
รับฟังผ่าน Popticles.com Podcast
การโฆษณาก็ถือเป็นหนึ่งวิธีในการทำให้แบรนด์หรือธุรกิจเป็นที่รู้จัก ไม่แพ้การทำการตลาดและการประชาสัมพันธ์ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างให้เกิดความน่าสนใจและส่งผลดีกับแบรนด์ด้วยกันทั้งสิ้น และสำหรับการถ่ายทอดเนื้อหาหรือคอนเทนต์ในการโฆษณานั้นเรามักจะเห็นกันอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน คือ โฆษณาในลักษณะ Informative Advertising กับ โฆษณาในลักษณะ Persuasive Advertising เราลองมาทำความรู้จักกับโฆษณาทั้ง 2 รูปแบบกันครับว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
โฆษณาแบบ Informative Advertising
การโฆษณาแบบ Informative Advertising เป็นการให้ข้อมูลแบบข้อเท็จจริงด้านต่างๆ ซึ่งอาจมีการนำเสนอพวกสถิติ ตัวเลข คำยืนยัน เพื่อสร้างให้เกิดความน่าเชื่อถือกับผู้ชมที่เห็นโฆษณา โฆษณาประเภทนี้จะนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการแบบตรงไปตรงมา และแน่นอนครับว่าโฆษณารูปแบบนี้มักจะใช้ความเป็นเหตุเป็นผล (Rational) สื่อสารกับผู้ชมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตัวเหตุและผลมันจะดึงดูดใจให้กลุ่มผู้ชมนั้นเข้ามามีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสอบถาม การแชร์ต่อ หรือการซื้อสินค้าและบริการ
สิ่งสำคัญที่สุดของโฆษณารูปแบบนี้นั่นก็คือ “ความจริง” ข้อมูลต้องเป็นของจริงมีความถูกต้องแบบไม่บิดเบือน เพราะหากข้อมูลนั้นไม่เป็นความจริงมันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ชมและลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงชื่อเสียงของแบรนด์หรือธุรกิจของคุณอีกด้วย

Source: https://joygurtiza.com/hp-deskjet-5820-prints-pages-moneys-worth/
รูปแบบ Informative Advertising เรามักจะเห็นได้จากธุรกิจแบบ B2B หรือ B2C ที่เป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง เช่น การขายโซลูชั่น เครื่องปริ้นเตอร์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแม้ว่าโฆษณาในรูปแบบ Informative นี้จะเป็นการนำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอให้ดูน่าสนใจก็ได้เช่นเดียวกัน และอาจจะมีการนำเสนอในเชิงอารมณ์เข้ามาผสมผสานเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้นได้อีก
โฆษณาแบบ Persuasive Advertising
Persuasive Advertising คือรูปแบบการโฆษณาในลักษณะการจูงใจด้วยคำพูดอย่างเต็มรูปแบบ เพราะเนื่องจากบางครั้งข้อมูล สถิติ ตัวเลขนั้นอาจจะไม่สามารถสร้างความน่าสนใจได้ดีเท่าที่ควร เพราะหลายๆคนนั้นมีความรู้สึกเชิงอารมณ์ค่อนข้างสูงและใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าเหตุและผล นั่นจึงเป็นสาเหตุให้โฆษณารูปแบบ Persuasive นั้นสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว ด้วยการจูงใจให้ผู้ชมนั้นเชื่อ อยากทำตาม อยากเข้ามาหา อยากซื้อสินค้า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้อารมณ์ในการสื่อสารหรือออกแบบคอนเทนต์เพื่อจูงใจอย่างเดียว ซึ่งก็จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงด้วยเช่นกัน โดยการจูงใจนั้นก็จำเป็นต้องสื่อสารเพื่อจูงใจด้วยข้อความหลักๆเพียงข้อความเดียว เพื่อให้ผู้ชมพุ่งความสนใจอย่างเต็มที่มายังโฆษณานั้นๆ การเขียนคอนเทนต์ก็ควรนำเสนอในมุมมองของบุคคลที่ 2 หรือลักษณะเป็นการเล่าเรื่องราว และอาจจะจูงใจด้วยเงื่อนไขบางอย่าง เช่น ความหายาก ระยะเวลาจำกัด มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังการจูงใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าการใส่โปรโมชันจะดูแล้วเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโฆษณาแบบจูงใจ แต่แก่นแท้ของมันคือการเพิ่มมิติด้านอารมณ์เข้าไปเป็นหลักซึ่งอาจจะไม่ได้พูดข้อมูลคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง และอาจนำเสนอผลประโยชน์อื่นๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สินค้า รวมไปถึงยังสามารถนำมาปรับใช้กับเทคนิค Fear of Missing Out (FOMO) หรือการกลัวการตกเทรนด์ การนำเสนอไอเดียในการโฆษณาที่เน้นภาพและเสียงที่สร้างบรรยากาศแบบดึงดูดอารมณ์ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่เราจะเห็นโฆษณาในรูปแบบนี้จากแบรนด์ที่มีการวางตำแหน่งด้านอารมณ์เป็นหลักหรือแบรนด์ที่คนรู้จักดีในคุณสมบัติและคุณภาพของสินค้าไปแล้ว รวมถึงสินค้าที่เติมเต็มความเคารพนับถือ (Esteem) และความสมบูรณ์แบบ (Self-actualization) ในชีวิตตามลำดับขั้นของมาสโลว์ (Hierarchy of Needs) เช่น น้ำหอม รถยนต์หรู เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ สายการบิน เป็นต้น

Source: https://www.behance.net/gallery/19194593/Axe-Dark-Gold-Temptation
หวังว่าการแยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง Informative Advertising และ Persuasive Advertising นั้นจะช่วยให้นักโฆษณาสามารถวางแผนในการทำคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม และนำเอาเทคนิคดีๆต่างๆมาใช้เพื่อสร้างชื่อเสียงและสร้างให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในระยะยาวครับ