รับฟังผ่าน Popticles.com Podcast
รับฟังผ่าน YouTube ได้นี่ที่ https://youtu.be/PMgVPD_e3ss
Diversification Strategy หรือ กลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงที่เรามักจะเห็นเวลาที่แบรนด์ต่างๆออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในตลาด ซึ่งแน่นอนครับว่ามันต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและถือเป็นหนึ่งอุปสรรคสำคัญในการขยายธุรกิจของแบรนด์ที่ไม่ได้ใหญ่โตหรือเป็นเจ้าตลาด แต่ว่ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงก็ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างให้เกิดการเติบโตได้ดีที่สุดกลยุทธ์หนึ่งในระยะยาวเลยทีเดียวครับ โดยมันมีเหตุผลหลักๆอยู่ 7 ข้อที่ทำให้ Diversification Strategy นั้นเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้าม
รู้จัก Diversification Strategy
Diversification Strategy คือ กลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าใหม่รวมไปถึงการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ และอาจรวมไปถึงการเข้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆที่ตัวเองไม่ถนัดอีกด้วยครับ Diversification นั้นก็ถือเป็นหนึ่งใน Ansoff’s Matrix ที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ใช้งบประมาณในการลงทุนมากที่สุดซึ่งแน่นอนครับว่ามันก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกันหากไม่มีทรัพยากรในด้านต่างๆที่สนับสนุนอย่างเพียงพอ ตัวอย่างเช่น
- การเพิ่ม Portfolio ให้กับแบรนด์โดยผลิตสินค้าใหม่ๆจากเทคโนโยลีและทรัพยากรที่มีอยู่เดิม โดยการใช้ความร่วมมือจากหลายๆส่วนงานขององค์กรทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระดับหนึ่ง (ใช้งบปานกลาง)
- การกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายไปทำผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีและช่องทางการขายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ (ลงทุนสูง)
- การผลิตสินค้าใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเลยแต่มีโอกาสทำกำไรสูง
- การนำเอาสินค้าที่มีอยู่เดิมไปทำการตลาดในตลาดใหม่ๆ เพื่อหากลุ่มผู้ใช้สินค้าใหม่ๆ (มีความเสี่ยงสูง)
- ควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในการผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดใหม่ (อาจมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการภายใน)
7 เหตุผลที่ต้องใช้ Diversification Strategy
- ได้ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
- โอกาสเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
- ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น
- ความได้เปรียบจากต้นทุนที่ถูกลง
- การขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกัน
- สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์
- โอกาสในการลดความเสี่ยง
1. ได้ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
การมีผลิตภัณฑ์หลายๆอย่างถือเป็นโอกาสในการขยายไปจับกลุ่มตลาดใหม่ๆ ทำให้แบรนด์สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าและเป็นโอกาสในการสร้างให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ส่งผลในการสร้างกำไรต่อยอดไปถึงผลประกอบการของบริษัทโดยจำเป็นต้องมีการทำวิจัยและพัฒนาอย่างรัดกุม
2. โอกาสเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
การเข้าไปเจาะกลุ่มตลาดใหม่ๆจะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้นส่งผลให้ได้รายได้ที่มากขึ้น แม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงมากก็ตามแต่เมื่อทุกอย่างลงตัวก็จะนำไปสู่กำไรนั่นเอง ซึ่งนับเป็นเหตุผลที่ดีและน่าสนใจเลยทีเดียว
3. ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น
ยิ่งใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องมีการทำวิจัยและพัฒนามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อการศึกษาถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในการผลิตสินค้าให้ทันสมัยและดีขึ้นในตลาด และมันส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณอย่างเห็นได้ชัด
4. ความได้เปรียบจากต้นทุนที่ถูกลง
โอกาสในการควบคุมต้นทุนในการผลิตจากการใช้เครื่องจักรหรือโรงงานผลิตแหล่งเดิม แต่ขยายศักยภาพและกำลังในการผลิตสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาด ซึ่งแน่นอนครับว่าอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมแต่ก็ยังถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากครับ
5. การขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกัน
การขยายสินค้าออกเป็นหลายอย่างยังช่วยให้เกิดโอกาสการทำ Cross Selling หรือ การขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกัน คุณสามารถนำเสนอสินค้าที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าไปพร้อมๆกับสินค้าใหม่ที่ออกมา เพื่อสร้างโอกาสทางการขายได้มากขึ้น
6. สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์
การมีสินค้าที่หลากหลายจะทำให้กลุ่มลูกค้ามีโอกาสจดจำแบรนด์ของคุณได้มากขึ้น และแน่นอนครับว่ามันส่งผลดีในระยะยาวที่เป็นคุณค่าที่แบรนด์นั้นสร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับกลุ่มลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น Apple ที่ผลิตสินค้าออกมาได้หลากหลายทั้ง MacBook, iPad, Apple Watch, iMac, iPhone, AppleTV
Source: http://www.amsus.com/
7. โอกาสในการลดความเสี่ยง
บางครั้งการออกสินค้าใหม่ๆก็อาจช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้จากหลายทาง และยังอาจช่วยพยุงสินค้าที่ยอดขายไม่ดีเพื่อให้คงสถานะรายได้และกำไรได้ในอนาคต
การเลือกใช้กลยุทธ์ Diversification ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีการพิจารณาในหลายๆปัจจัยรวมถึงความพร้อมของธุรกิจ โดยหากวางแผนมาเป็นอย่างดีกลยุทธ์นี้ก็สามารถช่วยให้แบรนด์และธุรกิจของคุณเติบโตได้ในระยะยาวอย่างแน่นอนครับ
Reference:
www.ispatguru.com/diversification-strategy