Photo_of_woman_wearing_raincoat

ในภาพรวมของการตลาดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การสร้างแบรนด์ (Branding) ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2025 การบูรณาการการสร้างแบรนด์ให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาด ก็จำเป็นต้องทำในมิติที่กว้างขึ้นและให้ความสำคัญมากกว่าที่เคย เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันมองหาการเชื่อมต่อที่มีความหมาย ประสบการณ์ที่แท้จริง และการโต้ตอบที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่ากับแบรนด์ที่พวกเขาเลือกสนับสนุน ในปีนี้การสร้างแบรนด์ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างการรับรู้เท่านั้น แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจ การเสริมสร้างความภักดี และความโดดเด่นแบบเต็มระบบนิเวศของโลกดิจิทัล (Digital Ecosystem)

ในบทความนี้ผมจะมุ่งเน้นไปที่วิธีที่การสร้างแบรนด์ (Branding) ซึ่งผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มทางการตลาดในปี 2025 (Marketing Trends) ที่กำลังกำหนดอนาคตจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไปจนถึงการยอมรับในความยั่งยืน (Sustainability) แบรนด์ต่างๆจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่เหล่านี้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) เรามาดูแนวโน้มสำคัญๆของการสร้างแบรนด์ (Branding) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 และต่อจากนี้พร้อมๆกันครับ

What's next?

ความยั่งยืนคือเสาหลักของการสร้างแบรนด์

เราพูดกันถึงเรื่องของความยั่งยืนมาหลายปีแล้ว และในยุคการตลาด 5.0 (Marketing 5.0) เป็นต้นมาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผลักดันให้แบรนด์ต่างๆปรับค่านิยม (Core Values) ของตนให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) และสังคม (Society) ในปี 2025 แนวทางปฏิบัติที่โปร่งใสและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมจะเป็นหัวใจสำคัญของอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Friendly Packaging) โดยการเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ที่เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ ในการลดปริมาณการใช้คาร์บอนให้ได้มากที่สุด
  • ความโปร่งใส (Transparency) ในการจัดหา จัดซื้อ กระบวนการทำงาน และการผลิตอย่างมีจริยธรรม

เราจะเห็นหลายๆแบรนด์ที่ยังคงพัฒนาเป็นผู้นำในเรื่องของความยั่งยืนมาหลายปี ตัวอย่างเช่น

  • Patagonia ยังคงเป็นผู้นำด้วยการสนับสนุนและเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน (Environmental Activism) ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มลูกค้า สร้างความภักดีต่อแบรนด์ผ่านค่านิยมของพวกเขา
  • IKEA มุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) การจัดหาที่ยั่งยืน (Sustainable Sourcing) และวัสดุรีไซเคิล (Recycled Materials)
  • Unilever จัดลำดับความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านแผนการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน (Sustainable Living Plan)
  • Tesla กับการส่งเสริมพลังงานสะอาด (Clean Energy) และยานพาหนะที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ (Zero-Emission Vehicles)
Unilever Sustainable Living Plan

Source: Unilever Sustainable Living Plan


การเล่าเรื่องที่มีความแท้จริง

ยังคงเป็นแนวโน้มของการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่องครับ กับการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) แต่ไม่ใช่เรื่องราวปกติทั่วๆไปหรือเรื่องที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ยิ่งนานวันผู้บริโภคยิ่งโหยหาความถูกต้อง ทำให้การเล่าเรื่องอย่างแท้จริง (Authentic Storytelling) จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างแบรนด์ในปี 2025 แบรนด์ต่างๆก็ต่างนำเสนอเรื่องราวที่มีความเป็นมนุษย์ มีการนำเสนอผู้คนจริงๆ และมุ่งเน้นไปที่คุณค่ามากกว่าการขาย ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • การเน้นเรื่องราวของพนักงาน (Employee Advocacy) เช่น ชีวิตการทำงาน ความสนุกสนานในการทำงาน ความชื่นชอบ ความประทับใจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  • คอนเทนต์ในลักษณะ (User-Generated Content หรือ UGC) ที่ผู้ใช้งานหรือลูกค้าสร้างขึ้น จากความรู้สึกที่ได้ใช้งานสินค้าหรือบริการของแบรนด์แบบเต็มใจ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์กับแบรนด์ของคุณให้คนอื่นๆได้รับรู้
  • แคมเปญที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์มากขึ้น (Purpose-Driven Campaigns) โดยเน้นเป้าหมายให้ตรงกับสิ่งที่โดนใจผู้บริโภค

หลายๆแบรนด์นั้นมีการเล่าเรื่องผ่านแคมเปญต่างๆ ที่มาจากพื้นฐานของคุณค่าและค่านิยมของตัวแบรนด์ ตัวอย่างเช่น

  • Dove ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในการตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองผ่านแคมเปญ Real Beauty
  • Airbnb เน้นเรื่องราวของผู้ใช้งานจริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทาง และการเชื่อมโยงความรู้สึกกับแบรนด์
  • Nike มักจะบอกเล่าเรื่องราวอันทรงพลังเกี่ยวกับนักกีฬาที่เอาชนะความท้าทาย เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นมากกว่าการขายที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน กับตัวอย่างแคมเปญอันโด่งดังอย่าง “Just Do It” และ “You Can’t Stop Us” ที่เน้นเรื่องราวของความอุตสาหะในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
  • TOMS กับแคมเปญอันโด่งดังอย่าง “One for One” โดยเน้นย้ำว่าการซื้อทุกๆครั้งนั้น มีส่วนช่วยในการตอบแทนชุมชนผู้ด้อยโอกาสอย่างไร ที่สื่อสารผ่านวิดีโอและบล็อกโพสต์
  • Salesforce ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นในด้านการบอกเล่าเรื่องราว โดยหากนับตามจำนวนของพวกเขาเองที่มีพนักงานกว่า 65,000 คน ที่มีบัญชีผู้ใช้งานอยู่บน LinkedIn และตั้งแต่เดือนตุลาคม 2021 เป็นต้นมา พนักงานจำนวน 11,000 คนเข้าร่วมในโครงการ Social Media Ambassador Employee Program ที่สร้างให้องค์กรมีกลยุทธ์อย่างชัดเจน เกี่ยวกับวิธีการดึงดูดพนักงานด้วยคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง
employee-advocacy-examples-Salesforce

Source: https://blog.haiilo.com/blog/best-employee-advocacy-examples/


การสร้างแบรนด์โดยเน้น Community-Centric

แบรนด์ต่างๆกำลังฉีกตัวเองออกจากการตลาดแบบมวลชน (Mass) เพื่อส่งเสริมความเป็นชุมชนที่เหนียวแน่นหรือความเป็น Community-Centric โดยคำนึงถึงค่านิยม (Core Values) ที่มีร่วมกัน ด้วยการสร้างพื้นที่ที่ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการรับฟังและมีคุณค่าในตัวเอง แบรนด์สามารถสร้างให้เกิดความภักดี (Brand Loyalty) และการสนับสนุนในระยะยาวจากแนวคิดนี้ได้ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • การเปิดตัวชุมชนของแบรนด์ (Branded Community) โดยใช้แพลตฟอร์ม เช่น Discord หรือ Facebook Group ส่วนตัว เพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน
  • แคมเปญที่มาจากมวลชน (Crowdsourcing Campaigns) เพื่อให้ชุมชนของคุณมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือการทำคอนเทนต์ในแบบต่างๆ
  • การเข้าถึงแบบพิเศษ (Exclusive Access) เสนอสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ หรือมีสิทธิรู้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ล่วงหน้า และข้อมูลเจาะลึกแบบคนวงใน

มีหลากหลายแบรนด์ที่เปิดตัว Community ซึ่งเป็นทั้งรูปแบบ Facebook Group การสร้างแอปพลิเคชั่น และสร้างเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น

  • LEGO มอบสิทธิ์ให้แฟนๆออกแบบสิ่งต่างๆผ่านแพลตฟอร์มที่ชื่อ Ideas ด้วยการลองนึกภาพตัวเองเป็นนักสร้างต้นแบบของ LEGO แบ่งปันการสร้างสรรค์และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นที่อยู่อาศัยที่น่าอยู่และเปิดโหวตให้กับโมเดลที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมีทั้งการให้โจทย์ (Briefs) การท้าทาย (Challenges) และไอเดีย (Ideas) การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
LEGO_Ideas_Platform

Source: https://ideas.lego.com/

  • Doritos เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆและยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดีที่สุด ที่ใช้ประโยชน์จากการระดมคนทั่วไปเพื่อริเริ่มการโฆษณาใหม่ๆ โดยเริ่มต้นด้วย Crash the Super Bowl แคมเปญระดับตำนานที่กินเวลานานนับทศวรรษและไม่เคยสูญเสียความสนใจจากแฟนๆ โดยในช่วงตั้งแต่ปี 2006 ถึง 2016 Doritos ได้จัดการแข่งขันประจำปีสำหรับแฟนๆ เพื่อสร้างโฆษณาของตัวเองเพื่อเติมเต็มหนึ่งในสปอตซูเปอร์โบวล์ 30 วินาทีของพวกเขา จนกลายเป็นเวทีสำหรับครีเอทีฟในการสร้างชื่อเสียงในชุมชนการโฆษณาและการผลิตวิดีโอ โฆษณาเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับแบรนด์ได้อย่างดี และต่อมาแบรนด์ก็ได้เปิดตัวแคมเปญอย่าง Legion of Creators ผ่านเว็บไซต์ ที่มีการเปิดให้ผู้ที่สนใจรับ Brief เพื่อทำ Challenge สนุกๆอีกมากมาย
Doritos_legionofcreators

Source: https://legionofcreators.com/


ความเรียบง่ายในการออกแบบแบรนด์

ความเป็น Minimalist กำลังครอบงำการออกแบบของแบรนด์ โดยแบรนด์ต่างๆเลือกใช้การออกแบบอัตลักษณ์ (Identity) ที่สะอาดตา ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่เยอะ ลดความซับซ้อนลง ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • การออกแบบที่ใช้ได้กับทุกโอกาส (Responsive Design) โดยแบรนด์จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าอัตลักษณ์ต่างๆของแบรนด์ ได้ถูกปรับให้เข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆได้อย่างราบรื่น
  • การออกแบบโลโก้ใหม่ (Logo Redesign) สู่การออกแบบโลโก้ที่เรียบง่ายแต่ยังคงมีความหมายและน่าจดจำ
  • การใช้เฉดสีแบบธรรมชาติ (Neutral Color Palettes) ด้วยการใช้โทนสีที่ดูสงบและยังคงความหรูหรา

เราได้เห็นหลายแบรนด์ใหม่ๆที่มีการออกแบบอัตลักษณ์ (Identity) แบบเรียบง่ายทั้งการใช้สี ตัวหนังสือ และการใช้องค์ประกอบที่เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ และเราจะเห็นแบรนด์ใหญ่ๆในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็มีการปรับการออกแบบโลโก้ให้เรียบง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • Mastercard ลบชื่อออกจากโลโก้ในปี 2019 เหลือเพียงวงกลมสีแดงและสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ที่ทับซ้อนกัน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กล้าหาญมาก โดยใช้ประโยชน์จากการจดจำแบรนด์มานานหลายทศวรรษ การออกแบบในลักษณะนี้เน้นย้ำความมั่นใจในคุณค่าของแบรนด์ และความสามารถในการปรับตัวในตลาดโลก
evolution-of-mastercard-logo

Source: https://visualhierarchy.co/mastercard-logo-history

  • BMW เปิดตัวโลโก้ 2 มิติที่เรียบง่ายขึ้นในปี 2020 เพื่อให้สอดคล้องกับการสร้างแบรนด์ที่เน้นความเป็นดิจิทัลเป็นอันดับแรก โลโก้ยังคงใช้สีน้ำเงินและสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่นำวงกลมสีดำออกเพื่อให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น การออกแบบใหม่นี้แสดงถึงความโปร่งใสและความเป็นนวัตกรรม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของ BMW ในการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลและความยั่งยืน
BMW-Log-Evolution

Source: https://germanauto.co.uk/the-history-of-bmw-and-evolution-of-the-iconic-badge/

  • ปรัชญาที่ว่า “ไร้แบรนด์” ของ Muji นำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่ไม่มีชื่อแบรนด์ ที่ใช้งานได้จริง และไม่มีการปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น มีการออกแบบฉลากที่เรียบง่ายสำหรับอธิบายผลิตภัณฑ์ สร้างความรู้สึกถึงความบริสุทธิ์และประโยชน์ใช้สอย ที่สอดคล้องกับหลักการของ Muji ในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพง มีคุณภาพสูง และมีความยั่งยืน
Muji_Products

Source: https://www.natalieex.com/japanese-design-club/muji-is-a-branding-success-story


Hyper-Personalization ด้วย AI และ Data

Hyper-Personalization จะไม่ใช่เรื่องที่ดูหรูหราแบบเฉพาะตัวอีกต่อไป เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างแบรนด์ ในปี 2025 แบรนด์ต่างๆมีการผสมผสานการตลาด (Marketing) และใช้ประโยชน์จาก AI รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Data Analytic) เพื่อมอบประสบการณ์ที่มีความเป็นส่วนตัวในวงที่กว้างขึ้นในแบบที่ไม่ซ้ำใคร ตั้งแต่คำแนะนำผลิตภัณฑ์ไปจนถึงโมเดลการกำหนดราคาแบบปรับเปลี่ยนได้หลายแบบ (Dynamic Pricing) ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • การลงทุนในเครื่องมือ AI (AI Tools) ด้วยการปรับและนำแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analysis) มากขึ้น
  • การโต้ตอบในทันที (Real-Time Interactions) กับการใช้ Chatbots และผู้ช่วยเสมือนจริง (Virtual Assistants) เพื่อบริหารจัดการกับการโต้ตอบสื่อสารแบบส่วนบุคคล
  • คอนเทนต์ที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว (Dynamic Content) กับการใช้กลยุทธ์โฆษณาแบบไดนามิก ที่เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมและความชอบของผู้ใช้งาน

Hyper-Personalization รวมไปถึงเรื่องของ AI และ Data ก็ถือเป็นหนึ่งในแนวโน้มทางการตลาดในปี 2025 (Marketing Trends) เช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆแบรนด์ให้ความสำคัญและทำมาแล้วในช่วงหลายปี ตัวอย่างเช่น

  • Netflix ใช้อัลกอริธึมที่ซับซ้อนเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชม ความชอบ และรูปแบบการค้นหาของผู้ใช้งาน ช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถแนะนำเนื้อหาที่ตรงกับรสนิยมส่วนบุคคล ทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานแต่ละคนได้รับการปรับแต่งอย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น “ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคุณ” หรือ “Top Picks for You” ที่ปรับเปลี่ยนในแบบของคุณเอง และภาพขนาดย่อที่สร้างขึ้นอัตโนมัติ โดยอิงจากผู้ใช้งานซึ่งเป็นภาพที่น่าดึงดูดใจ
Netflix_Top_Pick_for_you

  • อัลกอริธึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Spotify จะวิเคราะห์ประวัติการฟัง เพลงที่ชอบ หรือแม้แต่ช่วงเวลาของวัน เพื่อส่งเพลย์ลิสต์แบบกำหนดเองให้คุณ ตัวอย่างเช่น เพลย์ลิสต์อย่าง “Discover Weekly” ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้งานทุกคน ซึ่งช่วยรักษาการมีส่วนร่วมด้วยการแนะนำเพลงใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับรสนิยมของพวกเขา
Spotify_Discovery_Week_Playlist

  • เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของ Nike ใช้ AI เพื่อนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบเฉพาะตัว ตั้งแต่การออกแบบรองเท้าที่ออกแบบเองได้ ไปจนถึงคำแนะนำการออกกำลังกายตามข้อมูลของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น โปรแกรม “Nike By You” ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบรองเท้าผ้าใบของตัวเอง สามารถปรับแต่งสี รูปแบบ และวัสดุตามความต้องการได้
Nike_by_you

สร้างแบรนด์ในยุคของ Virtual Influencers

Virtual Influencers หรือผู้ทรงอิทธิพลเสมือนจริงกำลังได้รับความสนใจ ในฐานะเครื่องมือสำหรับการสร้างแบรนด์ที่คุ้มค่า (ในระยะยาว) และสามารถควบคุมได้ (Controllable) ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ บุคลิกภาพที่สร้างโดย AI เหล่านี้จะนำไปใช้สร้างการส่วนร่วมกับผู้ชมบนโลกโซเชียลมีเดีย ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) โดยเฉพาะกับผู้ชมรุ่นใหม่ๆ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • สร้างตัวแทนของแบรนด์แบบเสมือนจริง (Virtual Brand Ambassador) ด้วยการออกแบบ Influencer เสมือนจริงที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ (Brand Image) และบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality)
  • ทำงานร่วมกัน (Collaboration) โดยร่วมมือกับบรรดา Virtual Influencer ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับแคมเปญการตลาดต่างๆ
  • เนื้อหาเชิงโต้ตอบ (Interactive Content) โดยใช้ AR และ VR เพื่อทำให้ Virtual Influencer เข้ามามีส่วนร่วมให้ดูสมจริงมากขึ้น

Virtual Influencers เข้ามามีบทบาทอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีการพัฒนาให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ที่ไม่ว่าแบรนด์ใหญ่ระดับโลกหรือแบรนด์ที่เป็นระดับ SMEs และ Startup ต่างก็นำมาใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ เรามาดูตัวอย่างกันครับ

  • เมื่อผู้พันแซนเดอร์ส (Colonel Sanders) กลายมาเป็น Virtual Influencer ของ KFC ด้วยการปรับโฉมผู้พันแซนเดอร์สให้เป็น Virtual Influencer ที่ทันสมัยและมีความอ่อนโยนบนช่องทาง Instagram โดยมาสคอตอันโด่งดังเวอร์ชันที่สร้างโดย AI นี้มีการแชร์โพสต์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ การอัพเดตข้อมูลของแบรนด์ และเนื้อหาที่ชวนตลกขบขัน ทำให้การแปลงโฉมมาสคอตแบบดั้งเดิมดึงดูดความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น
KFC_Virtual_Influencer

Source: https://sea.mashable.com/web-culture/3175/kfcs-virtual-influencer-colonel-is-pretty-damn-hot

  • Samsung ที่เปิดตัว Sam ผู้ช่วยเสมือนจริง (Virtual Assistant) ที่มีความร่าเริงเหมือนมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากกระแสไวรัล และแม้ว่าเดิมทีจะได้รับการออกแบบให้เป็นฝ่ายสนับสนุนลูกค้า แต่ Sam ก็พัฒนาไปเป็นตัวแทนของแบรนด์ (Brand Ambassador) สำหรับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Samsung และความนิยมของ Sam บนโซเชียลมีเดียก็ช่วยให้ Samsung เชื่อมโยงกับผู้ชมวัยรุ่นที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Samsung_Sam_Virtual_Assistant

Source: https://www.virtualhumans.org/article/who-is-samsung-sam

  • ในแคมเปญสุดแหวกแนวของ Calvin Klein ได้นำเสนอ Lil Miquela ร่วมกับคนดังอย่าง Bella Hadid (นางแบบชาวอเมริกัน) ในซีรีส์โฆษณาที่เข้มข้นเร้าใจ แคมเปญเหล่านี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริง (Reality) และความเสมือนจริง (Virtual Reality) ดูใกล้ขึ้นมากกว่าที่เคย ทำให้กลายเป็นอนาคตของอัตลักษณ์และการสร้างแบรนด์ การใช้ Virtual Influencer ของ Calvin Klein ช่วยขยายฐานและดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นชาวดิจิทัล (Digital Natives) กระตุ้นให้เกิดการสนทนาพูดคุยในเรื่องต่างๆ และยังสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่องของความเท่าเทียม (Equality) อีกด้วย
Lil Miquela in Calvin Klein Campaign

Source: https://www.harpersbazaar.com/fashion/models/a27496334/bella-hadid-lil-miquela-calvin-klein/


การบูรณาการในโลกของ Metaverse

Metaverse ยังไม่ได้หายไปไหนและยังคงเป็นเสมือนกับสนามเด็กเล่น สำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ โดยแบรนด์ต่างๆกำลังสำรวจพื้นที่เสมือนจริงเหล่านี้ (Virtual Space) สำหรับสร้างการมีส่วนร่วมและค้าขายในเชิงพาณิชย์ ที่เปลี่ยนไปสู่หน้าร้านดิจิทัลไปจนถึงการสร้างประสบการณ์แบบดื่มด่ำ (Immersive Experience) ทำให้โลก Metaverse กำลังจะกลายเป็นอีกจุดสัมผัสที่สำคัญมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ เช่น

  • โชว์รูมเสมือนจริง (Virtual Showrooms) กับการสร้างพื้นที่เสมือนจริงที่ลูกค้าสามารถสำรวจผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ โดยไม่ต้องไปดูตามโชว์รูมของจริงได้
  • สร้างประสบการณ์ใหม่ๆด้วยเกม (Gamification) กับการพัฒนาเกมหรือกิจกรรมของแบรนด์ภายในโลก Metaverse
  • เชื่อมต่อสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT Integration) ใช้ Non-Fungible Token (NFT) สำหรับโปรแกรมสะสมคะแนน หรือการลดราคาผลิตภัณฑ์แบบพิเศษ

โลกแห่ง Metaverse มีการเปิดตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยมีหลากหลายแบรนด์ ที่เข้ามาเล่นในโลกเสมือนจริงนี้ทั้งในแบบทดลองใช้งาน และบางแบรนด์ก็จริงจังกับการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา และก็ถูกนำมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง เรามาดูตัวอย่างกันครับ

  • Nike เปิดตัว NIKELAND ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงโต้ตอบ (Interative Space) ใน Roblox (แพลตฟอร์ม สำหรับนักเล่นเกม และนักพัฒนาเกม) ที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าร่วมในเกมของแบรนด์นั้นๆได้ มีการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ Nike ในแบบดิจิทัล หรือแม้แต่การซื้อสินค้าจากร้านค้าจริง ที่นำมาเชื่อมโยงกับอวตาร (Avatar) บนโลกดิจิทัลของพวกเขาก็ได้เช่กัน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นี้ผสมผสานการเล่นเกมเข้ากับการสร้างแบรนด์ ทำให้ Nike สามารถดึงดูดผู้ชมอายุน้อยและคนรุ่นใหม่ ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่บนโลกเสมือนจริง (Vritual-Reality World) ที่ส่งเสริมความเป็นชุมชน (Community) โดยกระตุ้นให้ผู้ใช้งานมีการโต้ตอบและสร้างประสบการณ์ร่วมกัน
Nikeland_Nike

Source: https://wwd.com/business-news/technology/nike-nikeland-roblox-nyc-store-metaverse-1235046570/

  • Balenciaga นำแฟชั่นมาสู่เกมออนไลน์ที่ชื่อ Fortnite ซึ่งผู้เล่นสามารถซื้อชุด Balenciaga แบบเสมือนจริงสำหรับร่างอวตาร (Avatar) ของตนได้ ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงสินค้าในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมด้วย โดยการร่วมทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Balenciaga ในการปรับความสวยงามหรูหราของแบรนด์ให้เข้ากับแพลตฟอร์มบนโลกดิจิทัล และในขณะเดียวกันก็ดึงดูดกลุ่มประชากรที่เน้นการเล่นเกมอย่าง Gen Z, Gen Alpha รวมถึงเป็นการปูทางสู่ Gen Beta ในอนาคตได้อีกด้วย
fortnite-balenciaga-outfits

Source: https://www.fortnite.com/news/high-digital-fashion-drops-into-fortnite-with-balenciaga?lang=en-US


ภาพรวมของการสร้างแบรนด์ในปี 2025 จะสร้างความมีชีวิตชีวา ความคิดสร้างสรรค์ และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้นกว่าที่เคย ธุรกิจที่ยอมรับแนวโน้มเหล่านี้ตั้งแต่การให้ความสำคัญแบบรายบุคคล ไปจนถึงการบูรณาการโลกของ Metaverse ในการทำธุรกิจ จะไม่เพียงแต่จะอยู่รอดเท่านั้นแต่จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น การเกาะติดคาดหวังของผู้บริโภคและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี จะทำให้แบรนด์ต่างๆสามารถสร้างการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน และรักษาตำแหน่งของแบรนด์ไว้ได้ในอนาคตนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

สร้าง Brand Identity ให้แข็งแกร่ง

อัตลักษณ์ของแบรนด์ นั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนจดจำเป็นอันดับแรกๆ เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาขององค์กร หรือแบรนด์นั้นๆเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่หน้าตาของโลโก้ การใช้โทนสี การเลือกใช้ตัวหนังสือ รวมไปถึง template ต่างๆ การออกแบบอัตลักษณ์ของแบรนด์นั้น ไม่ใช่อยู่ๆคิดจะออกแบบก็ออกแบบกันได้ง่ายๆนะครับ


Marketing Trends ปี 2025 กับการเปิดรับอนาคตด้วยนวัตกรรมและการสร้างสรรค์เชิงกลยุทธ์

แนวโน้มการตลาดในปี 2025 (Marketing Trends) ถูกกำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Dava-Driven) และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่เคย (Customer-Centric) และด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence (AI) และแพลตฟอร์มในเชิงโต้ตอบ (Interactive) ทำให้แบรนด์ต่างๆกำลังกำหนดนิยามใหม่ของการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคกับธุรกิจต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมแบบ Real-Time เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมและเหนือจริง


ความแท้จริงของแบรนด์ (Brand Authenticity) ประตูสู่การเป็นแบรนด์ในดวงใจ

ความแท้จริงของแบรนด์ หรือ Brand Authenticity เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืนและยังเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาด เพราะมันจะช่วยให้เกิดความเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ (Brand Trust) เมื่อแบรนด์มีความแท้จริงแล้วนัันก็จะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสรวมไปถึงการทำในสิ่งที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ง่ายๆครับ ซึ่งมันจะนำไปสู่การสนับสนุนแบรนด์ในท้ายที่สุด


Generative AI ความหวังใหม่ของนักการตลาด

รายงานผลการศึกษาฉบับล่าสุดของอะโดบีชี้ว่า แบรนด์ต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) จะเป็นคลื่นลูกใหม่ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านประสบการณ์ลูกค้า ขณะที่ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเริ่มให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลมากขึ้น นักการตลาดและผู้บริโภคต่างก็กระตือรือร้นที่จะเปิดรับเทคโนโลยี AI



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์