
โลโก้ของ Apple เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ได้รับการจดจำมากที่สุดในโลก ที่ไม่เพียงแต่เป็นโลโก้ของแบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรม การออกแบบที่เรียบง่าย และความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด การเปลี่ยนแปลงโลโก้ของ Apple สะท้อนถึงแนวคิดของแบรนด์ในแต่ละยุค ตั้งแต่โลโก้ที่ซับซ้อนและมีความหมายลึกซึ้ง ไปจนถึงโลโก้ที่เรียบง่ายและโดดเด่นซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
ปี 1976 (โลโก้แรกของ Apple)

โลโก้แรกถูกออกแบบโดยหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ที่ชื่อ Ronald Wayne ที่เป็นภาพวาดขาวดำของ Sir Isaac Newton ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นแอปเปิ้ล โดยมีผลแอปเปิ้ลแขวนอยู่เหนือศีรษะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “แรงโน้มถ่วง” บริเวณรอบๆมีแถบผ้าพันเอาไว้ที่มีคำว่า “Apple Computer Co.” โลโก้นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ Sir Isaac Newton และการค้นพบแรงโน้มถ่วงจากแอปเปิ้ลที่ตกลงมา เป็นการสื่อถึง “แนวคิดของการค้นพบ ความฉลาด และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์” ที่แสดงให้เห็นว่า Apple ต้องการเป็นบริษัทแห่ง “นวัตกรรมและความรู้” โดยหลายๆคนก็มักจะเรียกว่า “Apple Newton Logo”
ปี 1977 -1998 (โลโก้ Apple สีรุ้ง)

จากโลโก้แรกที่ถูกใช้แค่ปีเดียวก็จำเป็นต้องออกแบบใหม่ เพราะว่าโลโก้เดิมนั้นมีรายละเอียดมากเกินไป และตีความหมายได้ยากที่ไม่เหมาะกับการโฆษณา โดยในปี 1977 Rob Janoff ก็คือ ผู้ออกแบบโลโก้ Apple ตัวใหม่ ที่อาจจะดูแปลกตาไปค่อนข้างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโลโก้ที่ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันที่คนจดจำได้เป็นอย่างดี Rob Janoff ได้เปลี่ยนโลโก้เป็นรูปแอปเปิ้ลที่ถูกกัด โดยใช้แถบสีรุ้ง 6 สี ไล่จากเขียว เหลือง ส้ม แดง ม่วง และน้ำเงิน
ความหมายของ “รอยกัด” (Bite) นั้นเป็นการเล่นคำกับคำว่า “Byte” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลของคอมพิวเตอร์ “สีรุ้ง” แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นมิตร และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และยังเป็นสัญลักษณ์ของ ความสามารถในการแสดงผลสีของคอมพิวเตอร์ Apple II ซึ่งเป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีหน้าจอสี การเปลี่ยนโลโก้ในครั้งนี้ Apple ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร สนุกสนาน และแตกต่างจากคู่แข่ง และเพื่อสื่อถึงความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของ Apple ในยุคนั้น
ปี 1998 – 2000 (โลโก้แบบ Monochrome)

โลโก้สีรุ้งถูกใช้มานานถึง 21 ปี และได้มีการเปลี่ยนมาเป็นโลโก้สีเดียว (Monochrome) เช่น ดำ เทา หรือเงิน โดย Apple ใช้การออกแบบที่เรียบง่ายที่ไม่มีสีสันเหมือนเดิม และเหตุผลในการเปลี่นโลโก้ครั้งนี้ก็มาจาก การที่ Steve Jobs กลับมารับตำแหน่ง CEO ของ Apple และต้องการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ให้ดูทันสมัยและเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยโลโก้สีเดียวสามารถใช้งานได้หลากหลายขึ้น และเข้ากับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นความเรียบง่ายแถมยังดู Premium ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของ Apple
ปี 2001 – 2007 (โลโก้แบบ Aqua)


หลังจากใช้โลโก้แบบ Monochrome มา 2 ปี Apple ก็ได้มีการปรับโลโก้ใหม่ให้มีลักษณะ “เงางามและมีแสงสะท้อน” ทำให้ดูมีมิติเพิ่มเติมซึ่งคล้ายกับโลโก้ที่ทำจากกระจก โดยมีแรงบันดาลใจมาจากการออกแบบให้สอดคล้องกับ ระบบปฏิบัติการ Mac OS X ซึ่งมีสไตล์การออกแบบที่เรียกว่า “Aqua” ที่สื่อถึงความเป็น “เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและพรีเมียม” เพื่อให้โลโก้มีภาพลักษณ์ที่เข้ากับซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ยุคใหม่ของ Apple โดยโลโก้แบบ Aqua จะมีอยู่ 2 สี คือ สีฟ้าน้ำทะเล (ออกแบบในปี 1998 ซึ่งถูกใช้แค่เพียงปีเดียว) และสีเงิน (ออกแบบในปี 2001 และใช้มาจนถึงปี 2007)
ปี 2007 – 2014 (โลโก้แบบ Chrome)

ในปี 2007 ก็มีการปรับเปลี่ยนโลโก้อีกครั้งโดยทำเป็นรูปแบบ Chrome ให้มีเอฟเฟกต์เป็นโลหะดูเงาวาว ให้ดูเหมือนโลโก้ที่ทำมาจากโครเมียมเพื่อสะท้อนถึง ดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุโลหะ เช่น อะลูมิเนียม และโลโก้ก็ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เช่น MacBook Pro และ iMac การเปลี่ยนรูปแบบนี้สื่อถึง “ความหรูหรา ความแข็งแกร่ง และคุณภาพระดับสูง” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Apple กำลังเข้าสู่ “ยุคของอุปกรณ์ระดับพรีเมียม”
ปี 2014 – ปัจจุบัน (โลโก้แบบ Flat)

ในปี 2014 เป็นต้นมา Apple ก็ได้ปรับมาใช้โลโก้แบบ “Flat Design” ที่ไม่มีเงาหรือมิติใดๆ (เหมือนการออกแบบในปี 1998) โดยใช้สีเดียวตามผลิตภัณฑ์ เช่น ขาว ดำ หรือเทา Apple ต้องการให้โลโก้มีดีไซน์ที่ “เรียบง่าย ทันสมัย และใช้งานได้ดีในทุกแพลตฟอร์ม” ที่สอดคล้องกับการออกแบบซอฟต์แวร์แบบ Flat UI ของ iOS 7 และด้วยความเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ ก็ได้สื่อถึง “ความล้ำหน้า ทันสมัย และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม” ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน