Apple Products

Apple ก่อตั้งโดยสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) และโรนัลด์ เวนน์ (Ronald Wayne) ในปี 1976 และได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกใน Top 100 แบรนด์ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (Best Global Brand 2024) Apple ได้กลายเป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์อย่าง iPhone, iPod, MacBook และ Apple Watch โดยได้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ในด้านนวัตกรรม การออกแบบและการสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และความสามารถของแบรนด์ในการสร้างระบบนิเวศแบบครบวงจร ที่เชื่อมโยงระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ทำให้ Apple กลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี โดยปรัชญาของ Apple ก็เน้นไปคุณภาพระดับพรีเมี่ยมมีความเรียบง่าย และการใช้งานที่เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดเพื่อดึงดูดฐานลูกค้าทั่วโลก เรามาดู Case Study ตัวอย่าง Business Model Canvas (BMC) ของ Apple กันครับ

What's next?
Case-Study-ตัวอย่างการทำ-Business-Model-Canvas-BMC-ของ-Apple

1. กลุ่มลูกค้า (Customer Segments)

Apple กำหนดเป้าหมายกลุ่มที่แตกต่างกันอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดให้มากที่สุดและตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย โดย Apple ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคแบบรายบุคคล ผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆ ลูกค้าธุรกิจ และสถาบันการศึกษา

  • บุคคลทั่วๆไป (Individual Consumers)
    กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ คือ ผู้ใช้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Apple เพื่อการใช้งานส่วนตัว กลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้ชื่นชอบเทคโนโลยี และผู้ใช้ทั่วไปที่ชื่นชอบ Apple ที่ชอบในความเป็นไลฟ์สไตล์และการออกแบบ ด้วยดีไซน์เรียบหรูระดับพรีเมี่ยมที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ นอกจากนั้น Apple ยังสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและการบูรณาการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น iPhone, Apple Watch, AirPods
  • กลุ่มผู้เชี่ยวชาญตามสายอาชีพ (Professionals)
    กลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ นักพัฒนา นักออกแบบ และฟรีแลนซ์ ที่ต้องการเครื่องมือขั้นสูงในการทำงาน โดยเน้นประสิทธิภาพและความเสถียรด้วยฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูง เช่น MacBook Pro และ iMac Pro เอาไว้ใช้งานสำหรับการตัดต่อวิดีโอ งานกราฟฟิกดีไซน์ การสร้างแบบจำลอง 3 มิติ และการเขียนโค้ดด้วยโปรแกรม เช่น Final Cut Pro, Logic Pro และ Xcode
  • ธุรกิจ (Businesses)
    Apple กำหนดเป้าหมายที่องค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยนำเสนอฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการทำงานร่วมกัน ด้วยการผสานรวมกับเครื่องมือต่างๆ เช่น Microsoft Office, Slack และแอปพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจอื่นๆผ่าน App Store
  • สถาบันการศึกษา (Educational Institutions)
    โรงเรียน มหาวิทยาลัย และองค์กรการศึกษาอื่นๆ ก็ถือเป็นตัวแทนของกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของ Apple ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้แบบดิจิทัลกับอุปกรณ์ เช่น iPad พร้อมแอปพลิเคชั่นการศึกษา ที่ปรับแต่งมาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ในราคาที่เอื้อมถึงสำหรับนักศึกษาและคณาจารย์ ผ่านส่วนลดด้านการศึกษาที่สามารถผสานรวมอุปกรณ์เข้ากับแอปฯ Apple Classroom และ Schoolwork เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
Group-of-people-using-macbook-for-working

2. คุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า (Value Propositions)

Apple เน้นย้ำถึงการมอบสิทธิประโยชน์ที่มีเอกลักษณ์และน่าดึงดูดใจให้แก่ลูกค้า ที่รวมถึงเทคโนโลยีที่มีความเป็นนวัตกรรม การออกแบบและการใช้งาน การบูรณาการเชิงระบบนิเวศ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย แสดงถึงความเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสถานะต่างๆ

  • เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovative Technology)
    Apple มีชื่อเสียงในการก้าวข้ามขีดจำกัดทางนวัตกรรม โดยนำเสนอเทคโนโลยีและคุณสมบัติอันล้ำสมัยในตัวผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ชิป M1, M2, M3 และ M4 รวมถึง Apple Silicon ที่ออกแบบโดย Apple ที่มอบความเร็วและประสิทธิภาพการใช้งานที่ไม่มีใครเทียบได้ มีระบบ Face ID และ Touch ID เทคโนโลยีการตรวจสอบ Biometric การสร้างประสบการณ์ความแบบเสมือนจริง (Augmented Reality – AR) ที่ได้รับการพัฒนาบน iPad และ iPhone
  • การออกแบบและการใช้งาน (Design and Usability)
    ผลิตภัณฑ์ของ Apple ขึ้นชื่อในด้านดีไซน์ที่เรียบหรู มีความ Minimal และใช้งานง่าย ส่วนความเป็นเลิศด้านการออกแบบถือเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple เช่น จอภาพ Retina ของ MacBook ที่เป็นหน้าจอความละเอียดสูงเพื่อภาพที่สดใส การออกแบบ iPhone และ iPad ที่มีรูปทรงเพรียวบาง โครงสร้างที่ไร้รอยต่อ User Interface (UI) ที่ใช้งานง่ายสำหรับ iOS และ macOS โดยไม่ว่าใครก็ใช้งานได้ง่ายแม้แต่กับผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็ตาม
  • การเชื่อมโยงระบบนิเวศ (Ecosystem Integration)
    ระบบนิเวศของ Apple ได้เชื่อมโยงอุปกรณ์และบริการต่างๆเข้าด้วยกันอย่างราบรื่น และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถสลับระหว่างอุปกรณ์ของ Apple โดยไม่หยุดชะงัก สามารถ Sync ข้อมูลในทุกอุปกรณ์เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย มี AirDrop ที่ช่วยให้แชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
  • ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (Privacy and Security)
    Apple ถือเป็นผู้นำในด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยจัดหาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและดูกิจกรรมของพวกเขาได้ การเข้ารหัสเพื่อปกป้องการโทรและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ
  • สถานะและสัญลักษณ์ (Status & Symbol)
    ผลิตภัณฑ์ของ Apple กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา ศักดิ์ศรี และการบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม ทำให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน ตัวอย่าง iPhone รุ่น Pro ซึ่งถือเป็นรุ่นพรีเมี่ยมที่มีคุณสมบัติและการออกแบบระดับไฮเอนด์ Apple Watch Ultra กับการเป็นอุปกรณ์สำหรับสวมใส่ที่มีประสิทธิภาพสูง AirPods Max หูฟังระดับพรีเมี่ยมที่เน้นทั้งสไตล์และเรื่องของประสิทธิภาพ
Apple-Mac-Book-Pro

3. ช่องทาง (Channels)

Apple ใช้กลยุทธ์แบบหลายช่องทางเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์ เพื่อให้มั่นใจในการเข้าถึงได้ทั่วโลกและสร้างประสบการณ์ระดับพรีเมี่ยมให้กับลูกค้า ที่รวมถึง Apple Store ร้านค้าออนไลน์ ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต และผู้ค้าปลีกจากภายนอก

  • ร้านค้าปลีก (Apple Stores)
    ที่มีการสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์โดยลูกค้าสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น iPhone, iPad และ MacBooks ก่อนซื้อ และยังมี Genius Bar ที่ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค การซ่อมแซม และบริการแก้ไขปัญหา มีการฝึกอบรมให้ความรู้สำหรับลูกค้าและธุรกิจเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple
  • ร้านค้าออนไลน์ (Online Store)
    เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Apple (apple.com) ถือเป็นช่องทางหลักในการขายแบบออนไลน์ ที่มอบประสบการณ์การช็อปปิ้งอย่างราบรื่น ลูกค้าสามารถเลือกและเปรียบเทียบรุ่นของ MacBooks, iPhone, iPads และอุปกรณ์เสริมอื่นๆก่อนซื้อได้ มีตัวเลือกการจัดส่งฟรีและโปรแกรม AppleCare ที่ช่วยรับประกันความเสียหาย
  • ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรอง (Authorized Resellers)
    Apple ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองเพื่อขยายตลาด โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ไม่มี Apple Store และตัวแทนจำหน่ายเหล่านี้จะต้องมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานอันเข้มงวดของ Apple ในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และการบริการ โดยพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้แน่ใจว่าบริการนั้นมีคุณภาพสูง
  • ผู้ค้าปลีกภายนอก (Third-Party Retailers)
    Apple จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น Best Buy, Walmart, Target และ Amazon เพื่อเป็นช่องทางติดต่อลูกค้าเพิ่มเติมและเพิ่มการเข้าถึงที่กว้างขึ้น ที่มีทั้งการมอบส่วนลดและโปรโมชั่นและมักมีตัวเลือกการขายตามฤดูกาล ในการดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับงบประมาณ
Apple_Store_in_Canada

4. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships)

Apple มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการสนับสนุนเฉพาะบุคคล บริการหลังการขาย และการใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า

  • การสนับสนุนแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Support)
    Apple จัดลำดับความสำคัญของการสื่อสารกับลูกค้าโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล โดยให้การสนับสนุนอย่างราบรื่นและตอบสนองผ่านหลายช่องทาง โดยมี Apple Support ให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา ผ่านการสนับสนุนทางแชทและการนัดหมายเพื่อการซ่อมแซม การนัดหมายที่ Genius Bar ที่หน้าร้านเพื่อให้ความช่วยเหลือแบบเห็นหน้าสำหรับการแก้ปัญหาด้านเทคนิค และการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ iCare Service นอกจากนั้นยังมีการสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
  • บริการหลังการขาย (After-Sales Services)
    Apple เน้นการดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการสนับสนุนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลังจากการซื้อผลิตภัณฑ์ไปแล้ว โดยมีบริการการรับประกันและการซ่อมแซม ที่ครอบคลุมทั้งการซ่อมและการเปลี่ยนให้ใหม่ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต (Authorized Dealers) โปรแกรม Apple Trade-In ที่อนุญาตให้ลูกค้านำอุปกรณ์เก่ามาแลกเป็นส่วนลด ซึ่งส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่รับประกันความปลอดภัยและเรื่องของประสิทธิภาพ การอัพเดต iOS และ MacOS อยู่เป็นประจำ
  • แพลตฟอร์มเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement Platforms)
    Apple สร้างการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ สร้างความรู้สึกของการเป็นชุมชน (Sense of Community) และนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา มีการรวม Apple ID และ iCloud ที่ Sync ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น มีการเปิดฟอรั่มที่ผู้ใช้งานสามารถถามคำถาม แบ่งปันวิธีแก้ปัญหา และรับคำแนะนำต่างๆ
Apple_Trade_in_Program

Source: Apple.com


5. แหล่งที่มาของรายได้ (Revenue Streams)

Apple สร้างรายได้ผ่านหลากหลายช่องทางซึ่งทำให้มั่นใจได้ ถึงความหลากหลายและความยั่งยืนในรูปแบบธุรกิจ โดยแหล่งรายได้หลัก ได้แก่ การขายฮาร์ดแวร์ การบริการ การขายอุปกรณ์เสริม และการให้ใบอนุญาตและลิขสิทธิ์

  • การขายฮาร์ดแวร์ (Hardware Sales)
    แหล่งรายได้หลักของ Apple มาจากการขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ โดยผลิตภัณฑ์หลักนั้นได้แก่ iPhone ที่สร้างรายได้มากที่สุด เครื่อง Mac รุ่นต่างๆซึ่งมีทั้งแล็ปท็อปและเดสก์ท็อปสำหรับมืออาชีพ ธุรกิจ และสถาบันการศึกษา ผลิตภัณฑ์ประเภท iPad ซึ่งเป็นแท็บเล็ตสำหรับการใช้งานส่วนตัว การศึกษา และธุรกิจ Apple Watch ที่เป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ทั้งดูเวลาและเน้นด้านสุขภาพ และ AirPods หูฟังไร้สายที่ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Apple ต่างๆ
  • การบริการ (Services)
    Apple มีรายได้ประจำจากการนำเสนอบริการดิจิทัลและระบบสมัครสมาชิก ซึ่งเป็นส่วนที่ขยายออกไปนอกเหนือจากการขายฮาร์ดแวร์ เช่น App Store ที่มีรายได้จากการขายแอปฯ การสมัครสมาชิก และ In-app Purchase หรือการซื้อภายในแอปพลิเคชัน Apple Music กับแพลตฟอร์มสตรีมเพลงแบบสมัครสมาชิก Apple TV+ ที่เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีภาพยนตร์และซีรีส์ต่างๆ iCloud กับบริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์และบริการสำรองข้อมูล AppleCare+ กับการรับประกันเพิ่มเติมและบริการสนับสนุนระดับพรีเมี่ยม Fitness+ กับโปรแกรมฟิตเนสแบบสมัครสมาชิก
  • อุปกรณ์เสริม (Accessories)
    Apple มีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ที่ชาร์จ MagSafe อุปกรณ์เสริมการชาร์จแบบไร้สายสำหรับ iPhone (Wireless Charge) คีย์บอร์ด (Magic Keyboard) และเคสอัจฉริยะ (Smart Folio) สายนาฬิกาสำหรับ Apple Watch อะแดปเตอร์แปลงไฟ AirPods, Apple Pencil, Magic Mouse, AirTag และอื่นๆ
  • ใบอนุญาตและลิขสิทธิ์ (Licensing)
    Apple ได้รับค่าธรรมเนียมลิขสิทธิ์จากทรัพย์สินทางปัญญาและความร่วมมือสำคัญๆ โดยมีค่าธรรมเนียมสำหรับนักพัฒนา iOS App Store ที่เรียกเก็บค่าคอมมิชชัน 15 – 30% จากการขาย และการสมัครสมาชิก Apple Pay กับค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจากสถาบันทางการเงินและร้านค้า สำหรับการใช้แพลตฟอร์มการชำระเงิน รายได้จากสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจากการออกใบอนุญาตด้านเทคโนโลยี และการออกแบบที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Apple โปรแกรม MFi (สำหรับ iPhone / iPad) ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมจากผู้ผลิตอุปกรณ์เสริม เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ของ Apple ได้
iPhone_Accessories

Source: Apple.com


6. ทรัพยากรหลัก (Key Resources)

แหล่งทรัพยากรหลักของ Apple นับเป็นรากฐานสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม และการวางตำแหน่งของแบรนด์ในระดับพรีเมี่ยม ทรัพยากรเหล่านี้ประกอบไปด้วยทรัพย์สินทางปัญญา คุณค่าของแบรนด์ ทรัพยากรบุคคล สินทรัพย์ทางกายภาพ และทรัพยากรทางการเงิน

  • ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP)
    Apple ถือสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิ์ในการออกแบบมากมาย เพื่อปกป้องแบรนด์ในด้านนวัตกรรมและรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) เช่น เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์อย่าง Face ID จอภาพ Retina และชิป Apple Silicon เครื่องหมายการค้า เช่น โลโก้ Apple, iOS และ macOS ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่าง iOS, macOS และ watchOS สิทธิในการออกแบบผลิตภัณฑ์และมาตรฐานบรรจุภัณฑ์
  • คุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity)
    Apple เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทีมูลค่าที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งแสดงถึงความไว้วางใจ คุณภาพ สัญญลักษณ์ สถานะ และความพรีเมี่ยม ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็คือ คุณค่าที่แบรนด์มีและมอบให้กับลูกค้า จุดแข็งที่สำคัญคือการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่แข็งแกร่ง (Strong Emotional Connection) กับลูกค้าอันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะและไลฟ์สไตล์อย่างชัดเจน
  • ทรัพยากรบุคคล (Human Resources)
    พนักงานของ Apple ประกอบไปด้วยทีมวิศวกร นักออกแบบ นักการตลาด และพนักงานในร้านค้าปลีก ที่ทุ่มเทให้กับนวัตกรรมและการบริการลูกค้า มีทีม R&D ที่รวมวิศวกรและนักพัฒนาที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่เป็นที่รู้จักในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดในการสร้างแคมเปญที่น่าสนใจและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระดับโลก ทีมสนับสนุนลูกค้าที่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อการให้บริการที่ดีที่สุด
  • ทรัพย์สินทางกายภาพ (Physical Assets)
    Apple เป็นเจ้าของและดำเนินการในร้านค้าปลีก สำนักงาน พันธมิตรด้านการผลิต และศูนย์ข้อมูลต่างๆ เพื่อรองรับการดำเนินกิจการทั่วโลก โดยมีทรัพย์สินหลักๆ ได้แก่ Apple Stores กว่า 500 แห่งทั่วโลก สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น Apple Park ซึ่งเป็นที่ตั้งของทีม R&D และฝ่ายปฏิบัติการ โรงงานผลิตที่ร่วมมือกับซัพพลายเออร์อย่าง Foxconn ในการประกอบอุปกรณ์ ศูนย์ข้อมูลที่รองรับบริการต่างๆ เช่น iCloud และ Siri พร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย
  • สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Resources)
    Apple มีสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมาก รวมถึงเงินสดสำรอง แหล่งรายได้ และเงินลงทุน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ Apple มักจะติดอันดับหนึ่งในบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในโลก (Best Global Brand) ที่มีแหล่งรายได้จากการขายฮาร์ดแวร์ การบริการ ลิขสิทธิ์และการออกใบอนุญาต
Apple_M2_Ultra

Source: Apple.com


7. กิจกรรมหลัก (Key Activities)

กิจกรรมหลักของ Apple มุ่งเน้นไปที่การรักษาความได้เปรียบด้านนวัตกรรม การส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และการนำเสนอประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า กิจกรรมเหล่านี้ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการสนับสนุนลูกค้า

  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)
    Apple ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์รวมถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เราจะเห็นได้จากการออกแบบ iPhone, MacBooks, iPads และอุปกรณ์อื่นๆ การพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ iOS, macOS, watchOS และระบบปฏิบัติการอื่นๆ มีการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมในด้านต่างๆ เช่น AI, AR/VR (เช่น Vision Pro) และชิปของตัวเองอย่าง M1 – M4
  • การตลาด (Marketing)
    กลยุทธ์การตลาดของ Apple มุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้ถึงตัวแบรนด์ (Brand Awareness) การโปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และรักษาสถานะความเป็นแบรนด์ระดับพรีเมี่ยม มีหลากหลายแคมเปญระดับโลกทั้งสปอตโทรทัศน์ บิลบอร์ด ออนไลน์ และการตลาดบนโซเชียลมีเดีย และยังมีกิจกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตาม Apple Store และอีเว้นท์ต่างๆทั่วโลก
  • การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)
    Apple มีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้ทั่วโลก ซึ่งรับประกันการผลิตคุณภาพสูงและการส่งมอบตรงเวลา มีการสร้างความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ และทำงานร่วมกับผู้ผลิตอย่าง Foxconn และ Pegatron เพื่อผลิตอุปกรณ์ต่างๆ มีการควบคุมสินค้าคงคลัง การบริหารจัดการโลจิสติกส์เพื่อลดของเสีย และยังบริหารจัดการเรื่องการขนส่งรวมถึงคลังสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการทั่วโลก พร้อมกับการตรวจติดตามมาตรฐานการผลิตเพื่อรักษาคุณภาพและความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
  • การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support)
    Apple ให้การสนับสนุนลูกค้าเป็นรายบุคคล เพื่อสร้างความพึงพอใจและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว โดยมี Genius Bar ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการแก้ไขปัญหาภายในร้าน AppleCare+ กับการรับประกันเพิ่มเติมและบริการซ่อมระดับพรีเมี่ยม การสนับสนุนทางแชทและการนัดหมายโดยตรง
MacBook_Advertising

8. พันธมิตรหลัก (Key Partnerships)

ความร่วมมือที่สำคัญของ Apple นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการรักษาประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน ซอฟต์แวร์ และการนำเสนอคอนเทนต์ ความร่วมมือเหล่านี้รวมถึงพันธมิตรด้านการผลิต นักพัฒนาแอปพลิเคชั่น และผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์

  • พันธมิตรด้านการผลิต (Manufacturing Partners)
    Apple ร่วมมือกับผู้ผลิตรายภายนอก (Third-Party) เพื่อผลิตอุปกรณ์และส่วนประกอบฮาร์ดแวร์และการประกอบผลิตภัณฑ์ โดยมีพันธมิตรสำคัญๆอย่าง Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ iPhone, iPads และ MacBooks บริษัท Pegatron จัดการประกอบและการผลิตอุปกรณ์ต่างๆของ Apple บริษัท TSMC (บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน) เป็นผู้จัดหาโปรเซสเซอร์อย่าง ชิป M1 และ M2 บริษัท LG Display & Samsung ให้บริการจอแสดงผล OLED และ Retina สำหรับผลิตภัณฑ์ Apple
  • นักพัฒนาแอปพลิเคชั่น (Application Developers)
    ระบบนิเวศบน App Store ของ Apple อาศัยนักพัฒนาฯจากภายนอกหลายล้านคน เพื่อสร้างและเผยแพร่แอปฯสู่สาธารณชน มีการร่วมมือกับนักพัฒนา iOS แต่ละรายและบริษัทซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างแอปฯสำหรับแพลตฟอร์มของ Apple โดยเฉพาะ และนักพัฒนาระดับองค์กรกับสร้างแอปฯสำหรับการใช้งานทางธุรกิจ ผ่านโปรแกรมองค์กรของ Apple รวมถึงนักพัฒนาเกมที่มีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มเกมของ Apple รวมถึง Apple Arcade
  • ผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ (Content Providers)
    Apple ร่วมมือกับผู้สร้างคอนเทนต์และบริษัทสื่อ เพื่อจัดหาสื่อความบันเทิงและการศึกษาสำหรับแพลตฟอร์มของตน โดยร่วมมือกับผู้สร้างคอนเทนต์บน Apple TV+ ร่วมมือกับผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และสตูดิโอเพื่อสร้างรายการและภาพยนตร์ต้นฉบับ ทำงานร่วมกับค่ายเพลงและศิลปินเพื่อจัดทำคอนเทนต์สำหรับ Apple Music ร่วมมือกับบริษัทสื่อในการสมัครสมาชิก Apple News+ และผู้จัดพิมพ์หนังสือเพื่อจัดหา e-book และหนังสือเสียงผ่าน Apple Books
Apple_Developer

Source: Apple.com


9. โครงสร้างต้นทุน (Cost Structures)

โครงสร้างต้นทุนของ Apple สะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และการดำเนินงานระดับโลก ต้นทุนหลัก ได้แก่ ต้นทุนการผลิต การวิจัยและพัฒนา การตลาด และการดำเนินกิจการค้าปลีก

  • ต้นทุนการผลิต (Manufacturing Costs)
    Apple มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการผลิตฮาร์ดแวร์คุณภาพสูง ซึ่งรวมถึงการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์สำหรับการประกอบ ตัวอย่างวัสดุระดับพรีเมี่ยม เช่น อะลูมิเนียม แก้ว สแตนเลส และชิปขั้นสูง (เช่น โปรเซสเซอร์ M-series) ค่าใช้จ่ายให้กับพันธมิตรด้านการผลิต เช่น Foxconn และ Pegatron สำหรับการประกอบและการผลิต ต้นทุนการจัดจำหน่ายและการจัดการสินค้าคงคลังทั่วโลก การทดสอบและการตรวจสอบเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดของ Apple
  • การวิจัยและพัฒนา (R&D)
    Apple ลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการออกแบบ ตัวอย่างการสร้างอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น Vision Pro การปรับปรุงซอฟต์แวร์สำหรับ iOS, macOS และระบบปฏิบัติการอื่นๆ เทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างนวัตกรรมด้าน AI, Machine Learning, AR/VR และการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบต่างๆ
  • การตลาด (Marketing)
    ต้นทุนการตลาดของ Apple เน้นไปที่การสนับสนุนการสร้างแบรนด์ให้มีชื่อเสียงระดับโลก และการโปรโมทผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาภาพลักษณ์ระดับพรีเมี่ยม โดยมีค่าใช้จ่ายสำคัญๆ เช่น แคมเปญโฆษณา กิจกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ การสร้างคอนเทนต์ การทำวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การตลาดผ่านทางโซเชียลมีเดีย นอกจากนั้นยังสร้างความร่วมมือกับ Influencer และสร้างการตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing)
  • การดำเนินกิจการค้าปลีก (Retail Operations)
    Apple ลงทุนในร้านค้าจริงและแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่น ค่าใช้จ่ายสำคัญๆนั้นมีทั้งการออกแบบและบำรุงรักษาร้านค้า การรักษาความสวยงามและฟังก์ชันการทำงานของ Apple Store การสรรหาพนักงาน เงินเดือนสำหรับทีมขายและทีมสนับสนุนที่ Apple Retail Stores การให้ความรู้แก่พนักงานในการให้บริการและการสนับสนุนด้านเทคนิค การพัฒนาและบำรุงรักษาร้านค้าออนไลน์ และแอปพลิเคชั่นมือถือของ Apple
Apple_Vision_Pro

Source: Apple.com


Business Model Canvas (BMC) ของ Apple มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม และประสบการณ์ระดับพรีเมี่ยมผ่านการบูรณาการของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ โดยกำหนดเป้าหมายเป็นผู้บริโภคครอบคลุมแทบทุกกลุ่ม ตั้งแต่มืออาชีพในสายงานต่างๆ ลูกค้าธุรกิจ และสถาบันการศึกษา ผ่านทาง Apple Store แพลตฟอร์มออนไลน์ และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต มีหลากหลายกิจกรรมหลัก ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรด้านการผลิต นักพัฒนาแอปพลิเคชั่น และผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ ที่สร้างรายได้ในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการขายฮาร์ดแวร์ การบริการ อุปกรณ์เสริม และการออกใบอนุญาตรวมถึงลิขสิทธิ์ จนทำให้ Apple กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกหลายปีติดต่อกัน


Share to friends


Related Posts

5 เหตุผลที่ทำให้แบรนด์ Apple มีมูลค่ามากที่สุดในโลกประจำปี 2023

Apple ถือเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกมา 6 ปี ติดต่อกัน (2017 – 2023) จากการจัดอันดับโดย Interbrand โดย Apple เองก็จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี ที่นับเป็นแบรนด์ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ด้วย Tagline ที่เป็นตำนานอย่าง


Case Study: กลยุทธ์การตลาดของ Apple

Apple คือ แบรนด์สัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดแบรนด์หนึ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก่อตั้งมาตั้งแต่เมษายน ปี 1976 ที่สร้างรายได้ทั่วโลกกว่า 260,000 ล้านเหรียญ ณ ปี 2021 จากการจัดอันดับของ Forbes ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถือว่าครองอันดับหนึ่งที่มีรายได้สูงสุดในโลกมาหลายปีติดต่อกัน โดยสาเหตุที่ Apple ทำรายได้ทั่วโลกได้มหาศาลขนาดนี้นั่นก็เพราะผลิตภัณฑ์ของ Apple


Case Study: ตัวอย่างการทำ Business Model Canvas (BMC) ของ Netflix

Netflix แพลตฟอร์ม Online Streaming ความบันเทิงรูปแบบใหม่ ที่เริ่มต้นธุรกิจในปี 1997 โดย Reed Hastings และ Marc Randolph ในฐานะผู้ให้บริการเช่า DVD และในเวลาต่อมาในช่วงปี 2007 Netflix ก็ได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมบันเทิง ด้วยการนำเสนอวิดีโอสตรีมมิ่งแบบออนดีมานด์ (On-Demand Video Streaming) ด้วยความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์คอนเทนต์ ที่ตรงตามความต้องการเฉพาะแบบบุคคล และที่โด่งดังก็เห็นจะเป็นการลงทุนในผลงานต้นฉบับ (Original Content) อย่าง Stranger Things และ The Crown ที่ทำให้ Netflix กลายเป็น Online Streaming Platform ระดับโลก ด้วยการมุ่งเน้นในการให้คำแนะนำกับการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven)



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์