A_Woman_Working_in_the_Office

เมื่อกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ยินเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ คำถามแรกที่พวกเขาถามจากจิตใต้สำนึก ก็คือ “แล้วไงต่อ” และถึงแม้ว่าคุณอาจจะบอกพวกเขาว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าหากคุณไม่เชื่อมโยงสิ่งนั้นให้เข้ากับวิธีที่ผลิตภัณฑ์ของ คุณสามารถช่วยพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้ คุณก็อาจจะเสียกลุ่มเป้าหมายนั้นๆไปอย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม FAB Model จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการทำ Content Marketing ที่ทรงพลังอีกแนวนิดหนึ่ง สำหรับการเขียนคอนเทนต์เพื่อขายสินค้า (Selling) การเขียนคำโฆษณา (Advertising Copy) รวมถึงยังสามารถใช้กับการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) Link เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับ FAB Model กันในบทความนี้ครับ

FAB Model คืออะไรในการทำ Content Marketing

FAB Model ย่อมาจาก Feature (คุณสมบัติ) Advantage (ข้อดี) และ Benefit (ประโยชน์) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งในกรอบแนวคิดที่อมตะ สำหรับนักการตลาดและนักเขียนคำโฆษณา กรอบแนวคิดนี้ช่วยให้คุณก้าวข้ามการแสดงรายการ สเปค หรือสิ่งที่ผลิตภัณฑ์ของคุณ “ทำได้” ไปสู่การตอบคำถามที่สำคัญที่สุดของลูกค้า ซึ่งก็คือ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน / มันช่วยฉันได้อย่างไร” โดยเริ่มจาก

  • F – Feature (คุณสมบัติ)
    สิ่งที่สินค้าคือหรือสิ่งที่มันทำได้ เช่น กล้องความละเอียด 50 ล้านพิกเซล
  • A – Advantage (ข้อดี)
    การอธิบายว่าคุณสมบัตินั้นทำงานได้ดีกว่า หรือแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร เช่น ถ่ายภาพได้คมชัดแม้ในที่มืด
  • B – Benefit (ประโยชน์)
    ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพราะมัน คือ ผลลัพธ์ที่เป็นบวกต่อชีวิตของลูกค้า ในทางอารมณ์หรือการใช้งานจริง เช่น ไม่พลาดทุกช่วงเวลาสำคัญและได้ภาพถ่ายที่สวยงาม พร้อมแชร์ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความมืด

การใช้ FAB Model นี้จะช่วยให้คุณสร้างการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้ง และส่งมอบคุณค่าที่ลูกค้ามองหาได้อย่างแท้จริง ทำให้ข้อความของคุณเปลี่ยนจากการบอกเล่าข้อเท็จจริง ไปสู่การ “ขายความรู้สึก” และ “การแก้ปัญหา” ในที่สุด ซึ่งเหมาะสำหรับการเขียนรายละเอียดสินค้า การเขียนข้อความโฆษณา การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การสร้างหน้า Landing Pages การส่ง E-Marketing การเขียนสคริปต์ในแบบต่างๆ และยังนำไปใช้ในการนำเสนองานได้อีก

รายละเอียดของ FAB Model แต่ละส่วน

F – Feature (คุณสมบัติ)

คุณสมบัติ คือ คุณลักษณะที่แท้จริง ข้อเท็จจริง หรือองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณ เป็นเพียงการระบุว่าสิ่งนั้นคืออะไรหรือทำอะไรได้ ซึ่งเป็นข้อมูลดิบที่วัดผลได้ การกำหนดคุณสมบัตินั้นจำเป็นต้องคงความเป็นกลาง ด้วยการระบุตามข้อเท็จจริงโดยไม่มีอคติใดๆ มีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงโดยเลี่ยงคำกว้างๆ และมุ่งเน้นไปที่ส่วนประกอบและฟังก์ชั่นการทำงาน ตัวอย่างเช่น

  • รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ของเรามี “แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์”
  • สมุดวางแผนนี้มี “ระบบตั้งเป้าหมายในตัว”
  • กล้องมีความละเอียด “8K พร้อมระบบกันสั่นแบบอัตโนมัติ”

A – Advantage (ข้อดี / ความได้เปรียบ)

ข้อดี คือ คำตอบว่าคุณสมบัตินั้นช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณ “ทำอะไรได้ดีขึ้น เร็วขึ้น หรือง่ายขึ้น” มันคือสะพานที่เชื่อมระหว่างคุณสมบัติทางเทคนิค กับผลลัพธ์ในการใช้งาน ที่ต้องชี้ให้เห็นว่ามีการพัฒนาด้านประสิทธิภาพ ความเร็ว ความง่าย หรือนวัตกรรมอย่างไร และยังต้องเน้นย้ำความเหนือกว่าในทางเทคนิค หรือในทางปฏิบัติเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือวิธีเดิมๆ ตัวอย่างเช่น

  • แผ่นคาร์บอนช่วย “เพิ่มประสิทธิภาพการวิ่งได้ 12%” (ดีขึ้นในแง่ประสิทธิภาพ)
  • ระบบนี้ช่วยให้คุณ “ผูกวิสัยทัศน์ระยะยาวเข้ากับการกระทำในแต่ละวัน” ได้อย่างเป็นระบบ (ดีขึ้นในแง่ความง่ายและโครงสร้าง)
  • คุณจะได้ “Footage ที่นุ่มนวลและดูเป็นภาพยนตร์ โดยไม่ต้องใช้กิมบอลเพิ่ม” (ดีขึ้นในแง่คุณภาพและความสะดวก)

B – Benefit (ประโยชน์)

ประโยชน์ คือ คุณค่าทางอารมณ์หรือผลลัพธ์ ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ผู้ใช้จะได้รับ เป็นคำตอบว่า “แล้วฉันจะได้อะไร” ซึ่งมันเชื่อมโยงกับความปรารถนา ความสำเร็จ ความโล่งใจ หรือการแก้ปัญหาของลูกค้า โดยจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ลูกค้าจะรู้สึก เช่น สบายใจ ภูมิใจ หรือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ / ทำสำเร็จ และยังสามารถผูกประโยชน์ ให้เข้ากับความฝัน ปัญหาที่เผชิญอยู่ หรือไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น

  • “ทำให้คุณสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นและนานขึ้น แต่มีความเหนื่อยล้าที่น้อยลง” (ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ)
  • “ทำให้คุณมีแรงบันดาลใจอยู่เสมอ และสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริง” (บรรลุความปรารถนา)
  • “แม้แต่มือสมัครเล่นก็สามารถถ่ายวิดีโอท่องเที่ยวระดับมืออาชีพได้” (ได้สถานะหรือคุณภาพที่ต้องการ)

ตัวอย่างการใช้ FAB Model ในการสร้างคอนเทนต์

Example #1 – ขวดน้ำอัจฉริยะ

  • F – Feature: ขวดน้ำที่มีไฟ LED แบบ Built-in เตือนการดื่มน้ำในตัว
  • A – Advantage: แจ้งเตือนคุณเมื่อถึงเวลาต้องดื่มน้ำตลอดทั้งวัน
  • B – Benefit: ทำให้คุณมีพลังงาน มีสมาธิ และสุขภาพดี โดยที่คุณไม่ต้องคิดหรือพยายามจดจำด้วยตัวเอง
Smart_Water_Bottle

Example #2 – คอร์สออนไลน์กับการสอน Social Media Strategy

  • F – Feature: มีการนำเสนอ Template ปฏิทินการทำคอนเทนต์ (Content Calendar Templates) สำหรับ 12 เดือน
  • A – Advantage: คุณไม่ต้องเสียเวลาสร้างแผนของคุณตั้งแต่เริ่มต้น
  • B – Benefit: ประหยัดเวลาได้หลายชั่วโมง และโพสต์ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ในสัปดาห์ที่ยุ่งวุ่นวาย
Example_of_Website_Landing_Page

Example #3 – เซรั่มบำรุงผิว

  • F – Feature: มีส่วนผสมของ Niacinamide 10% และ Hyaluronic Acid
  • A – Advantage: ลดรอยแดงและเติมความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก
  • B – Benefit: ผิวของคุณจะดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นในเวลาเพียง 7 วัน
Skincare_Serum_Bottle

Share to friends


Related Posts

เขียนคอนเทนต์ให้ชัดเจนและดึงดูดใจด้วย 4P Copywriting Formula

ในการเขียนคอนเทนต์และคำโฆษณา การสรา้งความชัดเจน นั้นคือ “พลัง” ส่วนการโน้มน้าวใจ คือ “กระบวนการ” ในการส่งมอบเนื้อหาที่เหมาสมและเป็นประโยชน์ และมันก็มีอีกสูตรการเขียนคอนเทนต์แบบง่ายๆที่น่าสนใจ ที่เรียกกันว่า 4P Copywriting Formula ที่สามารถช่วยนำทางผู้ฟังและผู้อ่านของคุณ ให้ก้าวไปทีละขั้นตอนตลอดเส้นทางการตัดสินใจซื้อ ทั้งในด้านอารมณ์ (Emotional) และเหตุผล (Rational) ไม่ว่าคุณจะใช้กับขายสินค้า บริการ หรือแม้แต่การออกแบบความคิดในเรื่องต่างๆ


คิดคอนเทนต์แบบแก้ปัญหาที่แท้จริงด้วย Job-To-Be-Done (JTBD) Content Model

หนึ่งในความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของการทำ Content Marketing ก็คือ การสร้างเนื้อหาตามสิ่งที่เราอยากจะพูด แทนที่จะสร้างเนื้อหาตามสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของเราต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ในการทำคอนเทนต์ และมักจะทำให้ผลลัพธ์นั้นไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และมันก็มีอยู่อีกหนึ่ง Content Marketing Model ที่เรียกว่า Job-To-Be-Done (JTBD) ที่น่าสนใจมากรูปแบบหนึ่ง ในการนำมาคิดคอนเทนต์ที่สามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้


คิดคอนเทนต์แบบมีกลยุทธ์ด้วย Content Pillars Framework

หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการสร้างสรรค์คอนเทนต์ เป็นงานที่ต้องทำไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดสิ้นสุด ทำไปทำมาแล้วดูไม่สอดคล้องดูหลุดความเป็นตัวตน จนทำให้คอนเทนต์ที่สื่อสารออกไป ขาดทั้งจุดยืน ขาดทั้งแนวทาง และขาดทั้งความเชื่อมโยง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นคอนเทนต์ที่ทรงพลังต้องมาจากรากฐานที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยแนวทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และด้วยการนำ Content Pillars Framework มาช่วย



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์