า 85% นอกจากนั้นรายงานของ Worldpanel ระบุว่า ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปถือเป็นลูกค้าคนสำคัญของสินค้า FMCG หรือ Fast-Moving Consumer Goods โดยเฉพาะพวกครีมอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก รวมถึงเครื่องดื่มประเภทนมและขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
เจาะ Insight กลุ่ม Generation X (1965-1980)
กลุ่มคน Gen X เติบโตมากับความประหยัดและการอดออม แต่ถือว่าเป็นกลุ่มที่บริโภคสินค้าแบบฟุ่มเฟือยในระดับพรีเมี่ยมมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ เพราะพวกเขาเข้าใจในความคุ้มค่าที่แท้จริง โดยไม่ใช่ซื้อสินค้าจากราคาเท่านั้นแต่จำเป็นต้องมีความคุ้มค่า ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าได้ และให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพและบริการเป็นหลัก กลุ่มคน Gen X ถือว่าเป็นคนที่วางแผนด้านการเงินค่อนข้างเก่งและมีความรอบคอบ โดยหากแบรนด์สามารถนำเสนอโปรแกรมสมาชิก (Loyalty Program) หรือสิทธิพิเศษเพื่อตอบแทนลูกค้าประจำ ก็จะยิ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้
กลุ่มคน Gen X ค่อนข้างปรับตัวได้เก่งกว่าทุกๆ Generation และเข้าใจกลุ่มคนที่เป็น Gen Y รวมถึง Gen Z ได้ดี เพราะตัวเองได้ฝึกฝนการใช้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตลอดในช่วงชีวิตการทำงาน อีกทั้งยังมีความมั่นคงทางอารมณ์ที่สามารถคุมอารมณ์ได้ดีกว่า Generation อื่นๆที่อายุน้อยกว่า และจากการสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้หญิง Gen X กำลังมองหาเรื่องความงามของวัยกลางคนมากขึ้น โดยผู้หญิง Gen X อายุระหว่าง 43-58 ปี เพียง 28% รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมความงาม
ผู้บริโภค Gen X นับเป็นฐานผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในตลาดความงาม และได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ผู้หญิงที่มีอายุเกินกว่า 50 ปี มีอำนาจการใช้จ่ายถึง 15 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐเลยทีเดียว
พฤติกรรมการเปิดรับสื่อสำหรับกลุ่ม Gen X นั้นมีการผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิมกับสื่อดิจิทัลที่เน้นเรื่องคุณภาพ และอะไรที่ย้อนความทรงจำในอดีต (Nostalgia) ด้วยการอ้างถึงยุค 70 – 90 ที่สร้างให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ ตลอดจนเน้นเรื่องการสื่อสารแบบ Personalization เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่ม Gen X ก็จะยิ่งเกิดผลดีมากขึ้น
เจาะ Insight กลุ่ม Millennials (Gen Y) (1981-1995)
คน Gen Y หรือ Millennials อยู่ในช่วง Tri-Life Crisis หรือวิกฤตชีวิตวัย 30 ซึ่งเป็นภาวะกดดันของคนที่มีช่วงวัย 30 ปีขึ้นไป โดยเกิดขึ้นกับทั้งชายและหญิง (และส่วนใหญ่จะพบในช่วงอายุ 34-37 ปี) โดยมีอาการเครียดเกี่ยวกับการทำงาน การผ่อนบ้าน การแต่งงาน และการมีลูก รวมไปถึงการตั้งเป้าหมายในชีวิตที่ยากจะทำให้สำเร็จได้ (โดยความวิตกกังวลจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงครึ่งหนึ่ง) งานวิจัยจาก Stylist ได้สำรวจผู้หญิงวัย 30 ปีขึ้นไปเกี่ยวกับความคาดหวังในชีวิต ผลปรากฎว่า 22% อยากมีงานที่มั่นคง 69% อยากทำงานที่ตนเองรัก 68% อยากมีคู่ครองหรือแต่งงาน 41% อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง 75% อยากมีสภาพคล่องทางการเงิน (ใน 75% มีทำได้แค่เพียง 34% เท่านั้น)
ความสำเร็จเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ได้กลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนชีวิตของกลุ่มคน Gen Y ทำให้หลายๆแบรนด์โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ที่เข้าใจปัญหาที่กลุ่ม Gen Y ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามเป้าหมายของชีวิต ด้วยการให้ส่วนลดตลอดทั้งเดือนเกิดและ Gift Voucher ให้กลุ่มคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่วัยกลางคน
ในขณะเดียวกัน Morgan Stanley ได้วิจัยอัตราการหย่าร้างเอาไว้ว่า กลุ่ม Gen Y เป็นกลุ่มที่หย่าร้างมากที่สุดและคาดว่าจะมีจำนวนคนโสดในช่วงอายุ 25-44 ปีถึง 45% ภายในปี 2030 ขณะที่ Forbes เผยว่าในปี 2024 มีจำนวนคู่รักครึ่งหนึ่งที่หย่าร้างจากการแต่งงานในครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ในเรื่องของความรักที่พร้อมจะแต่งงานใหม่ได้อีก
ชาว Gen Y ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความต้องการพักผ่อนที่เพียงพอในแต่ละสัปดาห์ และหากสามารถออกแบบสถานที่พักผ่อนและอำนวยความสะดวกสำหรับคนเลิกงานตอนดึกได้ เช่น ฟิตเนส 24 ชั่วโมง สวนสาธารณะที่เปิดกลางคืน บาร์กลางคืนที่ไม่ได้เน้นเครื่องดื่มมึนเมา ก็เสมือนกับการให้รางวัลสำหรับการทำงานหนักมาทั้งวั
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่รวมระหว่าง Gen Y และ Gen Z เข้าไว้ด้วยกันจนเกิดอิทธิพลในการสร้างสิ่งใหม่ๆ โดยให้คำนิยามว่ากลุ่ม MZ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง และในประเทศเกาหลีใต้ก็ได้นำเกณฑ์ของ MZ มาไว้เป็นเป้าหมายทางธุรกิจสู่สากล เช่น แบรนด์อย่าง Samsung, LG, KAKAO และ Hyundai โดยนำพฤติกรรมการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้จ่ายช่องทางที่ง่ายที่สุด มีอิสระ และมีความชอบส่วนบุคคล และจากงานวิจัยของ McKinsey & Company ได้วิเคราะห์ว่ากลุ่ม MZ ในเอเชียชื่นชอบการช้อปปิ้งผ่านออนไลน์ เพราะมีความรวดเร็วและมีส่วนลดที่คุ้มค่า กลุ่มคน Gen Y กว่า 36% คือ ลูกค้าที่ซื้อก่อนและจ่ายที่หลัง หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) โดยรายงานจาก eMarketer ระบุว่าผู้บริโภค Gen Y กว่า 45 ล้านคน ที่เก็บเงินและใช้ Digital Wallet อยู่เป็นประจำและยังจ่ายเงินผ่อนตรงเวลาอีกด้วย
เจาะ Insight กลุ่ม Gen Z (1996-2011)
กลุ่มคน Gen Z ได้เกิดพฤติกรรมใหม่ขึ้นที่เรียกว่า JOLO หรือ Joy of Logging Off ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่รู้สึกว่าการขาด Social Media ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะการเล่น Social Media ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเหงานั้นน้อยลง และยังทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงอีกด้วย โดยกลุ่ม Gen Z ช่วงอายุ 18-22 ปี กว่า 73% ในสหรัฐอเมริกาก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2025 จะต่อสู้กับความโดดเดี่ยวโดยเริ่มจากการคิดแผนการท่องเที่ยว และเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมในท้องถิ่น เข้าถึงวัฒนธรรมแลลเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น คาเฟ่ที่เป็นมากกว่าร้านขายกาแฟแต่มีกิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ หรือการแสดงงานศิลปะไปด้วยในตัว เพื่อให้เป็นสถานที่ให้ผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกันมาพบปะกัน
ในโลกที่มีความวุ่นวายและเต็มไปด้วยปัญหาทำให้หลายๆคนขาดความโรแมนติกลงไป แต่ไม่ใช่กลุ่มคน Gen Z ที่ยังต้องการความโรแมนติกมากกว่าใครๆ โดยเปิดกว้างด้านรสนิยมทางเพศมากขึ้นแบบไม่ผูกมัดและมีแนวคิดแบบเหนือจินตนาการ ทำให้เกิดรายการ Reality แนวออกเดทอย่าง EXchange, Single’s Inferno, Love Catcher และ His Man เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม Gen Z บางส่วนนั้นกำลังเผชิญกับภาวะ First Job Crisis โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับการเข้าสังคมการทำงาน หลังจากสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ซึ่งทำให้คนกลุ่มนี้กลายเป็นตัวเลือกที่ถูกคัดออกจากบริษัทเป็นอันดับต้นๆ และจากผลสำรวจโดย WGSN และ UNICEF พบว่า Gen Z กว่า 44% หางานได้ยากกว่ายุคของพ่อแม่ในวัยเดียวกัน จึงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่มั่นใจกับฐานะทางการเงินของตัวเอง และมีบางส่วนที่มีเป้าหมายในการสร้างความสุขแบบวันต่อวัน โดยหารายได้จากการเป็น Creator, TikToker และ Social Media Influencer
Gen Z ถือเป็นผู้ควบคุมสื่ออย่างแท้จริงซึ่งเปรียบเสมือนกับสื่อท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มช่วงอายุ 18-24 ปี ที่อยู่เบื้องหลังแทบจะทุกเทรนด์และไวรัลที่เกิดขึ้นในโลกกว่า 71% เลยทีเดียว จนนำไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวัน โดยสินค้าที่ Gen Z เลือกใช้จ่ายนั้นต้องสมเหตุสมผลทั้งด้านคุณภาพและราคา และสินค้าประเภท Gadget, Smartphone, Streaming รวมถึงเกม แอปพลิเคชั่นฝึกภาษาและผู้ช่วยทางธุรกิจที่ประมวลผลด้วย AI ก็ได้กลายเป็นที่นิยมของคนกลุ่มนี้มากที่สุด โดยผลสำรวจของ YPlus ระบุว่าเด็กยุโรปในช่วงอายุ 13-22 ปี ใชแชตบอทของ Open AI มากถึง 42% เลยทีเดียว
เจาะ Insight กลุ่ม Alpha (2010-2024)
ในปี 2025 กลุ่ม Gen Alpha จะมีจำนวนถึง 2.2 พันล้านคน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และในปี 2030 กลุ่ม Gen Alpha รุ่นแรกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (อายุ 20 ปี) และก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน ทำให้แบรนด์ต่างๆจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในสิ่งที่ Gen Alpha ต้องการที่ต้องครอบคลุมเงื่อนไขในวัยเด็ก เช่น วิกฤตเรื่องสภาพภูมิอากาศ อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงสุขภาพจิต และมีการคาดการณ์ว่า 65% ของ Gen Alpha นั้นจะทำงานในตำแหน่งที่ไม่เคยมีอยู่ในปัจจุบัน และมีเพียง 50% ของกลุ่ม Gen Alpha ที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ที่อาจหันไปสู่สายอาชีพที่แทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติไม่ได้
Gen Alpha มีความฝันที่จะเป็น Content Creator ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือ TikToker, YouTuber หรือ Vloger และคนกลุ่มนี้ก็เติบโตมาพร้อมกับปัญหาด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมอันสุดขั้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ ทำให้ตระหนักถึงความท้าทายด้านสภาพแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจต่างๆควรช่วยส่งเสริมให้กับกลุ่ม Gen Alpha ได้เรียนรู้และตระหนักถึงปัญหาอย่างจริงจัง เช่น ร่วมมือกับองค์กรการกุศลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คนกลุ่มนี้เข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ดีมากยิ่งขึ้น และคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจด้านสุขภาพในอนาคต
Gen Alpha ถูกนิยามว่าเป็นรุ่นแห่งการถดถอย (The Regression Generation) โดยจากการศึกษาในปี 2023 พบว่ามีเพียง 28% ของเด็กอายุ 8-18 ปีเท่านั้นที่อ่านหนังสือทุกวัน แบรนด์อาจจำเป็นต้องสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สำหรับผู้ปกครองและเด็กเพื่อส่งเสริมให้เกิดการอ่าน เช่น ห้องสมุดท้องถิ่นหรือศูนย์การศึกษาชุมชน เพื่อให้กลายเป็นห้องนั่งเล่นในเมืองในการสร้างการเรียนรู้ให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ปรากฎการณ์ Sharenting หรือการแชร์เรื่องราวของลูกๆผ่านโซเชียลมีเดีย นั้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและผลเสียที่อาจเกิดการกลั่นแกล้งกัน ซึ่งนำมาสู่ข้อกำหนดด้านการยินยอมของ Gen Alpha โดยแบรนด์ต่างๆจำเป็นต้องตระหนักรู้และบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กๆ
เจาะ Insight กลุ่ม Beta (2025-2039)
กลุ่ม Gen Beta ถือว่าเป็นกลุ่มประชากรใหม่ที่เกิดในช่วงปี 2025-2039 และพร้อมที่จะรับช่วงต่อบนโลกที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ในยุคที่บรรทัดฐานทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป คำว่า Beta คือ การตั้งชื่อให้สอดคล้องกับลำดับอักษรกรีกหลังจาก Gen Alpha (α) ก็มาสู่ Gen Beta (β) โดยภายในปี 2035 จะมี Gen Beta จำนวน 16% ของโลก โดยจะให้ความสำคัญกับ AI เป็นหลักซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการกำหนดวิถีชีวิต การเรียนรู้ การเล่น และการทำงาน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของแบรนด์ที่ต้องเข้าใจกลุ่มคน Gen Beta เพื่อเตรียมความพร้อมกับผู้บริโภคในอนาคต
กลุ่ม Gen Beta จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดมาพร้อมด้วยเครื่องมือและแนวทางที่ซับซ้อนของโลกที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนกลุ่มนี้มีคุณลักษณะเฉพาะในการใช้เทคโนโลยี มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม มีทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก เกิดมากับการศึกษารูปแบบใหม่ รวมถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีและยาวนานมากขึ้น กลุ่ม Gen Beta โตมากับความเป็น Digital Native ซึ่งกลายเป็น Gen AI First ที่โตมากับยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยในปี 2026 นั้น กว่า 90% ของคอนเทนต์ทั้งหมดจะถูกทำขึ้นโดย AI แทบทั้งสิ้น ทำให้การพัฒนาของเทคโนโลยีจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกำหนดทิศทางและเส้นทางการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของ Gen Beta ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
ภายในปี 2050 เมื่อ Gen Beta เข้าสู่วัย 25 ปี ก็ได้มีการคาดการณ์ว่า 68% ของผู้คนทั่วไปจะอาศัยอยู่ในเขตเมือง ดังนั้นเมืองต่างๆจะต้องออกแบบใหม่และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกความแตกต่างด้านภูมิหลังหรือข้อจำกัดทางร่างกาย เพราะเนื่องจากในปี 2050 จะมีผู้พิการมากถึง 91.4 ล้านคน
ลักษณะของพ่อแม่ Gen Z ที่มักจะหลบหนีจากโลกดิจิทัลและพยายามเอาตัวเองออกมาจากเทคโนโลยี ได้มองว่าชีวิตก่อนยุคดิจิทัลนั้นเต็มไปด้วยความโรแมนติก ส่งผลให้ Gen Beta มีไลฟ์สไตล์ในการแสวงหาการเชื่อมต่อในชีวิตจริง และประสบการณ์ที่จับต้องได้จริงทางกายภาพ ทำให้ Gen Beta อาจชื่นชอบงานอดิเรกอย่างการเล่นกีฬากลางแจ้ง ที่มองว่าเป็นการหนีจากโลกดิจิทัล หรืออาจสนใจรสชาติอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด
Source: TCDC