MacBook_Pro_on_Table_with_Notebook

หากต้องการสร้างคอนเทนต์ให้มีมูลค่าอย่างสม่ำเสมอ คุณต้องปฏิบัติต่อคอนเทนต์นั้นๆให้เหมือนสินทรัพย์ที่มีชีวิต ซึ่งต้องมีการวางแผน บำรุงรักษา อัปเดต และเลิกใช้เมื่อจำเป็น และนั่นก็คือที่มาของคำว่า “รูปแบบวงจรชีวิตของคอนเทนต์” (Content Lifecycle Model) ที่จะช่วยให้นักการตลาด ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ และแบรนด์ต่างๆ บริหารจัดการคอนเทนต์ได้อย่างมีกลยุทธ์มากขึ้นตลอดช่วงอายุของคอนเทนต์นั้นๆ เรามาทำความรู้จักกับ Content Lifecycle Model กันในบทความนี้ครับว่า การทำคอนเทนต์แบบครบวงจรนั้นเป็นอย่างไร

อะไรคือ Content Lifecycle Model

Content Lifecycle Model หรือ รูปแบบวงจรชีวิตของคอนเทนต์ ซึ่งก็คือ กรอบการทำงานที่สรุปขั้นตอนของการพัฒนาและจัดการคอนเทนต์ ตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นไปจนถึงการเลิกใช้ หรือนำกลับมาใช้ใหม่ในที่สุด ที่ช่วยให้มั่นใจว่าคอนเทนต์นั้นจะยังคง

1. ความเกี่ยวข้อง (Relevant)

คำว่า “เกี่ยวข้อง” หมายถึง คอนเทนต์ที่ทำต้องตรงกับ “ความต้องการ ความสนใจ หรือปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย” ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ยิ่งเนื้อหาเกี่ยวข้องมากเท่าไหร่ ผู้รับสารก็จะยิ่งรู้สึกว่ามีคุณค่า และอยากมีส่วนร่วมมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง เนื้อหาที่ “เกี่ยวข้อง” อาจเป็นการรีวิวเต็นท์รุ่นใหม่ล่าสุด หรือคำแนะนำการเตรียมตัวไปแคมป์ปิ้งช่วงหน้าฝน แทนที่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเดินป่าเมื่อ 100 ปีก่อน

2. ถูกต้องแม่นยำ (Accurate)

การที่คอนเทนต์นำเสนอข้อมูลที่ “ปราศจากข้อผิดพลาด เป็นความจริง และสามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้” ความถูกต้องแม่นยำจะสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับคอนเทนต์และแบรนด์ของคุณ หากเนื้อหาไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือแม้แต่ผลกระทบทางกฎหมายได้

3. มีประสิทธิภาพ (Effective)

การที่คอนเทนต์ “สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้” ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายด้านการตลาด การขาย การสร้างการรับรู้ หรือการให้ข้อมูล คอนเทนต์ที่ดีไม่เพียงแค่ดึงดูดความสนใจ แต่ต้องนำไปสู่การกระทำหรือผลลัพธ์ที่ต้องการได้ด้วย

4. วัดผลได้ (Measurable)

ความสามารถในการ “เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของคอนเทนต์ได้อย่างเป็นรูปธรรม” การวัดผลช่วยให้คุณเข้าใจว่า คอนเทนต์ชิ้นไหนทำงานได้ดีหรือไม่ดี และควรปรับปรุงหรือพัฒนาอย่างไรต่อไป ข้อมูลที่วัดได้จะเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

A_Woman_Doing_Her_Paper_Work

ขั้นตอนทั่วไปใน Content Lifecycle Model

แม้ว่า Content Lifecycle Model จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร แต่โมเดลส่วนใหญ่จะประกอบด้วย 6 ถึง 8 ขั้นตอน ดังนี้

1. กลยุทธ์และการวางแผน (Strategy & Planning)

ขั้นตอนนี้เป็นเหมือนฐานรากที่สำคัญที่สุดของการสร้างคอนเทนต์ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการวาดแผนที่ก่อนออกเดินทาง เพื่อให้คอนเทนต์ที่คุณสร้างขึ้นนั้นมีทิศทางที่ชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวม ได้แก่

  • กำหนดวัตถุประสงค์ (Objectives)
    ระบุว่าคอนเทนต์นี้สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร และคุณต้องการให้เกิดผลลัพธ์อะไร เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ ให้ข้อมูล หรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยวัตถุประสงค์ต้องชัดเจนและวัดผลได้
  • ระบุกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)
    ระบุว่าคอนเทนต์นี้จะพูดกับใคร พวกเขาคือใคร มีความสนใจอะไร มีปัญหาอะไร และใช้ช่องทางไหนบ้างในการรับข้อมูล การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่ “เกี่ยวข้อง” ได้
  • สอดคล้องกับเป้าหมายของแบรนด์และธุรกิจ (Brand / Business Goals)
    คอนเทนต์ทุกชิ้นต้องสนับสนุนวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายทางธุรกิจโดยรวม ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆแต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวม
  • สร้างปฏิทินคอนเทนต์ (Content Calendar)
    วางแผนว่าคอนเทนต์แต่ละชิ้นจะสร้างเมื่อไหร่ เผยแพร่เมื่อไหร่ และบนช่องทางไหนบ้าง เพื่อให้การทำงานเป็นระบบ มีระเบียบ และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้

2. การระดมความคิดและการวิจัย (Ideation & Research)

เมื่อมีแผนที่ชัดเจนแล้ว ก็ถึงเวลาสำรวจเส้นทางและรวบรวมวัตถุดิบ ขั้นตอนนี้คือการหา “อะไร” (What) ที่จะนำเสนอและ “ทำไม” (Why) ผู้คนถึงอยากรู้เรื่องนี้ ดังนี้

  • ระดมสมองหาแนวคิดโดยใช้โมเดลต่างๆ (Brainstorming Ideas)
    • 5W1H (Who, What, When, Where, Why, How) – ใช้ตั้งคำถามเพื่อขยายประเด็นให้ครบถ้วนรอบด้าน
    • JTBD (Jobs to Be Done) – ทำความเข้าใจว่าลูกค้า “จ้าง” ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา ให้ไปทำอะไรให้พวกเขา เช่น ไม่ได้ซื้อสว่านเพื่อเอาสว่าน แต่ซื้อเพื่อต้องการเจาะรูแขวนรูป
    • เครื่องมือ SEO – มาใช้สำหรับค้นหา Keywords ที่ผู้คนนิยมค้นหา เพื่อให้เนื้อหามีโอกาสถูกค้นเจอมากขึ้น
  • รวบรวมข้อมูลเชิงลึก (Insights)
    ทำการหาและรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ หรือจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมานั้น “ถูกต้อง” “แม่นยำ” และ “น่าเชื่อถือ”

3. การสร้างสรรค์ (Creation)

ขั้นตอนที่แนวคิดและข้อมูลทั้งหมด จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคอนเทนต์ที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ หรือเสียง ดังนี้

  • ผลิตเนื้อหาคุณภาพสูง (High Quality Content)
    สร้างคอนเทนต์ตามรูปแบบที่วางแผนไว้ โดยเน้นที่คุณภาพและความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือเสียง
  • ตรวจสอบให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Align with Brand Identity)
    คอนเทนต์ที่ออกแบบทุกชิ้น ควรมีและแสดงอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) Link ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้ รูปแบบการเล่าเรื่อง โทนสีที่ใช้ หรืออารมณ์ที่สื่อออกไป
  • ใช้กรอบการเขียนคำโฆษณา (Copywriting Frameworks)
    • AIDA (Attention, Interest, Desire, Action) Link – ดึงดูดความสนใจ สร้างความสนใจ สร้างความต้องการ และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ
    • PAS (Problem, Agitate, Solve) Link – ระบุปัญหา ขยี้ปัญหาให้ชัดเจน และนำเสนอทางออก
    • FAB (Features, Advantages, Benefits) – อธิบายคุณสมบัติ ข้อดี และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

การใช้กรอบเหล่านี้จะช่วยให้การเขียนคอนเทนต์ มีโครงสร้างที่ดีและสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


4. การตรวจสอบและอนุมัติ (Review & Approval)

ก่อนจะนำเสนอคอนเทนต์ออกสู่สาธารณะ ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่า คอนเทนต์มีคุณภาพ ปราศจากข้อผิดพลาด และเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ ดังนี้

  • การตรวจสอบภายใน (Internal Review)
    • บรรณาธิการ (Editors) – ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ไวยากรณ์ การสะกดคำ และความลื่นไหลของเนื้อหา
    • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ / กฎหมาย (Regulatory Compliance) – โดยเฉพาะเนื้อหาที่มีความอ่อนไหว เช่น การเงิน การแพทย์ หรือกฎหมาย ที่ต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ
  • เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ SEO และ UX (SEO and UX Optimization)
    • SEO (Search Engine Optimization) – ปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ ให้เหมาะสมกับการค้นหาของ Google เพื่อให้เนื้อหาถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น
    • UX (User Experience) – ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ความอ่านง่าย การจัดวางองค์ประกอบ การโหลดหน้าเว็บไซต์ที่รวดเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเมื่อเข้าชมเนื้อหา
  • จัดรูปแบบให้เหมาะสำหรับช่องทางต่างๆ (Formatting) – คอนเทนต์ต้องถูกปรับให้เหมาะสม กับแพลตฟอร์มที่จะเผยแพร่ เช่น ขนาดรูปภาพ รูปแบบตัวอักษร หรือการจัดหน้า

5. การเผยแพร่และการโปรโมท (Distribution & Promotion)

แม้ว่าคุณทำคอนเทรต์ออกมาดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีใครเห็นก็ไร้ประโยชน์ ขั้นตอนนี้ คือ การทำให้คอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ดังนี้

  • เผยแพร่บนช่องทางหลัก (Primary Channels)
    นำคอนเทนต์เผยแพร่สู่แพลตฟอร์มหลักที่ตั้งใจไว้ เช่น เว็บไซต์ YouTube โซเชียลมีเดีย การส่งจดหมายข่าว
  • โฆษณาแบบชำระเงิน (Paid Advertising)
    เพื่อเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ก็ควรใช้การโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆอย่างเหมาะสม

6. การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization)

หลังจากเผยแพร่คอนเทนต์แล้ว แต่งานยังไม่จบง่ายๆ เพราะเราต้องติดตามผลและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้คอนเทนต์ยังคง “มีประสิทธิภาพ” และ “วัดผลได้” จริง ดังนี้

  • ตั้งเป้าตัวชี้วัด (KPIs)
    ติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักที่กำหนดไว้ในขั้นตอนแรก เพื่อดูว่าเนื้อหาสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เช่น การเข้าชม การมีส่วนร่วม การเปลี่ยนเป็นลูกค้า อันดับ SEO
  • การทดสอบรูปแบบเนื้อหา (A/B Testing)
    ทดลองใช้ Call-to-Action (CTA) รูปแบบการจัดวาง รูปภาพที่ใช้ หรือหัวข้อที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
  • วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน (Behavior Analytics)
    ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลมาปรับปรุงคอนเทนต์ เช่น หากผู้ใช้อ่านเนื้อหาไม่จบ อาจจะต้องปรับปรุงโครงสร้างหรือความยาวของบทความ

7. จัดเก็บ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือการเลิกใช้ (Archiving, Repurposing or Retiring)

ด้วยคอนเทนต์นั้นก็มีวงจรชีวิตของมัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งคอนเทนต์อาจต้องได้รับการจัดการใหม่ เพื่อให้ยังคงคุณค่าหรือไม่ก็ถูกถอดออกไปอย่างเหมาะสม ดังนี้

  • เลิกใช้คอนเทนต์ที่ล้าสมัยหรือไม่เกี่ยวข้อง (Retiring)
    คอนเทนต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ถูกต้อง หรือสร้างความสับสน ควรถูกลบออก หรือใช้การเปลี่ยนเส้นทาง (Redirects) เพื่อนำผู้ใช้ไปยังคอนเทนต์ที่เหมาะสมกว่า การคงคอนเทนต์ที่ล้าสมัยไว้ อาจส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (Brand Credibility) รวมไปถึงอันดับ SEO ได้
  • ฟื้นฟูคอนเทนต์เก่าเพื่อให้คงคุณค่าตลอดไป (Refresh)
    คอนเทนต์ที่ยังคงมีคุณค่าแต่ล้าสมัยไปบ้าง สามารถนำมาอัปเดตข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติม หรือปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น เช่น การปรับวันที่ในบทความให้เป็นปัจจุบัน
  • นำคอนเทนต์กลับมาใช้ในรูปแบบอื่น (Repurpose)
    นำคอนเทนต์เดิมๆมาปรับเปลี่ยนรูปแบบ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน หรือเพิ่มคุณค่าให้เนื้อหา เช่น นำบทความบล็อกมาทำเป็นสคริปต์วิดีโอ หรือสรุปเป็นภาพสไลด์สำหรับโซเชียลมีเดีย

Content Lifecycle Model ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า คอนเทนต์ของคุณจะยังคงมีความเกี่ยวข้อง (Relevant) ถูกต้องแม่นยำ (Accurate) มีประสิทธิภาพ (Effective) และวัดผลได้ (Measurable) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างคุณค่า และบรรลุเป้าหมายของการทำ Content Marketing ให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืนนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

สูตรการสร้าง 10x Content เพื่อสร้าง Quality Content ให้ตอบโจทย์ SEO Strategy

ในโลกดิจิทัลที่ทุกคนต่างสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาตลอดเวลา การมีคอนเทนต์ที่ “พอใช้ได้” ก็อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะถ้าคุณอยากโดดเด่นและเป็นที่จดจำ โดยคุณจำเป็นต้องสร้าง “คอนเทนต์ของคุณต้องเหนือกว่าคู่แข่งถึง 10 เท่า” ที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของ 10x Content Strategy ซึ่งเป็นแนวคิดที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Rand Fishkin ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และ Content Marketing ระดับโลกจาก Moz นั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับสูตรการสร้าง 10x Content Strategy


ประเภทและรูปแบบของ Interactive Content กับการใช้งานด้านการตลาด

คอนเทนต์ในเชิงโต้ตอบเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองกลับ หรือ Interactive Content ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด สำหรับการทำการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ที่ช่วยให้แบรนด์มีส่วนร่วมกับผู้ชม เสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ และยังช่วยให้เกิด Conversion ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นประเภทที่แตกต่างจากคอนเทนต์แบบปกติทั่วไป โดยหากออกแบบ Interactive Content ให้ออกมาดี


เทคนิคการเขียนคอนเทนต์ให้ดึงดูดใจ (Compelling Content)

การเขียนคอนเทนต์แบบดึงดูดใจหรือที่เรียกว่า Compelling Content นั้นนับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเป้าหมายเข้ามาสนใจและมีส่วนร่วมกับสิ่งที่คุณกำลังจะสื่อสารได้มากขึ้น โดยลักษณะของ Compelling Content นั้นสามารถนำมาใช้ได้ทั้งการเขียนคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น บทความบนบล็อก



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์