
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ความสำเร็จไม่ได้ถูกกำหนดด้วยความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดด้วยว่า บริษัทสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด และนี่คือจุดที่ “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence – AI) เข้ามามีบทบาทสูงสุด จน AI ได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของประสิทธิภาพการทำงานสมัยใหม่ โดยเปลี่ยนการดำเนินงานในแต่ละวันจากงานที่ทำด้วยมือและซ้ำซาก ให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติอัจฉริยะที่สามารถคิด คาดการณ์ และปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะในภาคการผลิต การขนส่ง พลังงาน หรือแม้แต่ขั้นตอนการทำงานในสำนักงาน AI กำลังช่วยให้องค์กรต่างๆประหยัดเวลา ลดต้นทุน และยกระดับประสิทธิภาพ ได้อย่างมหาศาล และในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาสำรวจกรณีศึกษา (Case Study) ถึงความสำเร็จระดับโลก ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า AI ไม่ได้แค่ปรับปรุงการดำเนินงานให้คล่องตัวขึ้นเท่านั้น แต่ยังนิยามใหม่ถึงวิธีการทำงานของธุรกิจอีกด้วยครับ

Case Study กับความสำเร็จของการใช้ AI ในการสร้าง Productivity
Toyota กับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการผลิตอัจฉริยะ (Predictive Maintenance & Smart Manufacturing)
Toyota ได้นำ AI มาใช้ปฏิวัติกระบวนการผลิตของตนเอง โดยการติดตั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตลอดสายการผลิต เพื่อตรวจจับการสึกหรอของเครื่องจักร และคาดการณ์ความล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ระบบบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์นี้จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น การสั่นสะเทือน อุณหภูมิ และข้อมูลทางเสียง จากเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนทีมงานซ่อมบำรุงล่วงหน้า ซึ่งส่งผลให้ Toyota สามารถลดระยะเวลาที่อุปกรณ์หยุดทำงาน โดยไม่คาดคิดได้มากกว่า 50% ทั่วโรงงานทั่วโลก
นอกจากนี้ยังช่วยให้การผลิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และลดต้นทุนในการบำรุงรักษาลงได้อย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างชัดเจน

Image Source: https://www.toyota.co.th/en/corporate/company_profile
Siemens กับการใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางอุตสาหกรรม (AI in Industrial Optimization)
Siemens บริษัทเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ได้นำความสามารถของ AI มาบูรณาการเข้ากับระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในโรงงานอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ความเร็วในการผลิต และการปรับเทียบอุปกรณ์ หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้ คือ แพลตฟอร์ม IoT (Internet of Things) ที่ชื่อว่า “MindSphere” ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อเครื่องจักรทั้งหมด เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ และใช้อัลกอริทึมของ AI เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการปรับปรุงการดำเนินงานได้แบบ Real-time
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 30% พร้อมทั้งมีการปรับปรุงที่สำคัญ ในด้านความสม่ำเสมอของคุณภาพสินค้า และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนโรงงาน ให้เป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่ทันสมัยและยั่งยืน
Video Source: https://youtu.be/PEANAw2D0cQ
Amazon กับการใช้ AI ในการขนส่งและการดำเนินงานคลังสินค้า (AI in Logistics & Warehouse Operations)
ศูนย์จัดการสินค้า (Fulfillment Centers) ของ Amazon เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานโดยมี AI เป็นกลไกหลัก โดยมีการใช้ระบบหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Computer Vision ในการดำเนินงาน หุ่นยนต์เหล่านี้มีหน้าที่ระบุ เคลื่อนย้าย และบรรจุสินค้า โดยใช้อัลกอริทึมในการกำหนดเส้นทางอัจฉริยะ (Intelligent Routing Algorithms) ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดเวลาในการเดินทางให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทสำคัญในการคาดการณ์ความต้องการในการจัดส่ง และจัดสรรสินค้าคงคลัง (Inventory) อย่างยืดหยุ่น และเป็นพลวัตในคลังสินค้าทั่วโลก
ผลลัพธ์จากการนำ AI มาใช้ ก็คือ การลดระยะเวลาในการจัดส่งจากหลายวันให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง การใช้ความจุของคลังสินค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการบรรลุถึงความเร็วในการดำเนินงานที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ Amazon สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Video Source: https://youtu.be/G-WdDeQ4TKw
General Electric (GE) กับการใช้ AI สำหรับการดำเนินงานพลังงานเชิงคาดการณ์ (Predictive Energy Operations)
บริษัท General Electric (GE) ได้ใช้ประโยชน์จาก AI ในการสร้างระบบดิจิทัลทวิน (Digital Twins) ซึ่งก็คือ แบบจำลองเสมือนจริงที่ใช้เพื่อจำลองและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ของเครื่องมือ / เครื่องจักรทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น กังหัน เครื่องยนต์ และระบบโครงข่ายไฟฟ้า กลยุทธ์นี้ทำงานโดยการเปรียบเทียบข้อมูลแบบ Real-time ที่ได้รับจากเครื่องมือ / เครื่องจักรทางอุตสาหกรรมจริง กับแบบจำลองเชิงคาดการณ์ที่สร้างโดย AI ทำให้ GE สามารถคาดการณ์ปัญหา และกำหนดเวลาในการบำรุงรักษาเชิงรุกได้อย่างแม่นยำ ก่อนที่จะเกิดความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การเพิ่มช่วงเวลาที่เครื่องมือ / เครื่องจักรสามารถทำงานได้ ขึ้นถึง 20% และช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการลดการซ่อมบำรุงที่ไม่ได้วางแผนไว้ และการลดการสูญเสียพลังงานที่ไม่จำเป็น ซึ่งตอกย้ำถึงความสามารถของ AI ในการสร้างเสถียรภาพ และประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมพลังงาน
Video Source: https://youtu.be/ZDPecICwGcI
Coca-Cola กับการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน (AI for Supply Chain Efficiency)
บริษัท Coca-Cola ใช้ AI ในการดำเนินงานที่สำคัญ นั่นก็คือ การพยากรณ์สินค้าคงคลังและการวางแผนด้านอุปสงค์ ระบบ AI ของ Coca-Cola จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายและละเอียดอ่อน เช่น แนวโน้มการบริโภคในพื้นที่ต่างๆ สภาพอากาศในท้องถิ่น และข้อมูลของงานอีเวนต์ใหญ่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของตารางการผลิต และการจัดจำหน่ายได้อย่างแม่นยำ
ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การลดปัญหาสินค้าหมดสต็อก และสินค้าล้นสต็อกลงได้อย่างมาก พร้อมทั้งเพิ่มความแม่นยำในการจัดส่งและยกระดับความสามารถ ในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยโดยตรงในการลดต้นทุน ในการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Image Source: https://www.zetes.com/en/warehouse-solutions/outbound-logistics/coca-cola-saves-6-minutes-per-truck-during-loading
Microsoft กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในที่ทำงานด้วย AI (AI-Enhanced Workplace Productivity)
Microsoft ได้นำ AI มาใช้ภายในระบบนิเวศของ Microsoft 365 Copilot เพื่อขับเคลื่อน และทำให้ขั้นตอนการทำงานภายในองค์กรเป็นไปโดยอัตโนมัติ (Automate Internal Workflows) โดยระบบ AI นี้มีขีดความสามารถที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดตารางเวลาและการสรุปเนื้อหาการประชุม ไปจนถึงการสร้างรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูล ในด้านประสิทธิภาพการทำงานต่างๆให้กับพนักงาน
ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ทีมงานต่างๆรายงานว่า สามารถประหยัดเวลาได้หลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ทำให้พนักงานสามารถหันไปมุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งต้องการความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของมนุษย์มากกว่างานที่ทำซ้ำๆ ซึ่งถือเป็นการยกระดับคุณภาพของการทำงานโดยรวม

Image Source: https://www.microsoft.com/th-th/microsoft-365-copilot/download-copilot-app
การนำ AI มาใช้ในการดำเนินงานนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำให้สิ่งต่างๆรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการทำให้สิ่งต่างๆ “ฉลาดขึ้น” ต่างหาก และในทุกอุตสาหกรรม AI ได้กลายเป็นแรงงานที่มองไม่เห็น ซึ่งทำหน้าที่สำคัญต่างๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทาง การบำรุงรักษาเครื่องจักร การพยากรณ์ความต้องการ หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจเชิงบริหารในแบบ Real-time และด้วยการผสมผสานวิจารณญาณของมนุษย์ ให้เข้ากับความแม่นยำของเครื่องจักร องค์กรต่างๆจึงสามารถปลดล็อกยุคใหม่ของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นยุคที่ประสิทธิภาพกลายเป็นเรื่องของกลยุทธ์ มีความยั่งยืน และสามารถขยายขนาดได้นั่นเอง
Sources:
https://digitaldefynd.com/IQ/toyota-using-ai-case-study/
https://asjp.cerist.dz/en/downArticle/631/9/2/256756
https://www.gevernova.com/software/innovation/digital-twin-technology
https://www.microsoft.com/en-us/microsoft-365-copilot
https://www.siemens.com/global/en/company/stories/industry/intelligent-production-in-industry.html
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
