
ข้อมูลสรุปจากรายงาน Digital 2026 ของ DataReportal ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ Internet ของคนทั่วโลก โดยรายงานฉบับนี้ได้อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งชั้นนำระดับโลก เช่น GWI, Reuters Institute for the Study of Journalism, Meltwater และ We Are Social เพื่อให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการใช้ Internet ในประเด็นของระยะเวลา เหตุผลที่ใช้ Internet ในชีวิตประจำวัน และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ Internet เรามาดูสรุปข้อมูลกันครับว่าผู้คนบนโลกนี้เค้าใช้ Internet ทำอะไรกันบ้าง

ภาพรวมการประชากรโลก (ตุลาคม 2025)

รายงานภาพรวมแสดงให้เห็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ เกี่ยวกับประชากรโลก ณ เดือนตุลาคม 2025 โดย ประชากรโลกรวมอยู่ที่ 8.25 พันล้านคน และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงแบบปีต่อปีที่ +0.8% หรือเพิ่มขึ้นถึง 69 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงตลาดที่มีขนาดใหญ่และขยายตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยมีการกระจายตัวของเพศค่อนข้างสมดุล โดยมีประชากรหญิง 49.7% และชาย 50.3% ซึ่งหมายความว่าแคมเปญการตลาด ควรออกแบบโดยคำนึงถึงความหลากหลาย และคุณลักษณะเฉพาะของผู้บริโภคทั้งสองกลุ่ม
ในด้านการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์และการพัฒนา ความท้าทายที่สำคัญ คือ ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ยอยู่ที่ 63.1 คนต่อ ตร.กม. และที่สำคัญ คือ ประชากรโลกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมืองถึง 58.4% นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับการทำตลาดในเขตเมือง (Urban Marketing) และใช้ช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงกลุ่มคนเมืองได้ง่าย ในขณะที่ อายุเฉลี่ยของประชากรโลกอยู่ที่ 30.9 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น กลุ่มคนวัยหนุ่มสาวถึงวัยทำงานตอนต้น ที่มักมีความคล่องตัวทางดิจิทัลสูง และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ง่าย
ข้อมูลด้านการศึกษายังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาด ที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ โดย อัตราการรู้หนังสือโดยรวม (ผู้ใหญ่ 15 ปีขึ้นไป) อยู่ที่ 87.4% โดยมีอัตราการรู้หนังสือของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย (90.6% เทียบกับ 84.1%) ตัวเลขนี้ยืนยันว่าการทำ Content Marketing และการสื่อสารที่ซับซ้อน (Complex Messaging) ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่อย่างไรก็ตาม นักการตลาดควรพิจารณาสร้างเนื้อหาที่เข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจง่าย เพื่อลดช่องว่างการเข้าถึงระหว่างเพศและกลุ่มการศึกษาต่าง ๆ

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

ข้อมูลจากตาราง 20 อันดับประเทศที่มีประชากรมากที่สุด ณ เดือนตุลาคม 2025 นี้ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักการตลาดระดับโลก ในการจัดสรรทรัพยากรและกำหนดกลยุทธ์การขยายตลาด โดยโลกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจหลัก คือ อินเดีย (1.467 พันล้านคน) ซึ่งขึ้นนำเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่สุด และยังคงมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งที่ +0.89% ตรงกันข้ามกับ จีน (1.415 พันล้านคน) ที่แม้จะใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่มีประชากรเริ่มหดตัวที่ -0.23% ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์การตลาดจากเน้นปริมาณ (Volume) ไปสู่การรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่า (Value) ในตลาดจีน ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกา (อันดับ 3) ยังคงเป็นตลาดพรีเมียมขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างมั่นคงที่ +0.53%
จุดที่นักการตลาดต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ “ตลาดที่มีการเติบโตสูงและรวดเร็ว” ซึ่งมักเป็นประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียใต้ เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (+3.24%) เอธิโอเปีย (+2.57%) และ ไนจีเรีย (+2.08%) รวมถึง ปากีสถาน (+1.58%) ประเทศเหล่านี้แสดงถึงการขยายตัวของชนชั้นกลาง และการเข้าถึงดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นโอกาสทองสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาว และมีความต้องการพื้นฐานเพิ่มขึ้น
ส่วนในตลาดที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าแต่มีประชากรหดตัว เช่น ญี่ปุ่น (-0.53%) และ เยอรมนี (-0.68%) กลยุทธ์ที่เหมาะสม คือ การมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เจาะกลุ่มประชากรสูงวัย หรือการตลาดที่เน้นความเฉพาะเจาะจง (Niche Marketing) ท้ายที่สุดนี้ ประเทศไทย (อันดับ 20) ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงติดลบเล็กน้อยที่ -0.07% จัดเป็นตลาดที่อิ่มตัวแล้วในเชิงประชากร ดังนั้น การตลาดต้องมุ่งไปที่ “การเพิ่มความถี่ในการซื้อ” และ “การสร้างนวัตกรรม” เพื่อกระตุ้นตลาดแทนการพึ่งพาการเติบโตของจำนวนผู้บริโภคใหม่

การกระจายตัวของอายุประชากรโลก

กราฟแสดงการกระจายตัวของอายุประชากรโลก เผยให้เห็นโครงสร้างประชากรต่อกลยุทธ์การตลาด ที่มุ่งเน้นกลุ่มวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานตอนต้น กลุ่มประชากรที่ใหญ่ที่สุด คือ กลุ่มอายุ 10-14 ปี (689 ล้านคน) และ 5-9 ปี (678 ล้านคน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ ที่จะเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ในทศวรรษหน้า และหมายถึงความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เทคโนโลยี และการเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่สูงมาก ในขณะที่ กลุ่มวัยทำงานหลัก (20-44 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในปัจจุบัน มีขนาดประชากรอยู่ในช่วง 601-660 ล้านคน ต่อช่วงอายุ 5 ปี (คิดเป็น 7.3% – 8.0% ของประชากรโลกต่อช่วง) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มอายุ 25-29 ปี (604 ล้านคน) และ 30-34 ปี (601 ล้านคน) เป็นเป้าหมายหลักสำหรับการตลาด กับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ การเงิน และที่อยู่อาศัย
เมื่อพิจารณาช่วงอายุที่สูงขึ้น พบว่าการกระจายตัวของประชากรเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังอายุ 45 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนลดลงตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 65-69 ปี (295 ล้านคน) และ 70-74 ปี (237 ล้านคน) ยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพ การดูแล และการพักผ่อนโดยเฉพาะ โครงสร้างประชากรแบบฐานกว้าง (Wide Base) ในช่วงวัยเด็กถึงวัยทำงานตอนต้นนี้ ตอกย้ำว่ากลยุทธ์การตลาดควรให้ความสำคัญกับ “การสร้างแบรนด์” และ “การเข้าถึงผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล” ที่กลุ่มคนอายุน้อยใช้เป็นหลัก เพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ตั้งแต่เนิ่นๆ และเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเมื่อกลุ่มประชากรเหล่านี้ ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยที่มีกำลังซื้อสูงสุด

อายุเฉลี่ยประชากรโลกและผลกระทบต่อตลาด

กราฟแสดงอายุเฉลี่ย (Median Age) ของประชากรในประเทศต่างๆ เป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนถึงวุฒิภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของตลาดนั้นๆ โดย อายุเฉลี่ยของประชากรโลกอยู่ที่ 30.9 ปี (แสดงด้วยแท่งสีขาว) ซึ่งยืนยันว่าตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงเป็น กลุ่มวัยหนุ่มสาวถึงวัยทำงานตอนต้น ตลาดโลกจึงยังขับเคลื่อนด้วยความต้องการด้านเทคโนโลยี การเริ่มต้นชีวิต และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างตลาด โดยกลุ่มประเทศที่มี อายุเฉลี่ยสูง ซึ่งหมายถึงตลาดสูงวัย (Aged Markets) นำโดย ญี่ปุ่น (49.8 ปี) อิตาลี (48.8 ปี) และฮ่องกง (47.4 ปี) ตามมาด้วยหลายประเทศในยุโรปและเอเชียตะวันออก เช่น เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ และจีน ตลาดเหล่านี้ต้องใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้น “ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ ความมั่งคั่ง การเกษียณอายุ และความสะดวกสบาย” โดยมีกำลังซื้อสูงต่อคน แต่จำนวนผู้บริโภคใหม่จะลดลง
ในทางกลับกัน กลุ่มประเทศที่มี อายุเฉลี่ยต่ำ ซึ่งหมายถึงตลาดหนุ่มสาว (Young Markets) เป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และมีความต้องการพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มนี้พบมากในแอฟริกาและเอเชียใต้ เช่น ไนจีเรีย (18.1 ปี) เคนยา (20.0 ปี) และปากีสถาน (20.6 ปี) รวมถึง อียิปต์ (24.5 ปี) และฟิลิปปินส์ (26.1 ปี) ตลาดเหล่านี้เหมาะสำหรับกลยุทธ์ที่เน้น “การสร้างฐานผู้บริโภคใหม่ การเข้าถึงผ่านมือถือ และสินค้าในกลุ่มความต้องการขั้นพื้นฐาน” ที่มีราคาเข้าถึงง่าย ส่วน ประเทศไทย เองมีอายุเฉลี่ยค่อนข้างสูงที่ 40.1 ปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว และต้องปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคที่อายุมากขึ้น การทำความเข้าใจอายุเฉลี่ยนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญ ในการปรับข้อความทางการตลาด ช่องทางการสื่อสาร และประเภทของสินค้า ให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของตลาดเป้าหมาย

การครอบครองอุปกรณ์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ข้อมูลเกี่ยวกับการครอบครองอุปกรณ์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่า มือถือเป็นหัวใจสำคัญของการเข้าถึงดิจิทัลทั่วโลก โดยมีอัตราการครอบครองที่สูงเป็นประวัติการณ์ แทบจะเรียกได้ว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone (Any) ที่ 97.5%) และที่สำคัญ คือ สมาร์ทโฟน มีอัตราการครอบครองสูงเกือบเท่ากันที่ 97.4% ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่นักการตลาดต้องใช้กลยุทธ์ Mobile-First และให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์ แคมเปญ และแอปพลิเคชัน ให้เหมาะสมกับหน้าจอขนาดเล็ก และประสบการณ์การใช้งานบนมือถือเป็นอันดับแรก
รองลงมา คือ อุปกรณ์สำหรับการทำงานและหน้าจอขนาดใหญ่ โดย Laptop หรือ Desktop Computer ถูกครอบครองโดยประชากร 56.2% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และ Smart TV มีอัตราที่ใกล้เคียงกัน คือ 49.3% ซึ่งหมายความว่าแม้สมาร์ทโฟนจะเป็นช่องทางหลัก แต่ก็ยังมีโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มหน้าจอใหญ่ เช่น การโฆษณาผ่านวิดีโอ (Connected TV) และการทำตลาดแบบ Multi-Screen
อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์สวมใส่ เริ่มมีบทบาทมากขึ้นโดย Smart Wrist Device (Any) ถูกครอบครองโดยประชากร 33.0% และ Smartwatch โดย 27.8% สะท้อนถึงการเติบโตของตลาดสุขภาพและฟิตเนสแบบดิจิทัล ในขณะที่อุปกรณ์อื่นๆ เช่น Games Console (18.5%) Smart Home Device (17.8%) และ TV Streaming Device (17.7%) แสดงถึงกลุ่มตลาดเฉพาะที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักการตลาดสามารถใช้เป็นช่องทาง ในการสร้างประสบการณ์ที่ผสานกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้

การครอบครองอุปกรณ์ดิจิทัล

แผนภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่น่าสนใจ ในการครอบครองอุปกรณ์ดิจิทัลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโลก (อายุ 16 ปีขึ้นไป) ตามช่วงอายุ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สมาร์ทโฟนยังคงเป็นอุปกรณ์หลักในทุกกลุ่มอายุ โดยมีอัตราการครอบครองสูงมากและสม่ำเสมอในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ 97.3% ในกลุ่มอายุ 16-24 ปี ไปจนถึง 94.5% ในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการใช้กลยุทธ์ Mobile-First สำหรับทุกแคมเปญ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างจะปรากฏชัดในอุปกรณ์อื่นๆ ดังนี้
- กลุ่มวัยหนุ่มสาว (16-44 ปี)
มีแนวโน้มการครอบครองอุปกรณ์ที่เน้น การพกพาและความบันเทิง สูงกว่า โดยมีการครอบครอง Smart TV สูงถึง 53.6% ในกลุ่ม 35-44 ปี และ Smartwatch อยู่ที่ประมาณ 27-31% ในกลุ่ม 16-44 ปี รวมถึงการครอบครอง Games Console ที่สูงที่สุดในกลุ่ม 16-34 ปี - กลุ่มวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ (45 ปีขึ้นไป)
มีการครอบครอง Laptop หรือ Desktop Computer สูงขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป ที่มีอัตราสูงถึง 76.3% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มอื่นๆอย่างมาก และสูงกว่าการครอบครอง Smart TV (55.1%) ในกลุ่มเดียวกัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุและวัยใกล้เกษียณ ควรยังคงพิจารณาการใช้แพลตฟอร์มบนเดสก์ท็อป และอีเมล์เป็นช่องทางที่สำคัญ - Tablet Device
มีอัตราการครอบครองสูงสุดใน กลุ่มวัยทำงานตอนกลาง (35-44 ปี: 35.6%) และ กลุ่มผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป: 45.6%) ซึ่งเป็นช่องทางที่สำคัญสำหรับเนื้อหาที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น E-Commerce และวิดีโอ

พฤติกรรมการบริโภคสื่อ

ข้อมูลการบริโภคสื่อของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไปทั่วโลกรายสัปดาห์ชี้ชัดว่า สื่อดิจิทัลครองความเป็นผู้นำอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิดีโอออนไลน์ (Online Video (Any)) ซึ่งเป็นรูปแบบสื่อที่มีการบริโภคสูงสุดที่ 91.1% ตามมาอย่างใกล้ชิดด้วย โซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่ 88.1% และ วิดีโอออนไลน์แบบสั้น (Online Video: Short (e.g., TikToks)) ที่ 86.9% ตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำว่า การตลาดและโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยวิดีโอสั้น และแพลตฟอร์ม Social Media คือ สิ่งสำคัญที่สุดในการเข้าถึงผู้บริโภค
แม้ว่าสื่อดิจิทัลจะนำ แต่สื่อดั้งเดิมยังคงมีบทบาทสำคัญ โดย TV (Any) ยังคงมีการบริโภคสูงถึง 85.5% และ Press (Any) อยู่ที่ 81.2% ซึ่งบ่งชี้ว่ากลยุทธ์แบบผสมผสาน (Integrated Marketing) ที่ผสานทั้งสื่อดิจิทัลและดั้งเดิมยังคงจำเป็น อย่างไรก็ตาม การบริโภคสื่อดั้งเดิมส่วนใหญ่ ได้ย้ายไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว โดย Press: Online (77.2%) สูงกว่า Press: Physical (53.7%) และ TV: Streaming (69.9%) กำลังไล่ตาม TV: Linear or Broadcast (73.5%) อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ Music Streaming (75.6%) และ Video Games (Any) (72.0%) ก็เป็นรูปแบบสื่อที่ต้องให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Video Games: Mobile (67.6%) ที่มีอิทธิพลมากกว่า Console/PC (49.4%) ส่วนสื่อเสียงดิจิทัลอย่าง Podcasts (52.5%) แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค ในขณะที่พวกเขากำลังทำกิจกรรมอื่นๆ
หากสรุปโดยรวมแล้ว นักการตลาดต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับวิดีโอและ Social Media ในขณะที่สื่อดั้งเดิมต้องปรับให้เข้ากับรูปแบบดิจิทัล เพื่อประสิทธิภาพในการเข้าถึงสูงสุด

เวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการบริโภคสื่อรายสัปดาห์

ข้อมูลเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้ในการบริโภคสื่อแต่ละประเภทต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรความสนใจของผู้บริโภคอย่างชัดเจน โดย วิดีโอออนไลน์ (Online Video (Total)) เป็นกิจกรรมที่กินเวลามากที่สุด โดยเฉลี่ยสูงถึง 11 ชั่วโมง 30 นาที ต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่า TV (Total) ที่อยู่ในอันดับ 2 เล็กน้อยที่ 9 ชั่วโมง 56 นาที สิ่งนี้ยืนยันว่าการใช้เวลาของผู้บริโภคได้ย้ายจากโทรทัศน์ดั้งเดิม ไปสู่แพลตฟอร์มวิดีโอดิจิทัลแล้ว
รองลงมา คือ สื่อที่มีการโต้ตอบและการผ่อนคลาย โดย โซเชียลมีเดีย (Social Media) กินเวลาเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 6 นาที และ Video Games (Total) ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 56 นาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่เน้นย้ำถึงความสำคัญ ของการทำตลาดแบบมีส่วนร่วม (Engagement Marketing) และการโฆษณาที่ผสานเข้ากับ ประสบการณ์การเล่นเกมหรือการใช้งาน Social Media การแยกย่อยของวิดีโอออนไลน์พบว่า วิดีโอสั้น (Short (e.g., TikToks)) มีอิทธิพลสูงถึง 6 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งสูงกว่าวิดีโอขนาดยาว (Long (e.g., Vlogs)) ที่ 4 ชั่วโมง 51 นาที ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคใช้เวลาส่วนใหญ่กับเนื้อหาที่กระชับและรวดเร็ว
ส่วนสื่อดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างชัดเจน โดย TV Streaming (5 ชั่วโมง 0 นาที) ได้แซงหน้า TV Linear or Broadcast (4 ชั่วโมง 55 นาที) ไปแล้ว เช่นเดียวกับ Press: Online (2 ชั่วโมง 58 นาที) ที่สูงกว่า Press: Physical (1 ชั่วโมง 38 นาที) ข้อมูลนี้สรุปได้ว่านักการตลาดควรเน้นการลงทุนใน “วิดีโอสั้น”และ “แพลตฟอร์มโซเชียล” ที่สามารถสร้างการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในระยะเวลาที่จำกัด โดยต้องปรับการวางแผนสื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภคสื่อ จากรูปแบบดั้งเดิมไปสู่สตรีมมิ่งและออนไลน์เป็นหลัก

อุปกรณ์เชื่อมต่อทั่วโลกและบทบาทของ IoT

ข้อมูลจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อทั่วโลก เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) อย่างชัดเจน โดยแม้ว่า Mobile Phones (Any Type) จะยังคงเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อส่วนบุคคลที่สำคัญที่สุด ด้วยจำนวนมหาศาลถึง 8.62 พันล้านเครื่อง และมีสัดส่วนการเชื่อมต่อถึง 25.8% แต่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดกลับเป็นอุปกรณ์ IoT
Short-Range IoT Devices ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์สมาร์ทโฮม อุปกรณ์สวมใส่ และเซนเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี WiFi และ Bluetooth กลายเป็น กลุ่มอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีจำนวนสูงถึง 17.4 พันล้านเครื่อง และมีสัดส่วนการเชื่อมต่อเกินครึ่งที่ 52.0% ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความแพร่หลายของการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ในสภาพแวดล้อมส่วนตัวและธุรกิจ ซึ่งเป็นโอกาสมหาศาลสำหรับนักการตลาดในการสร้างประสบการณ์ ที่ผสานกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้ นอกจากนี้ Wide-Area IoT Devices (เช่น เซนเซอร์ที่ใช้เครือข่าย Cellular) ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นด้วยจำนวน 4.93 พันล้านเครื่อง หรือ 14.8% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด
ในส่วนของอุปกรณ์ดั้งเดิมอย่าง PCs, Laptops และ Tablets มีจำนวนรวม 1.73 พันล้านเครื่อง (5.2% ของการเชื่อมต่อ) ซึ่งยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงานที่ซับซ้อน ส่วน Fixed Phones ลดลงเหลือเพียง 770 ล้านเครื่อง (2.3%) ซึ่งเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การสื่อสาร แบบไร้สายและดิจิทัลโดยสมบูรณ์ สรุปได้ว่า กลยุทธ์การตลาดในปัจจุบันและอนาคต ต้องให้ความสำคัญกับการทำตลาดบนมือถือเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการพิจารณาช่องทาง และข้อมูลที่ได้รับจากเครือข่าย IoT ขนาดใหญ่ ที่กำลังครอบงำโลกของการเชื่อมต่อ

ภาพรวมการเข้าถึงและพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

ข้อมูลภาพรวมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ยืนยันว่า โลกได้กลายเป็นดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง โดยมี ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกถึง 6.04 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น 73.2% ของประชากรโลกทั้งหมด (8.25 พันล้านคน) และจำนวนผู้ใช้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ +5.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงการขยายตัวของตลาดดิจิทัล และโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคใหม่ๆ
พฤติกรรมการใช้งานเน้น Mobile-First อย่างชัดเจน โดย 96.0% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้าถึงผ่านโทรศัพท์มือถือ แม้จะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลงเล็กน้อย (-0.2% YOY) ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดมือถืออิ่มตัวแล้ว การที่ 59.6% เข้าถึงผ่าน แล็ปท็อป / เดสก์ท็อป และมีอัตราลดลงอย่างมากถึง -5.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรเวลาของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สู่การพึ่งพาอุปกรณ์พกพาเป็นหลัก ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตใช้เวลาโดยเฉลี่ย ในการบริโภคสื่อออนไลน์ 33 ชั่วโมง 27 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่มีนัยสำคัญต่อการวางแผนการทำ Content Marketing
ในด้านความเท่าเทียมทางดิจิทัล อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้ชาย (75.7%) ยังสูงกว่า ผู้หญิง (70.7%) เล็กน้อย และความแตกต่างที่สำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ โดย 86.5% ของประชากรในเขตเมืองใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่ประชากรในชนบทมีอัตราการเข้าถึงเพียง 54.5% ตัวเลขนี้มีนัยสำคัญต่อนักการตลาดว่า “การเข้าถึงกลุ่มคนเมืองนั้นง่ายและทั่วถึงเกือบสมบูรณ์” ในขณะที่การขยายตลาดไปสู่กลุ่มชนบทต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง และเน้นการสร้างความเข้าใจพื้นฐานด้านดิจิทัล

เหตุผลหลักในการใช้อินเทอร์เน็ต

ข้อมูลหลักในการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป เผยให้เห็นถึงแรงจูงใจหลักที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมดิจิทัลทั่วโลก โดยมีแรงผลักดันหลักมาจาก การแสวงหาข้อมูลและการเชื่อมต่อทางสังคม เหตุผลอันดับหนึ่ง คือ การหาข้อมูลข่าวสาร (Finding Information) (60.7%) ตามมาด้วย ติดต่อเพื่อนและครอบครัว (Staying in Touch with Friends and Family) (58.7%) และ ดูวิดีโอ / รายการทีวีโชว์ (Watching Videos, TV Shows or Movies) (54.2%) ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จ ต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานทั้งด้าน ข้อมูล / ความรู้ และ ความสัมพันธ์ / ความบันเทิง
ที่สำคัญสำหรับนักการตลาด คือ การค้นหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซื้อและการหาแรงบันดาลใจ โดย Researching Products and Brands อยู่ใน อันดับที่ 8 ด้วยสัดส่วน 44.1% ซึ่งยืนยันว่าช่องทางดิจิทัล เป็นด่านหน้าของการ ค้นคว้าข้อมูลก่อนการซื้อ (Pre-Purchase Research) ในขณะที่ การค้นหาไอเดียใหม่ๆ (Finding New Ideas or Inspiration) มีสัดส่วน 45.9% แสดงถึงโอกาสในการทำ Content Marketing ที่เน้นการให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ เช่น บทความ “How-to”
นอกจากนี้ การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข่าวสาร (Keeping Up to Date with News and Events – 52.7%) และ ความบันเทิง (Accessing and Listening to Music – 46.2% และ Filling Up Spare Time and General Browsing – 43.7%) ยังคงมีความสำคัญสูง ในขณะที่เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเฉพาะทาง เช่น การจัดการทางการเงิน (Managing Finances and Savings) (35.6%) และ การค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและสินค้าเพื่อสุขภาพ (Researching Health Issues and Healthcare Products) (34.5%) แม้จะอยู่ในอันดับล่างๆ แต่ก็มีนัยสำคัญต่อการทำตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) สรุปได้ว่า นักการตลาดควรเน้นการสร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูล มีประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจ และง่ายต่อการแบ่งปันทางสังคม เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่กำลังอยู่ในช่วงการค้นคว้าและตัดสินใจ

เหตุผลหลักในการใช้อินเทอร์เน็ตตามช่วงอายุ

ข้อมูลแรงจูงใจหลักในการใช้อินเทอร์เน็ตตามช่วงอายุ เผยให้เห็นถึงความแตกต่างของลำดับความสำคัญในแต่ละกลุ่มประชากร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย โดย
กลุ่มวัยหนุ่มสาว (16-44 ปี) เน้นสังคมและความบันเทิง แรงจูงใจหลักในกลุ่ม 16-34 ปี คือ ติดต่อเพื่อนและครอบครัว (Contact Friends & Family) (61.2% และ 57.8%) ตามมาด้วย ดูวิดีโอและรายการโชว์ (Watching Videos & Shows) (58.7% และ 56.4%) และ ค้นหาข้อมูลข่าวสาร (Find Information) การตลาดสำหรับกลุ่มนี้จึงต้องใช้แพลตฟอร์ม Social Media และ Video Content ที่สร้างสรรค์และง่ายต่อการแชร์
กลุ่มวัยทำงานตอนกลางถึงสูงอายุ (45 ปีขึ้นไป) เน้นข้อมูลและความรู้ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ลำดับความสำคัญจะเปลี่ยนไป โดย ค้นหาข้อมูลข่าวสาร (Find Information) กลายเป็นเหตุผลหลักอย่างชัดเจน ที่พุ่งสูงถึง 78.7% ในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ การติดตามข่าวสาร (Follow News & Events) ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมาก การตลาดสำหรับกลุ่มนี้จึงต้องเน้นการสร้างเนื้อหาที่เชื่อถือได้ ให้ข้อมูลเชิงลึก และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน เช่น ข้อมูลสุขภาพและการเงิน
จุดร่วมสำหรับการตลาด คือ แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่การ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ (Research Brands) เป็นแรงจูงใจที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตามช่วงอายุ โดยมีสัดส่วนจาก 42.5% ในกลุ่ม 25-34 ปี ไปสู่ 52.8% ในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป ซึ่งยืนยันว่าอินเทอร์เน็ต คือ ช่องทางหลักในการค้นคว้าข้อมูลสินค้า ก่อนการซื้อสำหรับทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มสูงอายุที่ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าก่อนตัดสินใจเป็นอย่างมาก
สรุปได้ว่า กลยุทธ์การตลาดที่ได้ผลต้องปรับข้อความและช่องทาง ให้สอดคล้องกับวุฒิภาวะทางดิจิทัล โดยใช้การมีส่วนร่วมทางสังคมเป็นประตูสู่การตลาดสำหรับคนหนุ่มสาว และใช้การให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้สูงอายุ

เวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการบริโภคสื่อออนไลน์รายสัปดาห์ในแต่ละประเทศ

จากกราฟแสดงข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับนักการตลาดระดับโลก โดยเปรียบเทียบเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไปในแต่ละประเทศ ใช้ในการบริโภคสื่อออนไลน์ต่อสัปดาห์ โดยมีแนวโน้มที่ชัดเจน คือ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกา มีการบริโภคสื่อออนไลน์สูงที่สุด ซึ่งบ่งชี้ถึงความกระหายในเนื้อหาดิจิทัล และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศที่ใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากที่สุดคือ เคนยา (63 ชั่วโมง 34 นาที) ตามมาด้วย ฟิลิปปินส์ (54 ชั่วโมง) และ เม็กซิโก (53 ชั่วโมง 41 นาที) ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่าประเทศเหล่านี้ เป็นตลาดที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการทำ Content Marketing และโฆษณาออนไลน์ที่มีความถี่สูง
ในทางตรงกันข้าม ประเทศพัฒนาแล้วที่มีสังคมสูงวัยกลับมีเวลาการบริโภคสื่อออนไลน์ต่ำที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น (15 ชั่วโมง 10 นาที) ซึ่งมีค่าต่ำที่สุดในโลก ตามมาด้วย ฮ่องกง (20 ชั่วโมง 27 นาที) และ เกาหลีใต้ (21 ชั่วโมง 3 นาที) ซึ่งสะท้อนถึงตลาดที่อิ่มตัวแล้ว มีโครงสร้างประชากรสูงวัย และมีแนวโน้มที่จะใช้เวลาในการบริโภคสื่อดั้งเดิมหรือกิจกรรมอื่นๆ มากกว่า
ส่วน ประเทศไทย อยู่ในกลุ่มกลางที่มีการบริโภคสื่อออนไลน์ที่ 34 ชั่วโมง 58 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า นักการตลาดควรใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ในประเทศที่มีการบริโภคสูง การแข่งขันด้านเนื้อหาจะสูง และจำเป็นต้องสร้างสรรค์ เพื่อดึงความสนใจของผู้บริโภค ที่ใช้เวลากับหน้าจอเป็นเวลานาน ในขณะที่ ประเทศที่มีการบริโภคต่ำ (เช่น ญี่ปุ่น) กลยุทธ์ต้องเน้นการเข้าถึงผู้บริโภคในจังหวะเวลาที่เหมาะสม (Micro-Moments) หรือใช้ช่องทางสื่อดั้งเดิม / ออฟไลน์ ควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์

เวลาเฉลี่ยในการบริโภคสื่อออนไลน์รายสัปดาห์ (ตามเพศและช่วงอายุ)

กราฟแสดงเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้ ในการบริโภคสื่อออนไลน์ต่อสัปดาห์ โดยแยกตามเพศและช่วงอายุ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความแตกต่างในการจัดสรรเวลาของกลุ่มเป้าหมายต่างๆอย่างชัดเจน แนวโน้มที่โดดเด่นที่สุด คือ กลุ่มวัยหนุ่มสาวเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาออนไลน์มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงในกลุ่มอายุ 16-24 ปี ที่ใช้เวลาเฉลี่ยสูงถึง 42 ชั่วโมง 46 นาที ต่อสัปดาห์ ตามมาด้วยผู้ชายในกลุ่มอายุเดียวกันที่ 40 ชั่วโมง ข้อมูลนี้ตอกย้ำว่าตลาดวัยรุ่นและวัยเริ่มต้นทำงาน มีความสนใจและใช้ชีวิตอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากที่สุด ทำให้เป็นโอกาสทองสำหรับการทำตลาด ที่เน้นการสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่มีความถี่สูง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุเพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ในการบริโภคสื่อออนไลน์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงอย่างมากในกลุ่ม ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้หญิงใช้เวลาเพียง 19 ชั่วโมง 7 นาที และผู้ชายใช้เวลา 18 ชั่วโมง 30 นาที ต่อสัปดาห์
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ความแตกต่างระหว่างเพศ โดย ผู้หญิงในทุกช่วงอายุตั้งแต่ 16-54 ปี ใช้เวลาออนไลน์มากกว่าผู้ชายในกลุ่มอายุเดียวกัน (ยกเว้นกลุ่ม 55-64 ปี ที่ผู้ชายใช้มากกว่าเล็กน้อย) ซึ่งมีนัยสำคัญต่อการวางแผนสื่อที่กำหนดเป้าหมายผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่ม 16-34 ปี ที่มีพฤติกรรมใช้สื่อออนไลน์ที่เข้มข้นที่สุด สรุปได้ว่า นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับการทำ Content Marketing ที่มีความถี่และหลากหลาย ในช่องทางดิจิทัลสำหรับผู้หญิงวัยหนุ่มสาว และปรับกลยุทธ์สำหรับผู้สูงอายุให้เน้นการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ ในช่วงเวลาที่สั้นลงแต่มีคุณภาพสูงกว่า

การใช้อุปกรณ์ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้อุปกรณ์แต่ละชนิดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ยืนยันว่าโลกดิจิทัลอยู่ในยุค Mobile-First อย่างสมบูรณ์ โดย โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone (Any)) ถูกใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดถึง 96.0% และ สมาร์ทโฟน (Smartphone) ตามมาอย่างใกล้ชิดที่ 93.7% ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกกลยุทธ์การตลาดและเนื้อหาออนไลน์ ต้องได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม กับการแสดงผลและประสบการณ์บนมือถือ (Mobile-Optimized) เป็นอันดับแรก
ในขณะเดียวกัน คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือเดสก์ท็อป (Laptop or Desktop (Any)) ยังคงเป็นอุปกรณ์เข้าถึงที่สำคัญในอันดับ 3 โดยมีสัดส่วน 59.6% ซึ่งหมายถึง การเข้าถึงในบริบทของการทำงานหรือการค้นคว้าที่ดูซับซ้อน แต่การบริโภคสื่อความบันเทิงขนาดใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนผ่านไปยัง Connected Television (31.6%) และ Tablet Device (28.0%) ซึ่งแสดงถึงโอกาสในการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งและเนื้อหามัลติมีเดีย
อุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านและการเชื่อมต่อเฉพาะทาง เริ่มมีบทบาทที่ชัดเจนขึ้น โดย Smart Home Device ถูกใช้โดย 17.9% และ Games Console โดย 11.4% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่า แต่ก็เป็นช่องทางที่มีการเข้าถึงเฉพาะกลุ่มและมีส่วนร่วมสูง การทำความเข้าใจการกระจายตัวของการใช้อุปกรณ์นี้ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดสรรงบประมาณ สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน การวางแผนสื่อโฆษณา และการสร้างสรรค์รูปแบบเนื้อหา ให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอและบริบทการใช้งานที่แตกต่างกัน

การใช้โทรศัพท์มือถือเข้าถึงอินเทอร์เน็ตตามเพศและช่วงอายุ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ใช้โทรศัพท์มือถือ (สมาร์ทโฟนหรือฟีเจอร์โฟน) ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แสดงให้เห็นถึง ความสม่ำเสมอในการใช้มือถือเป็นช่องทางหลักในทุกกลุ่มอายุและเพศ โดยในกลุ่มวัยหนุ่มสาว (16-44 ปี) มีอัตราการเข้าถึงที่สูงมากและสม่ำเสมอ โดยผู้หญิงในกลุ่ม 16-24 ปี, 25-34 ปี และ 35-44 ปี มีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 97.4%, 96.9% และ 97.5% ตามลำดับ ซึ่งตอกย้ำว่ากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลทั้งหมด ต้องใช้แนวคิด Mobile-First และความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านมือถือ ไม่ได้ลดลงตามอายุจนกว่าจะถึงกลุ่มผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างจะปรากฏชัดเจนในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป ที่มีอัตราการเข้าถึงผ่านมือถือลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้หญิงมีสัดส่วน 87.4% และผู้ชาย 85.9% ซึ่งยังถือเป็นอัตราที่สูงมาก แต่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพิจารณาช่องทางอื่น เช่น เดสก์ท็อป / แล็ปท็อป สำหรับการเข้าถึงกลุ่มผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ ในกลุ่มวัยอื่นๆ แม้ว่าผู้หญิงมักจะมีอัตราสูงกว่าผู้ชายเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วอัตราการเข้าถึงสูงกว่า 95% ในทุกกลุ่มอายุ 16-64 ปี
จากข้อมูลสรุปได้ว่า โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ในการเข้าถึงประชากรดิจิทัลส่วนใหญ่ของโลก และนักการตลาดสามารถมั่นใจได้ว่า แคมเปญที่เน้นการทำงานบนมือถือ จะเข้าถึงเป้าหมายได้เกือบทั้งหมดในกลุ่มผู้บริโภควัยทำงาน

การใช้คอมพิวเตอร์เข้าถึงอินเทอร์เน็ตตามประเทศ

กราฟแสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้แล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อป ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในแต่ละประเทศ เผยให้เห็นความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ และพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์อย่างชัดเจน โดยมีค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 59.6% ซึ่งหมายความว่าเกือบสามในห้าของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ยังคงใช้คอมพิวเตอร์ในการเข้าถึงออนไลน์ ประเทศในยุโรปตะวันออกและอเมริกาเหนือ แสดงอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ที่สูงที่สุด โดยนำโดย สาธารณรัฐเช็ก ที่ 85.2% ตามมาด้วย รัสเซีย (81.4%) และ แคนาดา (80.6%) ตลาดเหล่านี้เหมาะสำหรับกลยุทธ์การตลาดที่เน้นแพลตฟอร์มบนเดสก์ท็อป และเนื้อหาที่ต้องใช้หน้าจอขนาดใหญ่
ในทางกลับกัน ประเทศในแอฟริกาและเอเชียบางส่วน มีอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ต่ำที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงประชากรที่เข้าถึงดิจิทัลผ่านมือถือเท่านั้น (Mobile-Only) โดยมีอัตราต่ำสุดคือ กานา (13.8%) โมร็อกโก (16.5%), และ ไนจีเรีย (22.2%) ซึ่งนักการตลาดควรใช้กลยุทธ์ Mobile-Only ในประเทศเหล่านี้ ส่วน ประเทศไทย มีอัตราการใช้คอมพิวเตอร์อยู่ที่ 42.1% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้คอมพิวเตอร์เข้าถึงอินเทอร์เน็ตตามเพศและช่วงอายุ

กราฟแสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่ใช้ แล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อป (Laptop and Desktop Computers) ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยแยกตามเพศและช่วงอายุ เผยให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน 2 ประการ คือ การใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามอายุ และ ผู้ชายมีอัตราการใช้สูงกว่าผู้หญิงในทุกช่วงวัย
การใช้คอมพิวเตอร์โดยรวม มีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อผู้บริโภคมีอายุมากขึ้น โดยพุ่งสูงสุดใน กลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอัตราการใช้งานอยู่ที่ 84.1% สำหรับผู้ชาย และ 73.3% สำหรับผู้หญิง ตัวเลขนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ชี้ว่า ผู้สูงอายุยังคงพึ่งพาคอมพิวเตอร์เป็นหลักสำหรับกิจกรรมบางประเภท เช่น การจัดการการเงิน การค้นคว้าข้อมูลสุขภาพ) และไม่สามารถถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ใช้มือถือเพียงอย่างเดียว
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มวัยหนุ่มสาว (16-24 ปี) มีอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ต่ำที่สุด (หญิง 53.8% ชาย 57.8%) ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์มือถือเป็นหลัก ในการบริโภคสื่อและติดต่อสื่อสาร โดยสามารถสรุปได้ว่า การตลาดที่เน้นการทำงานหรือข้อมูลเชิงลึก ควรให้ความสำคัญกับช่องทางเดสก์ท็อปมากขึ้น เมื่อมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ในขณะที่การตลาดที่เน้นวัยรุ่นควรใช้กลยุทธ์ Mobile-First เป็นหลัก

ส่วนแบ่งการเข้าชมเว็บไซต์ตามอุปกรณ์

ข้อมูลส่วนแบ่งการเข้าชมเว็บไซต์ (Web Traffic) ทั่วโลก เผยให้เห็นว่า โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phones) ยังคงเป็นอุปกรณ์หลักที่สร้างการเข้าชมสูงสุด โดยคิดเป็น 59.14% ของเพจที่ให้บริการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งของมือถือกำลังลดลงเล็กน้อยที่ -4.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ในทางตรงกันข้าม แล็ปท็อปและเดสก์ท็อป (Laptop and Desktop Computers) กำลังมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคิดเป็น 39.28% ของการเข้าชมทั้งหมด และมีการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง +10.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกลับมาหรือการใช้คอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น สำหรับการทำงานที่ซับซ้อนและการบริโภคเนื้อหาบางประเภท
ส่วน แท็บเล็ต (Tablet Devices) มีส่วนแบ่งการเข้าชมที่น้อยมากเพียง 1.55% และกำลังลดลงอย่างรวดเร็วที่ -27.2% ต่อปี ในขณะที่ อุปกรณ์อื่นๆ (Other Devices) มีส่วนแบ่งเพียง 0.03% สรุปได้ว่า แม้ว่ามือถือจะยังเป็นผู้นำด้านทราฟฟิก แต่การเติบโตของเดสก์ท็อปที่สูงขึ้นเป็นสัญญาณสำคัญ ที่นักการตลาดไม่ควรละเลยในการวางกลยุทธ์ การออกแบบเว็บไซต์และการโฆษณา

ประเภทเว็บไซต์และแอปฯยอดนิยม

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่เคยเข้าชมหรือใช้เว็บไซต์ / แอปพลิเคชันประเภทต่างๆ (Websites / Apps) ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ยืนยันว่ากิจกรรมดิจิทัลของผู้บริโภคส่วนใหญ่เน้นไปที่ การสื่อสารและการค้นหาข้อมูล โดย 2 กิจกรรมยอดนิยม คือ การพูดคุย (Chat and Messaging) และ โลกโซเชียล (Social Networks) ซึ่งมีอัตราการใช้งานสูงถึง 94.1% เท่ากัน และตามมาด้วย Search Engines or Web Portals ที่ 80.3% ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีตัวตน ในช่องทางโซเชียลและการถูกค้นพบออนไลน์ การทำธุรกรรมและการสื่อสารอย่างเป็นทางการก็มีความสำคัญสูง โดย Email (75.1%) และ Shopping, Auctions, or Classifieds (74.5%) ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย
ส่วนบริการเชิงพื้นที่ เช่น Maps, Parking, or Location-based Services มีอัตราการใช้งานที่ 54.2% ขณะที่กิจกรรมด้าน การเงิน (Banking, Investing, or Insurance) (39.0%) และ การเดินทาง (Travel) (38.0%) ถูกใช้งานโดยผู้ใช้ประมาณ 30% – 40% ของทั้งหมด สรุปได้ว่า กลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จ จะต้องผสานกิจกรรมทางสังคมและการค้นหาเข้าด้วยกัน

ประเภทเว็บไซต์และแอปฯยอดนิยมที่ใช้งานตามช่วงอายุ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันประเภทต่างๆ ในช่วงเดือนที่ผ่านมาที่แยกตามช่วงอายุ เผยให้เห็นว่า กิจกรรมดิจิทัลหลักนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนตามวัย โดย
- กลุ่มอายุน้อย (16-44 ปี) มีกิจกรรมหลักที่เน้น โซเชียลและการสื่อสาร โดย Social Networks และ Chat & Messaging ครองอันดับสูงสุดอย่างสม่ำเสมอในกลุ่ม 16-34 ปี ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของแพลตฟอร์มเหล่านี้ ในการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น
- กลุ่มอายุมากขึ้น (45 ปีขึ้นไป) มีกิจกรรมหลักที่เปลี่ยนไปสู่การ ค้นหาข้อมูลและการสื่อสารที่เป็นทางการ โดยเฉพาะ กลุ่ม 65 ปีขึ้นไป ที่ Search Engines & Portals (85.9%) และ Email (85.0%) ก้าวขึ้นมาเป็น 2 อันดับแรก แซงหน้าโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งแสดงว่าช่องทางค้นหาและอีเมล์มีความน่าเชื่อถือ และเหมาะสมกว่าสำหรับการสื่อสารกับผู้สูงอายุ
โดยรวมแล้ว การช้อปปิ้งยังคงเป็นกิจกรรมที่สำคัญในทุกกลุ่มอายุ โดยอยู่ในอันดับ 4-5 ในขณะที่บริการที่เน้น ตำแหน่ง (Maps) และข่าวสาร (News) จะมีความสำคัญมากขึ้นในกลุ่มผู้ใหญ่ สรุปได้ว่า นักการตลาดต้องปรับกลยุทธ์ช่องทางการสื่อสาร ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมตามวัยอย่างละเอียด โดยเน้นการมีส่วนร่วมในโซเชียลสำหรับกลุ่มอายุน้อย และเน้น SEO / อีเมล์ และการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านข้อมูลสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ

20 อันดับเว็บไซต์ยอดนิยมตามการจัดอันดับโดย Similarweb

ข้อมูลอันดับเว็บไซต์ยอดนิยมทั่วโลก ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ตามการจัดอันดับของ Similarweb ยืนยันว่า ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาและโซเชียลมีเดีย ยังคงครองโลกดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ โดยมี Google.com นำเป็นอันดับ 1 ด้วย ยอดเข้าชมรวม (Total Visits) สูงถึง 83.3 พันล้านครั้งต่อเดือน และ YouTube.com ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดเข้าชม 29.9 พันล้านครั้ง ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำ SEO และวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง
แพลตฟอร์ม Social Media ยังคงมีอิทธิพลสูง โดย Facebook.com (อันดับ 3), Instagram.com (อันดับ 4) และ X.com (อันดับ 6) อยู่ในกลุ่มเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมรวมเกิน 4 พันล้านครั้งต่อเดือน ในขณะที่ TikTok.com (อันดับ 14) ที่มีทราฟฟิกสูงถึง 2.80 พันล้านครั้งต่อเดือน และมีความโดดเด่นในด้านเวลาเข้าชมต่อครั้ง (Average Time per Visit) ที่ค่อนข้างต่ำเพียง 4 นาที 25 วินาที
นอกจากนี้ ตารางยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ขับเคลื่อนโดย Amazon.com (อันดับ 15) และการใช้งานสำหรับมืออาชีพอย่าง LinkedIn.com (อันดับ 18) สรุปได้ว่า ผู้เล่นหลักในตลาดดิจิทัลยังคงเป็นผู้ให้บริการด้านการค้นหาและโซเชียล โดยเฉพาะ Google และ YouTube ที่มีปริมาณการเข้าชมที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

การใช้งาน Voice Assistants

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้ ผู้ช่วยสั่งการด้วยเสียง (Voice Assistants เช่น Siri, Alexa) ในแต่ละสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ในการยอมรับเทคโนโลยีนี้อย่างมากในแต่ละประเทศ โดยค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 22.8% การใช้งานสูงสุดอยู่ในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา และตะวันออกกลางบางส่วน โดย เม็กซิโก นำเป็นอันดับ 1 ที่ 35.1% ตามด้วย ตุรกี และ สหรัฐอเมริกา ที่ 29.3% เท่ากัน ซึ่งบ่งชี้ว่าการค้นหาด้วยเสียงและการโต้ตอบผ่านเสียง เป็นช่องทางดิจิทัลที่สำคัญในตลาดเหล่านี้
ในทางกลับกัน ประเทศในยุโรปตะวันออกและแอฟริกามีอัตราการใช้ต่ำที่สุด เช่น สาธารณรัฐเช็ก (7.1%) และ โมร็อกโก (7.1%) สำหรับ ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 23.1% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อย สรุปได้ว่า การทำตลาดในประเทศที่มีการใช้งาน Voice Assistant สูงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ Voice Search Optimization ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเข้าถึงลูกค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การใช้งาน Voice Assistants ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้ ผู้ช่วยสั่งการด้วยเสียง (Voice Assistants) ในแต่ละสัปดาห์ แยกตามเพศและช่วงอายุ แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในกลุ่มวัยหนุ่มสาวเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานเทคโนโลยีนี้สูงสุด โดย
- การใช้งานสูงสุดอยู่ในกลุ่มอายุ 16-24 ปี และ 25-34 ปี ที่มีอัตราการใช้งานสูงสุด โดยกลุ่ม ผู้หญิง ใน 2 ช่วงวัยนี้มีอัตราการใช้เท่ากันที่ 24.9% ซึ่งสูงกว่าผู้ชายในกลุ่มวัยเดียวกันเล็กน้อย และสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆอย่างชัดเจน
- โดยทั่วไป ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะใช้ Voice Assistant มากกว่าผู้ชายในเกือบทุกช่วงอายุ ยกเว้นกลุ่ม 55-64 ปี และ 65 ปีขึ้นไป ที่ผู้ชายมีอัตราการใช้งานสูงกว่า
- อัตราการใช้งานโดยรวมมีแนวโน้มลดลงตามอายุ โดยกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการใช้ต่ำที่สุด โดยผู้หญิงอยู่ที่ 15.8% และผู้ชายอยู่ที่ 17.6%
สรุปได้ว่า หากต้องการเข้าถึงตลาดที่พึ่งพา Voice Assistant นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับ ผู้หญิงวัยหนุ่มสาว (16-34 ปี) เป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใช้งานเทคโนโลยีนี้อย่างสม่ำเสมอที่สุด

การใช้งาน QR Codes ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้หรือสแกน QR Codes บนโทรศัพท์มือถืออย่างน้อยเดือนละครั้งยืนยันว่า เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในหลายตลาด โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกา ประเทศที่มีการใช้งานสูงสุดสามอันดับแรก คือ มาเลเซีย (67.9%) จีน (61.8%) และ บราซิล (59.7%) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั่วโลก ที่ 49.2% อย่างชัดเจน สำหรับ ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานสูงถึง 58.2% และอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ตรงกันข้ามกับประเทศที่มีการใช้งานต่ำสุด เช่น อียิปต์ (23.7%) สรุปได้ว่า QR Codes เป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างสื่อออฟไลน์และออนไลน์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย

การใช้งาน QR Codes ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่ใช้หรือสแกน QR Codes บนโทรศัพท์มือถืออย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า การใช้งาน QR Code มีความนิยมสูงในกลุ่มวัยกลางคนถึงวัยทำงานตอนต้น และการใช้งานค่อนข้างเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ดังนี้
- กลุ่มที่มีการใช้งานสูงสุด คือ ผู้หญิง ในช่วงอายุ 35-44 ปี ที่มีอัตราการใช้งาน 52.9% และ ผู้ชาย ในช่วงอายุ 35-44 ปี ที่ 52.2% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า QR Code เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการทำธุรกรรม และการเข้าถึงข้อมูลในกลุ่มวัยทำงาน
- อัตราการใช้งานโดยรวมค่อนข้างคงที่ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ 16 ปีจนถึง 54 ปี โดยมีเปอร์เซ็นต์การใช้งานอยู่ระหว่าง 48.6% ถึง 52.9% แต่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป โดยผู้หญิงมีอัตราการใช้ต่ำสุดที่ 32.7%
- ความแตกต่างระหว่างเพศค่อนข้างน้อย โดยผู้หญิงเป็นผู้นำเล็กน้อยในกลุ่มอายุน้อยถึงวัยกลางคน
สรุปได้ว่า QR Codes เป็นช่องทางการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่ายสำหรับทุกกลุ่มอายุยกเว้นผู้สูงอายุ

การค้นหาผ่านช่องทางออนไลน์ (ตุลาคม 2025)

การใช้งาน Search Engines ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้ เครื่องมือค้นหา (Search Engines) อย่างน้อยเดือนละครั้งยืนยันว่า การค้นหาข้อมูลเป็นกิจกรรมดิจิทัลที่เป็นสากล โดยมีค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) สูงถึง 80.3% โดย ประเทศที่มีการใช้งานเครื่องมือค้นหาสูงที่สุดคือ กานา (95.5%) ไนจีเรีย (94.8%) และ โครเอเชีย (94.3%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในประเทศกำลังพัฒนา มักใช้เครื่องมือค้นหาเป็นประตูหลักในการเข้าถึงข้อมูล
ประเทศหลักๆส่วนใหญ่มีอัตราการใช้งานสูงกว่า 80% เช่น สหรัฐอเมริกา (88.1%) และสหราชอาณาจักร (87.8%) โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีอัตราการใช้งานต่ำกว่า 80% เช่น ญี่ปุ่น (74.3%) อียิปต์ (72.3%) รัสเซีย (70.9%) และ จีน (61.1%) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เครื่องมือค้นหา ในประเทศที่มีแพลตฟอร์มการค้นหาในท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง หรือรูปแบบการบริโภคข้อมูลที่แตกต่างออกไป

การใช้งาน Search Engines ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้ เครื่องมือค้นหา (Search Engines) อย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า การค้นหาข้อมูลเป็นกิจกรรมที่ผู้ใช้ในทุกช่วงอายุทำอย่างสม่ำเสมอ โดยมีอัตราการใช้งานสูงกว่า 77% ในทุกกลุ่ม โดย
- กลุ่มที่มีการใช้งานสูงสุด คือ กลุ่มผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ซึ่งมีอัตราการใช้งานสูงที่สุด โดยผู้ชายอยู่ที่ 86.0% และผู้หญิงอยู่ที่ 85.8% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า “การค้นหาข้อมูล” เป็นเหตุผลหลักในการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป (78.7%)
- กลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นมีอัตราการใช้งานอยู่ในระดับ 78% ถึง 83% โดยกลุ่ม 16-24 ปี มีอัตราการใช้สูงที่สุดในกลุ่มอายุน้อยกว่า 65 ปี (ผู้หญิง 83.0% ผู้ชาย 80.0%)
- ความแตกต่างทางเพศ พบว่า มีน้อยมากในทุกช่วงอายุ แต่โดยทั่วไป ผู้หญิง มีแนวโน้มที่จะใช้ Search Engines มากกว่าผู้ชายในทุกกลุ่มอายุยกเว้นกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป
สรุปได้ว่า เครื่องมือค้นหายังคงเป็นช่องทางสำคัญที่สุด ในการเข้าถึงข้อมูลสำหรับ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกวัย และเป็นพฤติกรรมหลักที่ไม่ลดลงตามอายุ

การใช้งาน Image Recognition Tools บนมือถือในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้ เครื่องมือจดจำภาพ (Image Recognition Tools) บนโทรศัพท์มือถืออย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้มากในประเทศแถบละตินอเมริกาและเอเชีย โดยมีค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 26.2% และกลุ่มที่มี การใช้งานสูงสุด คือ บราซิล (47.2%) เม็กซิโก (46.7%) และ โคลอมเบีย (45.4%) ซึ่งเน้นย้ำถึงการเติบโตของการค้นหาด้วยภาพในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ส่วน ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 33.0% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก การใช้งานต่ำสุด ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปและแอฟริกา เช่น เบลเยียม (11.0%) และ กานา (9.1%) สรุปได้ว่า เครื่องมือจดจำภาพบนมือถือเป็นเทรนด์ดิจิทัลที่กำลังเติบโต โดยเป็นช่องทางสำคัญในการค้นหาข้อมูลสำหรับผู้บริโภคในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง

การใช้งาน Image Recognition Tools ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่ใช้ เครื่องมือจดจำภาพ (Image Recognition Tools) บนโทรศัพท์มือถืออย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า การใช้งานเทคโนโลยีนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุเพิ่มขึ้น และ ผู้หญิงมีแนวโน้มการใช้งานสูงกว่าผู้ชายในทุกช่วงวัย กลุ่มที่มีอัตราการใช้งานสูงสุด คือ ผู้หญิง ในช่วงอายุ 16-24 ปี ที่ 33.0% โดยกลุ่มอายุ 16-44 ปี มีอัตราการใช้สูงกว่า 25% ในขณะที่การใช้งานลดลงอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้สูงอายุ
การใช้งานต่ำที่สุดอยู่ในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป โดยผู้หญิงมีอัตราการใช้เพียง 11.2% และผู้ชายที่ 9.4% สรุปได้ว่า Image Recognition Tools เป็นที่นิยมและถูกนำมาใช้มากที่สุด ในกลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อย (16-34 ปี) โดยเฉพาะเพศหญิง ซึ่งนักการตลาดควรเน้นกลุ่มเป้าหมายนี้ หากต้องการใช้เทคโนโลยีการค้นหาด้วยภาพเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์

การใช้งานด้าน AI (ตุลาคม 2025)

ความตื่นตัวต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่แสดงความตื่นตัวต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) แสดงให้เห็นว่า ตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาเป็นกลุ่มที่มีความตื่นตัวต่อ AI สูงที่สุด โดยประเทศที่มีความตื่นตัวสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ไนจีเรีย (77.0%) กานา (72.5%) และ ตุรกี (72%) ในขณะที่ค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 48.7% สำหรับ ประเทศไทย มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ตื่นตัวกับ AI อยู่ที่ 48.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่มีอัตราความตื่นตัวต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะ สหราชอาณาจักร (29.7%) และ โครเอเชีย (31.1%) สรุปได้ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความหวัง และโอกาสอย่างมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งนักการตลาดควรใช้ความตื่นตัวนี้ในการนำเสนอโซลูชัน และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ความตื่นตัวต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่แสดงความตื่นตัวต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) เผยให้เห็นว่า ความตื่นตัวต่อ AI นั้นสูงสุดในกลุ่มผู้ชายอายุน้อย และลดลงอย่างมากตามอายุ โดยกลุ่มที่มีความตื่นตัวสูงสุด คือ ผู้ชาย ในช่วงอายุ 16-24 ปี ที่มีอัตราความตื่นตัวถึง 58.0% และ ผู้ชาย มีอัตราความตื่นตัวสูงกว่าผู้หญิงในทุกช่วงอายุอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุน้อยกว่า 55 ปี
อัตราความตื่นตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป แสดงความตื่นตัวต่ำที่สุดอย่างมาก โดยผู้หญิงมีอัตราเพียง 22.2% และผู้ชายที่ 34% ซึ่งเป็นกลุ่มเดียว ที่มีผู้ชายแสดงความตื่นตัวต่อ AI ต่ำกว่า 35% ส่วนช่องว่างระหว่างเพศใหญ่ที่สุดอยู่ในกลุ่ม 16-24 ปี (58.0% เทียบกับ 49.3%) และ 25-34 ปี (54.4% เทียบกับ 47.3%)
ข้อมูลสรุปได้ว่า ผู้ชายวัยหนุ่มสาวเป็นกลุ่มที่มอง AI ในแง่บวก และตื่นตัวกับเทคโนโลยีนี้มากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ AI ต่อเดือน

ข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ AI ต่อเดือน แสดงให้เห็นว่า ChatGPT ยังคงเป็นผู้นำตลาด AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) อย่างทิ้งห่าง โดยมีจำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันถึง 489 ล้านคน ตามมาด้วยคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Google Gemini ที่มีผู้เข้าชม 122 ล้านคน โดยมีจำนวนผู้เข้าชมคิดเป็นเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของ ChatGPT ส่วนเว็บไซต์ AI อื่นๆ มีจำนวนผู้เข้าชมน้อยกว่าอย่างมาก เช่น Deepseek (45.2 ล้านคน) และ Perplexity (24.8 ล้านคน) แม้แต่บริการที่ผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศขนาดใหญ่อย่าง Microsoft Copilot (19.7 ล้านคน) และ Claude (16.8 ล้านคน) ก็ยังตามหลังอย่างมาก สรุปได้ว่า ChatGPT เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ผู้บริโภคเข้าถึง และใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่กว่าคู่แข่งทั้งหมดรวมกันหลายเท่า

ส่วนแบ่งปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์จาก ChatGPT

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ AI อื่นๆ ที่ถูกอ้างอิง (Refer) มาจาก ChatGPT แสดงให้เห็นว่า ChatGPT มีอิทธิพลอย่างมากในการส่งต่อผู้ใช้ไปยังเครื่องมือ AI อื่นๆทั่วโลก ประเทศที่มีการอ้างอิงปริมาณการเข้าชมจาก ChatGPT สูงที่สุดคือ ตุรกี (94.49%) โมร็อกโก (91.99%) และ เวียดนาม (91.36%) ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ในประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ ChatGPT เป็น “ประตูแรก” ก่อนจะไปยังแพลตฟอร์ม AI อื่นๆ
แม้แต่ประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีอย่าง สหรัฐอเมริกา (78.53%) ก็ยังมีการอ้างอิงปริมาณเข้าชมจาก ChatGPT ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีตัวเลขต่ำกว่าอย่างชัดเจน เช่น รัสเซีย (52.38%) ฮ่องกง (44.74%) และ จีน (2.80%) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการใช้แพลตฟอร์ม AI ในท้องถิ่นที่โดดเด่นกว่า
สรุปได้ว่า ChatGPT เป็นศูนย์กลางการนำทาง สำหรับผู้ใช้ AI ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก และเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการเข้าถึงเครื่องมือ AI อื่นๆ

การใช้งาน ChatGPT ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ใช้ ChatGPT (ทั้งเว็บไซต์หรือแอปฯ) ในเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ChatGPT เป็นเครื่องมือ AI ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ สำหรับประเทศที่มีการใช้งานสูงสุด 3 อันดับแรก คือ เคนยา (49.6%) บราซิล (49.1%) และ อิสราเอล (49.0%) ซึ่งยืนยันว่า AI มีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงข้อมูล และการทำงานในตลาดเหล่านี้
ส่วนค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 26.5% ขณะที่ ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 23.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย ประเทศที่มีอัตราการใช้งาน ChatGPT ต่ำที่สุด ส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้วและในเอเชียตะวันออก เช่น สหราชอาณาจักร (21.8%) รัสเซีย (12.1%) ญี่ปุ่น (8%) และ จีน (6.5%)
สรุปได้ว่า ChatGPT ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการเจาะตลาดในละตินอเมริกาและแอฟริกา แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงผู้บริโภคในบางประเทศ ที่มีโครงสร้างตลาดดิจิทัลที่แตกต่างกัน

การใช้งาน ChatGPT ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้ ChatGPT อย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า ChatGPT เป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ชายวัยหนุ่มสาว และอัตราการใช้งานจะลดลงอย่างต่อเนื่องตามอายุ กลุ่มที่มีการใช้งานสูงสุด คือ ผู้ชาย ในช่วงอายุ 16-24 ปี ซึ่งมีอัตราการใช้งานสูงถึง 43.4% และ ผู้ชาย ยังคงมีอัตราการใช้งานสูงกว่าผู้หญิงในทุกช่วงอายุอย่างสม่ำเสมอ โดยมีความแตกต่างมากที่สุดในกลุ่มอายุ 16-24 ปี (43.4% เทียบกับ 41.2%)
อัตราการใช้งานลดลงอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยกลุ่มอายุ 55-64 ปี มีผู้ชายใช้เพียง 15.6% และผู้หญิง 13.0% และต่ำที่สุดในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป โดยผู้ชายอยู่ที่ 7.5% และผู้หญิงอยู่ที่ 5.8% สรุปได้ว่า ChatGPT ประสบความสำเร็จในการเข้าถึง กลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อยและใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว (Digital Natives) ซึ่งบ่งชี้ว่า มันถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำหรับคนรุ่นใหม่มากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ

หัวข้อการสนทนาที่พบบ่อยที่สุดใน ChatGPT

ข้อมูลหัวข้อการสนทนาที่เกิดขึ้นใน ChatGPT เผยให้เห็นว่า ผู้ใช้ใช้เครื่องมือ AI นี้เป็นหลัก เพื่อวัตถุประสงค์ในการ ค้นหาข้อมูลและการศึกษา / การทำงาน โดยหัวข้อที่พบบ่อยที่สุด คือ “การค้นหาข้อมูลเฉพาะเจาะจง” (Seeking Specific Information) ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดถึง 18.3% ของการสนทนาทั้งหมด รองลงมาคือการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเนื้อหา ได้แก่ “การแก้ไขหรือวิจารณ์เนื้อหาที่ผู้ใช้ให้มา” (Editing or Critiquing User-Provided Text) (10.6%) และ “การสอนหรือการเรียนรู้” (Tutoring or Teaching) (10.2%)
ส่วนหัวข้อสำคัญอื่นๆยังรวมถึง “การขอคำแนะนำแบบ How-To” (Seeking ‘How-To’ Advice) (8.5%) และ “การให้ความช่วยเหลือในการเขียนหรือการสื่อสารส่วนตัว” (Help with Personal Writing or Communication) (8.0%) สรุปได้ว่า ChatGPT ได้กลายเป็น เครื่องมือเอนกประสงค์ด้านข้อมูลและการผลิตงาน (Information and Productivity Tool) ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล การศึกษา และการแก้ไขเนื้อหาเป็นหลัก

การสื่อสารบนโลก Digital (ตุลาคม 2025)

การใช้งาน Chat และ Messenger ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้บริการ Chat และ Messenger ที่ขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ตอย่างน้อยเดือนละครั้ง ยืนยันว่า การส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีเป็นกิจกรรมดิจิทัลที่แพร่หลายที่สุดในโลก โดยประเทศส่วนใหญ่มีอัตราการใช้งานสูงมากถึงระดับ 90% ขึ้นไป และหลายประเทศกำลังพัฒนา หรือตลาดเกิดใหม่มีอัตราเกือบ 100%
ประเทศที่มีอัตราการใช้งานสูงสุดคือ กานา (99.8%) ไนจีเรีย (99.7%) และ โมร็อกโก (99.2%) ในขณะที่ ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานสูงถึง 96.7% โดยอัตราการใช้งานเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 94.1% และมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีอัตราการใช้งานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนี้อย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา (83.0%) และ ญี่ปุ่น (81.5%) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการพึ่งพาช่องทางการสื่อสารแบบดั้งเดิม หรือการใช้ Social Networks ในรูปแบบอื่นๆ
สรุปได้ว่า Chat และ Messenger เป็นกิจกรรมดิจิทัลที่สำคัญที่สุด ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คนทั่วโลก และมีอัตราการเข้าถึงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกิจกรรมดิจิทัลประเภทอื่นๆ

การใช้งาน Chat และ Messenger ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้บริการ Chat และ Messenger อย่างน้อยเดือนละครั้ง ยืนยันว่า การส่งข้อความเป็นกิจกรรมดิจิทัลที่เข้าถึงได้สูงสุดในทุกช่วงอายุและเพศ โดยมีอัตราการใช้งานสูงกว่า 90% ในทุกกลุ่มอายุที่ต่ำกว่า 65 ปี โดยการใช้งานสูงสุดอยู่ในกลุ่ม 16-24 ปี โดยผู้หญิงอยู่ที่ 96.7% และผู้ชายอยู่ที่ 96.1% และในกลุ่มอายุ 25-54 ปี อัตราการใช้งานก็ยังคงสูงมากในช่วง 93.9% ถึง 96.2%
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะใช้บริการ Chat และ Messenger มากกว่าผู้ชายในทุกช่วงอายุอย่างสม่ำเสมอ และแม้ว่าอัตราการใช้งานจะลดลงในกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยผู้หญิงใช้ที่ 81.4% และผู้ชายที่ 75% ซึ่งสูงกว่ากิจกรรมดิจิทัลอื่นๆ เช่น การใช้ Social Networks สำหรับกลุ่มอายุนี้
สรุปได้ว่า การส่งข้อความเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการใช้อินเทอร์เน็ตในระดับโลก และยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารดิจิทัลที่มีการเข้าถึงสูงที่สุด แม้ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักจะใช้เทคโนโลยีอื่นๆน้อยกว่า

การใช้งานอีเมล์ในแต่ละประเทศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่ใช้บริการอีเมล์อย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า อีเมล์ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารดิจิทัลที่สำคัญในระดับโลก โดยมีค่าเฉลี่ย ทั่วโลก (Worldwide) อยู่ที่ 75.1% กลุ่มประเทศที่มีอัตราการใช้งานอีเมล์สูงสุด คือ ประเทศในทวีปแอฟริกาและละตินอเมริกา โดยเฉพาะ ไนจีเรีย (98.1%) แอฟริกาใต้ (96.8%) และ บราซิล (95.3%)
ในทางตรงกันข้าม การใช้งานอีเมล์ค่อนข้างต่ำในประเทศแถบเอเชียตะวันออก โดยมีอัตราการใช้งานต่ำสุด คือ จีน (41.3%) ซึ่งสรุปได้ว่า อีเมล์ยังคงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ สำหรับการสื่อสารในระดับธุรกิจและระดับบุคคล สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ทั่วโลก

การใช้งานอีเมล์ตามช่วงอายุและเพศ

ข้อมูลเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้บริการอีเมล์อย่างน้อยเดือนละครั้ง แสดงให้เห็นว่า การใช้งานอีเมล์มีอัตราสูงที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งตรงกันข้ามกับเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เช่น Social Media หรือ AI โดยกลุ่มที่มีการใช้งานสูงสุด คือ กลุ่ม 65 ปีขึ้นไป โดยผู้ชายมีอัตราการใช้งานสูงถึง 85.6% และผู้หญิงที่ 84.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีเมล์ ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารดิจิทัลที่สำคัญที่สุดสำหรับคนกลุ่มนี้
อัตราการใช้งานค่อนข้างสม่ำเสมอในกลุ่มอายุ 16-64 ปี โดยอยู่ในช่วง 72.4% ถึง 77.4% โดยกลุ่ม 16-24 ปี มีอัตราการใช้งานต่ำสุดรองลงมา (77.4% ทั้งชายและหญิง) โดยรวมแล้ว ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะใช้อีเมล์มากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป
สรุปได้ว่า อีเมล์ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะช่องทางการสื่อสาร สำหรับคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พึ่งพาการสื่อสารรูปแบบอื่นๆน้อยกว่า
อ่านข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจฉบับเต็มได้ที่ https://indd.adobe.com/view/87891b94-222f-4223-b76f-dcaee9f22b8b?allowFullscreen=true&wmode=opaque
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
