
แนวโน้มการตลาดในปี 2025 (Marketing Trends) ถูกกำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Dava-Driven) และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่เคย (Customer-Centric) และด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence (AI) และแพลตฟอร์มในเชิงโต้ตอบ (Interactive) ทำให้แบรนด์ต่างๆกำลังกำหนดนิยามใหม่ของการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคกับธุรกิจต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมแบบ Real-Time เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมและเหนือจริง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของความสำเร็จทางการตลาดในปี 2025 เป็นต้นไป เรามาดูคาดการณ์แนวโน้มประจำปี 2025 ในบทความนี้ไปพร้อมๆกันครับ

การโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วย AI กับขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ใหม่
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) กำลังปฏิวัติวงการโฆษณา โดยมีการใช้งานสำหรับการสร้างคอนเทนต์ที่สมจริงจนแทบจะเกินจริงไปแล้วด้วยซ้ำ บริษัทต่างๆกำลังใช้เครื่องมือ AI เพื่อพัฒนาสื่อการตลาดอย่างรวดเร็วในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าปลีกสายแฟชั่นสามารถใช้ AI เพื่อสร้างภาพเสื้อผ้าที่เหมือนจริง บนตัวของนางแบบได้หลากหลายรูปแบบ การใช้ AI มาสร้างงานโฆษณาทั้งภาพและวีดิโอ ซึ่งทำให้เกิดแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะเจาะจงตรงกลุ่มเป้าหมายที่เราเรียกว่า Personalized Marketing แบบโดนใจกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างขึ้น และแบรนด์ Coca-Cola ก็เป็นแบรนด์ที่นำ AI มาสร้างสรรค์งานโฆษณา ที่ได้สร้างแคมเปญที่เป็นนวัตกรรมโดยใช้ AI ในการสร้างทั้งโฆษณาแบบ Display Ad และ Video Ad เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
Coca-Cola – Unexpected Santa (AI-Generated Christmas Ad 2024)
Neo-Medievalism เมื่อความคิดถึงในอดีตมาพบกับการตลาดยุคใหม่
การฟื้นตัวกลับมาของธีมในยุคกลางหรือที่เรียกว่า “ยุคกลางใหม่” (Neo-Medievalism) กำลังมีอิทธิพลต่อความต้องการของผู้บริโภค เทรนด์นี้สะท้อนถึงความปรารถนาการคิดถึงเรื่องราวในอดีต เพื่อให้ออกห่างจากการเปลี่ยนวัฒนธรรมไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นศูนย์กลาง (Technology-Centric) แบรนด์ต่างๆสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้ โดยผสมผสานการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคกลาง ให้เข้ากับผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมการตลาด ตัวอย่างเช่น บริษัทเครื่องดื่มอาจเปิดตัวเครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากกลิ่นหอมหวานจากน้ำผึ้งหรือกลิ่นผลไม้แบบ Limited Edition เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่โหยหาประสบการณ์และความทรงจำในอดีต และเราจะเห็นตัวอย่างแบรนด์แฟชั่นที่เปิดรับความเป็นแฟชั่นยุคกลางบนรันเวย์ ที่ทำกิจกรรมทางการตลาดสำคัญๆโดยให้คนดังสวมชุดแบบ Chainmail Fashion ที่คล้ายกับชุดเกราะโซ่ถักของนักรบในอดีตตามงานต่างๆ โดยนอกจากการทำผลิตภัณฑ์แบบนึกย้อนถึงอดีต เราก็อาจจะเห็นแบรนด์ต่างๆทำโฆษณาหรือการสื่อสารด้วยโทนสีและน้ำเสียง ที่กลับไปหวนสู่การคิดถึงวันวานอดีตมากขึ้น

Source: https://www.lifestyleasia.com/kl/style/fashion/trend-try-medieval-period-fashion-runways-chainmail-pieces/
ความร่วมมือในการทำ Influencer Marketing
อุตสาหกรรมด้าน Influencer Marketing กำลังเผชิญกับกระแสของการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ แพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับ Influencer Marketing หลายๆเจ้าก็ถูกซื้อไปโดยเอเจนซี่ด้านการตลาด เพื่อเสริมแกร่งให้ธุรกิจและทำให้แบรนด์ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้น ซึ่งถือเป็นภาพรวมของการสร้างจุดเด่นเพื่อทำให้เอเจนซี่มีความครบวงจรมากขึ้น เช่น การที่ WPP ซื้อกิจการบริษัท Influencer Marketing Hub เพื่อรวมบริการต่างๆเข้าด้วยกัน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับแบรนด์เองก็เริ่มพัฒนาความร่วมมือกับบรรดา Influencer แบบระยะยาวแทนการจ้างงานแบบครั้งต่อครั้ง เช่น
- Sephora สร้างเครือข่าย “Sephora Squad” เพื่อทำงานร่วมกับ Influencer ในระยะยาว พร้อมให้สิทธิประโยชน์ต่างๆเพื่อดึงดูดและรักษาความสัมพันธ์กับเหล่า Influencer
- แพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Lazada และ Shopee ร่วมมือกับ Influencer ในรูปแบบไลฟ์สดเพื่อเพิ่มยอดขายแบบเรียลไทม์ และมีการจัดกิจกรรมไลฟ์ขายสินค้าร่วมกับดาราชื่อดังในแคมเปญ 11.11
- Unilever ใช้ AI วิเคราะห์ผู้ติดตามและพฤติกรรมออนไลน์ของ Influencer เพื่อให้มั่นใจว่ามีการสื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมาย

Source: https://www.sephorasquad.com/
การทำ Hyper-Personalization ผ่าน AI เพื่อประสบการณ์แบบเฉพาะตัว
ความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้โฆษณามีความเฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น บริการออนไลน์สตรีมมิ่งอย่าง Netflix ก็ใช้อัลกอริธึม AI เพื่อแนะนำคอนเทนต์ตามพฤติกรรมการรับชมของแต่ละบุคคล ที่เพิ่มการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน และในทำนองเดียวกันนั้นแพลตฟอร์ม E-Commerce สามารถให้คำแนะนำและเสนอผลิตภัณฑ์ ที่ตรงตามความต้องการหรือสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อและความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ซึ่งถือเป็นการตลาดที่น่าจับตามองมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นการยกระดับให้ลึกกว่าความเป็น Personalize ที่เน้นลงลึกไปถึงตัวตน นิสัยใจคอ ความชอบ พฤติกรรมของลูกค้ารายนั้นๆ ตัวอย่างเช่น
- Spotify ใช้การเรียนรู้ของ Machine Learning เพื่อติดตามพฤติกรรมการฟังและสร้างเพลย์ลิสต์ส่วนตัว เช่น “Discover Weekly” และ “Release Radar” ตามการตั้งค่าเพลงของผู้ใช้งาน แคมเปญ Spotify Wrapped ประจำปีที่เน้นเพลงและศิลปินที่ผู้ใช้งานเปิดเล่นมากที่สุด ที่สามารถแชร์ได้และฟังแบบส่วนตัวได้ ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการแสดงตัวตนบนโซเชียลมีเดีย
- Adidas ใช้ข้อมูลจากเครื่องติดตาม Fitness Trackers และแอปพลิเคชั่นอย่าง Runtastic เพื่อนำข้อมูลไปผลิตรองเท้าที่ปรับให้เหมาะสมนักวิ่ง รูปทรงเท้า และรูปแบบการฝึกซ้อม
- Amazon.com ใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ตามประวัติการเข้าชม การซื้อที่ผ่านมา และสินค้าในรถเข็น ซึ่งข้อมูลต่างๆสามารถนำไปทำคำแนะนำในรูปแบบต่างๆ เช่น “ลูกค้าที่ซื้อสิ่งนี้ก็ซื้อ…” (Customers who bought this also bought…) และเราจะเห็นเมนูแนะนำหรือ “Recommended for you” โดยคำแนะนำจะกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่องและต่อยอดได้แบบ Cross-Selling
รวมไปถึงการกำหนดราคาแบบปรับตามโปรไฟล์ผู้ใช้งานได้อีกด้วย

Source: https://dittomusic.com/en/blog/how-to-submit-music-to-spotify-playlists-directly
Marketing Funnel กับกลยุทธ์ Non-Linear Marketing ที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป
Marketing Funnel แบบดั้งเดิมกำลังถูกปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เพื่อสะท้อนถึงธรรมชาติของการโต้ตอบของผู้บริโภค ที่ไม่ได้เป็นแบบเส้นตรงแบบที่เราใช้อยู่ปัจจุบันกับการเดินทางลูกค้า (Customer Journey) ที่เริ่มทีละขั้นผ่านระยะต่างๆที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การรับรู้ (Awareness) ความสนใจ (Interest) การพิจารณา (Consideration) ความตั้งใจ (Intent) การซื้อ (Purchase) และความภักดี (Loyalty) การตลาดแบบ Non-Linear หรือการตลาดแบบไม่เป็นเส้นตรงที่กำลังเกิดขึ้นใหม่นั้น จะทำให้เราเห็นความสำคัญของจุดสัมผัสต่างๆ โดยมีจุดเข้าและออกหลายจุดที่ลูกค้าสามารถเข้าสู่ช่องทางได้ทุกขั้นตอน เช่น ซื้อสินค้าก่อนแล้วค่อยสำรวจเรื่องราวของแบรนด์ในภายหลัง ที่ต้องอาศัยความเข้าใจทั้ง Empathy Mapping
, Experience Mapping และ Customer Journey Mapping ตัวอย่างเช่น
- การข้ามขั้นตอน เช่น ข้ามจากการรับรู้โดยตรงไปยังการซื้อ
- การวนกลับไปกลับมาระหว่างจุดต่างๆ เช่น การพิจารณาใหม่หลังจากละทิ้งรถเข็นไปแล้ว
- มีส่วนร่วมกับหลายช่องทาง เช่น โซเชียลมีเดีย อีเมล์ รีวิว และประสบการณ์ในร้านค้าก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
- อาศัยคำแนะนำจากเพื่อนหรือผู้มีอิทธิพลมากกว่าการโฆษณา
Non-Linear Marketing สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าโต้ตอบกับแบรนด์อย่างแท้จริงอย่างไร ที่มีการกระโดดข้ามไปมาระหว่างช่องทางและขั้นตอนต่างๆ แบรนด์จะต้องดึงดูดผู้บริโภคในทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณค่า สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นระหว่างการโต้ตอบบนโลกออนไลน์และออฟไลน์ ธุรกิจต่างๆกำลังนำแนวทางการตลาดแบบไม่เป็นเส้นตรงมาใช้ (Non-Linear Marketing) โดยเป็นการดึงดูดผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย แบรนด์ต่างๆอาจสร้างแคมเปญการตลาดแบบบูรณาการร่วมกัน ซึ่งรวมถึงโพสต์บนโซเชียลมีเดียแบบเชิงโต้ตอบ ความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ และประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ เพื่อให้มั่นใจว่าการทำคอนเทนต์และการมีส่วนร่วมจะสอดคล้องกันในจุดสัมผัสต่างๆ

ดูวีดิโอปุ๊บแล้วก็ช็อปปิ้งปั้บ
ผู้ชมสามารถคลิกสินค้าหรือบริการที่ปรากฏในวิดีโอ หรือที่เรียกว่า Shoppable Videos จะยิ่งกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตมากขึ้น รูปแบบวิดีโอที่ช็อปปิ้งได้กำลังกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอย่าง Instagram และ TikTok ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ซื้อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรงจากเนื้อหาในวิดีโอนั้น และใน YouTube ก็มีปุ่มเลือกซื้อปรากฎอยู่บนวีดิโอที่สามารถกดเข้าไปดูสินค้าได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์สาย Beauty จ้าง Influencer มาทำวีดิโอรีวิวและมีลิงก์โดยตรงเพื่อให้ผู้ชมซื้อสินค้าได้ทันที ซึ่งอาจจะเป็นทั้งการซื้อสินค้าในแพลตฟอร์มนั้นเลย หรืออาจเป็นลิ้งค์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บอื่นก็ได้เช่นกัน

Source: https://novatize.com/en-ca/blog/tiktok-shop/
ใช้ Data-Driven Marketing ชี้กระบวนการตัดสินใจซื้อ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากเราจะเห็นหลายๆธุรกิจต่างใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์แง่มุมต่างๆ ซึ่งหลายๆแห่งก็ตัดสินใจลงทุนเพื่อสร้างให้เกิดวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Culture) เพื่อปรับปรุงการกระบวนการตัดสินใจซื้อและการบริหารงานภายใน และปฏิเสธไม่ได้ครับว่าเรื่องของ Data-Driven Marketing ยังคงเป็นเทรนด์ที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างแบรนด์ Amazon ที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมหาศาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งถูกนำไปใช้กับกลยุทธ์การกำหนดราคา และการจัดการสินค้าคงคลังทั้งระบบ นำไปสู่การสร้างความพึงพอใจของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในที่ดีขึ้น โดยมีลักษณะการทำงาน ดังนี้
- การใช้ข้อมูลจากประวัติการเข้าชม รายการสินค้าที่ต้องการ และประวัติการซื้อที่ผ่านมา เพื่อสร้างคำแนะนำสินค้าที่ตรงเป้าหมาย
- การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Preditive Analysis) โดยจะระบุรูปแบบ เพื่อคาดการณ์สิ่งที่ลูกค้าอาจจะซื้อต่อไป ช่วยให้สามารถจัดการสินค้าคงคลังในเชิงรุกได้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ Amazon ใช้ข้อมูลมาทำแคมเปญผ่านอีเมลส่วนบุคคลแบบ (Personalized Email) และให้คำแนะนำการซื้อสินค้า เช่น “Frequency Buy” หรือสินค้าที่คนซื้อบ่อย “Brands Related to Your Search” หรือแบรนด์ที่คล้ายกับที่คุณกำลังมองหาอยู่ “Recent Activity” หรือกิจกรรมที่คุณเพิ่งทำไปเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 35% ของยอดขายทั้งหมดเลยทีเดียว

Source: https://emailmastery.org/articles/amazons-personalized-email-marketing/
การบูรณาการ AI กับการทำ Digital Assistant เพื่อปรับปรุงการโต้ตอบกับลูกค้า
ผู้ช่วยบนโลกดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการตอบคำถามง่ายๆอีกต่อไป แต่ยังถูกพัฒนาเป็นตัวแทนเสมือนอัจฉริยะ (Smart Assistant) ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบคาดการณ์ได้ โดยแนวโน้มนี้คาดว่าจะเติบโตต่อไปเพราะเนื่องจากธุรกิจต่างๆ ก็ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นในด้านความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความสะดวกสบาย ตัวอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่
- Hyper-Personalization through AI
ขณะนี้ผู้ช่วย AI ได้รับการติดตั้ง Machine Learning (ML) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาลแบบ Real-Time ทำให้แบรนด์และธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัวสูงกับลูกค้า การแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการโดยอิงจากการค้นหา การซื้อสินค้า และพฤติกรรมก่อนหน้า ที่ช่วยคาดการณ์ความต้องการและเสนอแนะสินค้าหรือบริการก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัว เช่น Netflix และ Spotify ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างเพลย์ลิสต์และคำแนะนำแบบเฉพาะบุคคล
- Voice Commerce and Hands-Free Shopping
ผู้ช่วย AI ที่เปิดใช้งานด้วยเสียงอย่าง Alexa และ Google Assistant กำลังเปลี่ยน E-Commerce ให้เป็นการค้าขายด้วยเสียงหรือที่เราเรียกว่า Voice Commerce (V-Commerce) โดยลูกค้าสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ สั่งซื้อ และติดตามการจัดส่งได้ง่ายๆผ่านคำสั่งเสียง ทำให้การช้อปปิ้งมีการโต้ตอบได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็คือ การที่ AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและผสมผสานกับอุปกรณ์ในบ้าน ให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) การเชื่อมต่ออุปกรณ์กับผู้ช่วย AI สำหรับงานต่างๆ เช่น การจัดการรายการซื้อของ หรือการสั่งซื้อแบบอัตโนมัติ ที่สามารถสนับสนุนได้หลายภาษาเพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานทั่วโลก เช่น Walmart อนุญาตให้ลูกค้าซื้อสินค้าผ่าน Google Assistant และสั่งซื้อของได้ใหม่โดยใช้คำสั่งเสียง

- Conversational AI and Chatbots for Instant Support
Chatbot ที่ขับเคลื่อนโดย AI ที่มีการสนทนาและการแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะมีลักษณะที่เหมือนมนุษย์มากขึ้น ด้วยการมาของ Generative AI (เช่น ChatGPT) ที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บอทเหล่านี้สามารถจัดการคำถามที่ซับซ้อนและแก้ไขปัญหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่จะช่วยลดการพึ่งพามนุษย์ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ Emotion Recognition AI ที่สามารถตรวจจับอารมณ์ของลูกค้า และปรับโทนเสียงหรือการตอบสนองได้อย่างเหมาะสม การบูรณาการระหว่างแอปพลิเคชั่นในการรับส่งข้อความ (Messaging Apps) เว็บไซต์ (Website) และโซเชียลมีเดีย (Social Media) เพื่อการสนับสนุนแบบครบวงจร (Omni-Channel) เช่น Chatbot ของ Sephora ที่ให้คำปรึกษาด้านความงาม มีการทดลองแบบเสมือนจริง และการนัดหมาย เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน

Source: https://springwise.com/gamification/sephora-adopts-a-kik-bot-to-talk-prom-with-gen-z/
- AI-Powered Predictive Insights
ผู้ช่วย AI ถูกนำมาใช้มากขึ้นในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุแนวโน้ม วิเคราะห์ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังช่วยให้เกิดการให้บริการลูกค้าเชิงรุก ที่แจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การชำระเงินล้มเหลวหรือการจัดส่งล่าช้า ตัวอย่างเช่น Erica ซึ่งเป็น Vitual Financial Assistant หรือผู้ช่วยทางการเงินเสมือนจริง ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่น จาก Bank of America ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกทางการเงินและมีการแจ้งเตือนการฉ้อโกง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Source: Bank of America
- Multimodal Interfaces: Text, Voice, and Visual Integration
ผู้ช่วย AI สมัยใหม่จะมีหลายรูปแบบมากขึ้น โดยผสมผสานการประมวลผลเสียง (Voice) ข้อความ (Text) และภาพ (Visual) เข้าด้วยกัน เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำสั่งเสียงเพื่อการดำเนินการที่รวดเร็ว การส่งข้อความสำหรับคำถามและข้อสงสัยโดยละเอียด การจดจำภาพสำหรับการระบุวัตถุและเปิดใช้งาน การสร้างประสบการณ์ความเป็นจริงเสมือน (AR) ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชั่น AR ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ IKEA ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพเฟอร์นิเจอร์สำหรับการวางในบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ

Source: https://techcrunch.com/2017/09/12/ikea-place-the-retailers-first-arkit-app-creates-lifelike-pictures-of-furniture-in-your-home/
- AI-Driven Workflow Automation
ผู้ช่วย AI กำลังถูกรวมเข้ากับ Workflow ทางธุรกิจเพื่อทำให้งานซ้ำๆเป็นแบบอัตโนมัติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดกำหนดการการประชุม การแจ้งเตือนความจำ การจัดการระบบ CRM การส่งอีเมล์ การติดตามผลงาน และการทำรายงาน ตัวอย่างเช่น Slack และ Microsoft Teams ที่ใช้บอท AI เพื่อปรับปรุง Workflow และปรับปรุงการทำงานร่วมกันในทีม

Source: https://slack.com/marketplace/collection/workflows
ประสบการณ์การ Live Shopping แบบ Real-Time
การช้อปปิ้งแบบ Live จะกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม E-Commerce ด้วยการผสมผสานความบันเทิง การโต้ตอบ และการตัดสินใจซื้อในทันทีเข้าไว้ด้วยกัน กับการสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อในจุดเดียว เทรนด์นี้ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Facebook, Instagram, TikTok รวมถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิงสดแบบโดยเฉพาะ ที่ช่วยให้แบรนด์ต่างๆเข้าถึงผู้บริโภคได้แบบ Real-Time ประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบ Real-Time สิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนโลกค้าปลีกออนไลน์ ให้กลายเป็นกิจกรรมเชิงโต้ตอบที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ผสมผสานความบันเทิง และการค้าขายอย่างลงตัว แบรนด์ต่างๆอย่าง Sephora, Nike, Lazada และ Louis Vuitton ได้พิสูจน์แล้วว่าเทรนด์ลักษณะนี้ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม สร้างความไว้วางใจ และสร้างให้เกิดยอดขายได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับ Influencer Marketing เครื่องมือและเทคโนโลยีอย่าง AR, VR และ AI ตัวอย่างหลายๆแบรนด์ เช่น
- Louis Vuitton มีการแสดงแฟชั่นสุดหรูแบบออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์ม WeChat Live (จีน) โดนมีการสตรีมการแสดงสดบนรันเวย์และเบื้องหลัง ระหว่างการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ ผู้ชมสามารถซื้อสินค้าตามรายการที่แสดงในการสตรีมมิ่งได้ในทันที
- Xiaomi เปิดตัวผลิตภัณฑ์ผ่านแพลตฟอร์ม YouTube Live และ Weibo โดย Xiaomi โดยใช้การสตรีมสดสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมกันทั่วโลก มีการสาธิตคุณสมบัติ การตอบคำถาม และนำเสนอลิงก์แบบสั่งซื้อล่วงหน้าในระหว่างกิจกรรม
- L’Oréal กับการทดลองแต่งหน้าแบบเสมือนจริงด้วย AR (Virtual Makeup Try-Ons with AR) ผ่านแพลตฟอร์ม Instagram และ YouTube Live ด้วยการผสมผสานวิดีโอสาธิตแบบสดๆ กับการใช้เครื่องมืออย่าง AR (Augmented Reality) ที่ให้ผู้ชมได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์กับการแต่งหน้าแบบเสมือนจริง ผู้ชมก็สามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่านลิงก์ที่ถูกแชร์ระหว่างเซสชันนั้นๆ

Source: https://www.lorealprofessionnel.com/virtual-try-on
และโดยสรุปแล้วในปี 2025 นั้นเทรนด์ด้านการตลาดมุ่งเน้นไปที่การทำ Hyper-Personalization กับการสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะตัวในหลากหลายจุดสัมผัส ที่อบู่บนโลกแห่งนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI กับการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคแบบ Real-Time ซึ่งกำหนดรูปแบบวิธีที่แบรนด์ต่างๆในการเชื่อมต่อกับผู้คน ธุรกิจต่างๆกำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแนวโน้มเหล่านี้เน้นย้ำให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นเส้นตรงอีกต่อไป (Non-Linear) แบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะนำไปสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation Driven) สร้างการมีส่วนร่วมจากลูกค้า และสร้างการเติบโตในการแข่งขันนั่นเอง