
เทคโนโลยีเสมือนจริง (Reality Technology) นั้นมีมาหลายสิบปีในต่างประเทศ และเพิ่งเป็นที่รู้จักในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายๆแบรนด์ก็ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ทั้งกิจกรรมทางการตลาด การนำมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กร รวมถึงการสร้างแบรนด์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเทคโนโลยีเสมือนจริงนั้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในหลายๆอุตสาหกรรมเลยทีเดียวครับ และที่ผมกำลังจะพูดถึง ก็คือ Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality (MR) นั่นเอง เรามาดูความแตกต่างของแต่ละเทคโนโลยีกันดีกว่าครับ

Virtual Reality (VR) การจำลองโลกเสมือนจริง
Virtual Reality (VR) นั้นหมายถึง การสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลแบบเสมือนจริงขึ้นมาแทนที่โลกแห่งความเป็นจริง โดยผู้ใช้งานนั้นจะสามารถสัมผัสได้ทั้งภาพ เสียงและรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมา ผ่าน VR Headset ที่นำมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือเป็นแบบ Standalone มันคล้ายๆกับการที่เราเล่นเกมและมีฉากจริงสถานที่จริง หรือฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาและเราเข้าไปอยู่ในเกมนั้นด้วยตัวเอง ที่เราสามารถมองทุกอย่างได้ 360 องศา ด้วยจุดเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมเกมจนมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
- Google StreetView ที่ทำให้เราเห็นแผนที่การเดินทางและตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่ต่างๆได้ 360 องศา
- การทำวีดิโอแบบ 360 องศา ที่สามารถนำไปโพสต์ลง YouTube หรือ Facebook
- การทำสื่อการสอนทางการแพทย์ ด้วยการจำลองการผ่าตัด
- การจำลองสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และดูผ่าน VR Headset
- การชมพิพิธภัณฑ์แบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หรือ VR Headset
- การชมห้องหรือบ้านตัวอย่างผ่าน VR Headset
- การจำลองฝึกหัดขับรถ การขับเครื่องบิน การดับเพลิง

Source: youtube.com/watch?v=DhE9J_XbeK4

Source: digitalspy.com

Source: build-review.com
Augmented Reality (AR) การนำวัตถุมาอยู่ในโลกจริง
Augmented Reality (AR) คือ การซ้อนทับเนื้อหาดิจิทัลประเภทต่างๆในรูปแบบภาพสามมิติ วีดิโอ ข้อความ หรือข้อมูลประเภท Interactive บนสภาพแวดล้อมจริง ด้วยการมองผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ แทปเล็ต ลองนึกภาพถึงเกมสที่โด่งดัง Pokemon Go ที่สร้างปรากฎการณ์ให้สาวก Pokemon เล่นเกมจับ Monster ผ่านแอพลิเคชันบนมือถือได้แทบจะทั่วโลก โดยนอกเหนือจากการแสดงผลผ่านมือถือหรือแทปเล็ตแล้ว เทคโนโลยี AR ยังสามารถสร้างผ่านกล้องหรือแว่นตาแบบพิเศษ แล้วเราสามารถมองเห็นภาพหรือข้อความในรูปแบบสามมิติขึ้นมาในสภาพแวดล้อมจริง เช่น
- อิเกีย (IKEA) ทำแอปพลิเคชันให้ลูกค้าลองเอาเฟอร์นิเจอร์ในรูปแบบสามมิติไปลองวางในบ้าน ก่อนการตัดสินใจสั่งซื้อ
- ในงานโฆษณาพวกนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ ที่นำเอาเทคโนโลยี AR มาทำให้เอกสารมองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ ผ่านมือถือหรือแทปเล็ต
- ร้านขายเสื้อผ้าให้ลูกค้าลองใส่ชุดผ่านหน้าจอ ที่ใช้เทคโนโลยี AR
- การให้ความรู้ เช่น ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ เรียนรู้ส่วนประกอบของร่างกาย
- การแสดงป้ายราคาหรือข้อมูลสินค้า เช่น ภาพศิลปะในพิพิธภัณธ์ ร้านขายเสื้อผ้า

Source: siamvr.com

Source: blog.prioridata.com

Source: abcnews.go.com
Mixed Reality (MR) ประสบการณ์ไร้รอยต่อ
Mixed Reality (MR) คือ การผสมผสานระหว่างวัตถุเสมือนจริงให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีปฏิสัมพันธ์และสามารถโต้ตอบ (Interact) กับผู้ใช้งานได้ หรือเรียกได้ว่า MR เป็นหนึ่งในรูปแบบ AR ที่ดูมีความเหมือนจริงมากยิ่งขึ้นและสร้างประสบการณ์ (Immersive Experience) ได้ดีมากยิ่งขึ้นผ่านกล้องฮาโลเลนส์ (Halolens) หรือ Mixed Reality (MR) Headset คล้ายๆกับฉากในหนังพวก Sci-fi ที่เราดูที่เห็นเป็นภาพ Halogram นั่นแหละครับ เช่น
- Microsoft ที่ทำแว่น Halolens ขึ้นมาเพื่อใช้ในธุรกิจประเภทต่างๆ >> Microsoft Halolens
- การเรียนรู้วิธีซ่อมเครื่องยนต์ หรือการทำงานของเครื่องยนต์ ผ่านแว่นตาฮาโลเลนส์ (Halolens) หรือ Mixed Reality (MR) Headset
- การแพทย์ได้นำ MR มาใช้ในการเรียนรู้ระบบภายในร่างกาย การฝึกสอนการผ่าตัด
- การประชุมทางไกลที่ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุม สามารถเห็นสภาพแวดล้อมทุกๆอย่างได้พร้อมกัน

Source: blogs.windows.com

Source: forbes.com

Source: itbrief.com.au
หลายๆอุตสาหกรรมได้นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ซึ่งมันส่งผลดีต่อธุรกิจและยกระดับการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กร และมันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในอนาคตที่สร้างมิติใหม่ๆในการดำเนินธุรกิจ การทำการตลาด และการส่งมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็มากับค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นคุณควรดูความเหมาะสมและการนำมาปรับใช้ให้คุ้มค่าที่สุดครับ
One thought on “ความแตกต่างของเทคโนโลยีเสมือนจริง VR/AR/MR”