
Amazon ถือเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี ก่อตั้งโดย เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ตั้งแต่ปี 1994 ที่เรียกได้ว่าขายแทบจะทุกสิ่งอย่างบน E-Commerce เว็บไซต์ที่ชื่อ Amazon.com สำหรับแบรนด์ Amazon นั้นเริ่มต้นจากการขายหนังสือและก็ขยายไปขายพวกเกมคอมพิวเตอร์ เพลง สู่การขายผ่านออนไลน์ และขยับขยายไปสู่ระบบคลาวด์อย่าง AWS ที่โด่งดังระดับโลก สำหรับสาเหตุที่ทำให้แบรนด์ Amazon กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลกนั้น หากนำมาวิเคราะห์ดูแล้วจะสามารถสรุปได้ ดังนี้

1. เป้าหมายสูงสุดสู่การปฏิบัติจริง
เป้าหมาย (Purpose) ของแบรนด์ Amazon คือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายได้อย่างสะดวก การเป็นบริษัทที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากที่สุดในโลกแบรนด์หนึ่ง โดยที่ลูกค้าสามารถค้นหาและค้นพบสิ่งที่พวกเขาอาจต้องการซื้อทางออนไลน์ และพยายามที่จะเสนอราคาที่ต่ำที่สุดแก่ลูกค้า นั่นแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของ Amazon ในด้านการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีและราคาที่สมเหตุสมผล
2. ความเป็น Global Reach ที่เข้าถึงทั่วทุกมุมโลก
Amazon ดำเนินงานในหลายประเทศทั่วโลกจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างแท้จริง การมีอยู่ของแบรนด์ในตลาดหลายแห่งและความสามารถในการปรับบริการให้เข้ากับความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ มีส่วนช่วยในการสร้างความแข็งแกร่งและมูลค่าให้กับแบรนด์ โดยปัจจุบัน Amazon ได้กลายเป็นกำลังสำคัญในตลาด E-Commerce และปัจจุบันมีอยู่ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีคลังสินค้าหลายร้อยแห่ง และคาดว่ามีผู้คนประมาณ 2.7 พันล้านคนจับจ่ายซื้อสินค้าใน Amazon ทิ้งห่าง Alibaba ซึ่งมีฐานอยู่ในจีน ที่มีผู้ซื้อ 1.1 พันล้านคน และ eBay ซึ่งเดิมเป็นราชาแห่ง E-Commerce ที่มีลูกค้าเพียง 800 ล้านคนเท่านั้น โดยไม่มีใครสร้างโมเดลธุรกิจในแบบที่ Amazon มีได้ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม Amazon จึงยังคงเป็นที่หนึ่งด้าน E-Commerce
3. ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขยายสู่ฐานลูกค้าที่มากขึ้น
ความแข็งแกร่งของ Amazon มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์ประเภท E-Commerce จนกลายเป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากมายตั้งแต่หนังสือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ และอีกหนึ่งบริการที่สร้างผลกำไรให้กับ Amazon นั่นก็คือ Amazon Prime บริการพิเศษสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกของ Amazon ที่ช่วยให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าเร็วมากยิ่งขึ้นและไม่มีขั้นต่ำในการสั่งซื้อสินค้า ด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การจัดส่งฟรีภายใน 2 วัน การสตรีมภาพยนตร์และรายการทีวี และการเข้าถึงข้อเสนอพิเศษ โดย Amazon Prime มีสมาชิกมากกว่า 200 ล้านรายทั่วโล
ในช่วงปี 2006 Amazon ก็เปิดตัวระบบคลาวด์อย่าง Amazon Web Service หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ AWS จนทำให้ Amazon กลายเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปัจจุบัน AWS มี Market Share ราว 30%-40% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลก ทำให้ Amazon ไม่ใช่ผู้ค้าปลีกออนไลน์หรือเว็บไซต์ E-Commerce เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์อย่าง Kindle E-reader หรือเครื่องอ่าน eBook ที่สร้างยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง
หากจะให้มองถึงคู่แข่งในตลาดเดียวกันถือว่าน่าจะเข้ามาสู้ได้ค่อนข้างยาก เพราะ Amazon นั้นแข็งแกร่งในด้านนี้อย่างแท้จริง และด้วยความแตกต่างนี้จึงกลายเป็นส่วนสำคัญต่อมูลค่าแบรนด์ของ Amazon
4. การควบรวมและขยายกิจการ
Amazon เข้าซื้อกิจการบริษัทเพื่อเสริมธุรกิจที่มีอยู่หรือเสนอโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ ตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อกิจการ Whole Foods ช่วยให้ Amazon เสริมความแข็งแกร่งในตลาดร้านขายของชำ และยังซื้อกิจอย่าง Twitch, Zappos, Ring และ Audible โดยรวมแล้วการเข้าซื้อกิจการและการลงทุนของ Amazon สะท้อนให้เห็นถึงลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการขยายสู่ตลาดใหม่ ทำให้มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ นับเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเป้าหมายการเติบโตในระยะยาวนั่นเอง