City_with_Skyscrapers_on_Sea_Shore

หนึ่งในเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด สำหรับการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ในตำแหน่งไหนของตลาด ก็คือ BCG Matrix Link ซึ่งถูกพัฒนาโดย Boston Consulting Group แต่ยังมีน้อยรายที่รู้วิธีการเปลี่ยนให้เป็นกลยุทธ์ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต ความสามารถในการทำกำไร และความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว และในบทความนี้ผมจะมาอธิบายว่า การเลือกใช้กลยุทธ์แบบใดถึงจะเหมาะสมมากที่สุด เมื่อคุณใช้ BCG Matrix Link ในการวิเคราะห์ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ในตลาดกันครับ

BCG Matrix

BCG Matrix เป็นหนึ่งใน Strategic Framework ที่มีเป้าหมายหลัก คือ การช่วยให้บริษัทต่างๆสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัดสินใจว่าจะลงทุนที่ใด จะรักษาส่วนไหนไว้ และจะถอนตัวออกจากส่วนใด เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอโดยรวม มีความสมดุลสำหรับการเติบโต และความสามารถในการทำกำไร โดยพิจารณาจาก 2 มิติหลัก ได้แก่

  • Relative Market Share (ส่วนแบ่งทางการตลาด) หรือ ส่วนแบ่งของแบรนด์เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุด (สูงหรือต่ำ)
  • Market Growth (อัตราการเติบโตของตลาด) หรือ ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นๆขยายตัวเร็วแค่ไหน (สูงหรือต่ำ)

ใน BCG Matrix นั้นจะประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ

  1. Cash Cows หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง แต่มีการเติบโตของตลาดค่อนข้างต่ำ (โอกาสเกิดกำไรสูง) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรให้บริษัทอยู่ตลอด
  2. Stars หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง และมีอัตราการเติบโตของตลาดสูง (การแข่งขันสูง) เพราะเนื่องจากมีการแข่งขันสูง และส่วนแบ่งทางการตลาดสูง
  3. Question Marks หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดต่ำ แต่ยังมีอัตราการเติบโตของตลาดสูง ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรได้น้อย แต่ยังสามารถขายได้เรื่อยๆ ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีโอกาสที่จะเป็นดาวรุ่งหรือดาวร่วงได้
  4. Dogs หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดต่ำ และการเติบโตของตลาดต่ำ ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ควรเลิกทำหรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน
QuadrantMarket Growth
(อัตราการเติบโตของตลาด)
Relative Market Share
(ส่วนแบ่งทางการตลาด)
สัญลักษณ์
Starsสูง (High)สูง (High)
Cash Cowsต่ำ (Low)สูง (High)🐄
Question Marksสูง (High)ต่ำ (Low)
Dogsต่ำ (Low)ต่ำ (Low)🐕

เครื่องมือนี้จะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจว่า

  • ผลิตภัณฑ์ใดควรลงทุนเพื่อการเติบโต โดยมุ่งเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
  • ผลิตภัณฑ์ใดควรกอบโกยผลกำไร โดยดึงผลกำไรจากผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ แต่มีโอกาสเติบโตจำกัด
  • ผลิตภัณฑ์ใดควรพัฒนาอย่างระมัดระวัง ที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะลงทุนเพิ่ม หรือถอนตัวออกจากผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีความแน่นอน
  • ผลิตภัณฑ์ใดควรยุติการผลิต เมื่อไม่การทำกำไรออกจากตลาดเพื่อลดการขาดทุน

กลยุทธ์สำหรับแต่ละส่วนของ BCG Matrix

1. Stars (ดาวเด่น) หรือส่วนแบ่งการตลาดสูง และการเติบโตสูง

ในส่วนที่ 1 หรือ Stars นั้นมีเป้าหมาย คือ การรักษาความเป็นผู้นำและใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการเติบโต โดยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม Stars คือ ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของบริษัท ในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรมหาศาลในอนาคต แต่ในปัจจุบันอาจยังต้องใช้เงินลงทุนสูง เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและต่อสู้กับคู่แข่ง โดยมีกลยุทธ์สำคัญๆที่เหมาะสม ได้แก่

  • การลงทุนอย่างหนัก
    ด้วยการสนับสนุนด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนา (R&D) การจัดจำหน่าย และการสร้างนวัตกรรมอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำและขยายส่วนแบ่งการตลาดต่อไป
  • ปกป้องตำแหน่งทางการตลาด
    สร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ (Product Differentiation) Link และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Strong Brand Image) Link เพื่อเอาชนะคู่แข่ง
  • ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว
    เพิ่มกำลังการผลิตและช่องทางการจัดจำหน่าย ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์ iPhone ของ Apple ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Stars เพราะเป็นช่วงที่ iPhone ครองส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟนสูงสุด ในขณะที่ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Apple จึงลงทุนมหาศาลในการพัฒนา iPhone รุ่นใหม่ การทำการตลาด และการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์อื่นๆเพื่อรักษาความเป็นผู้นำไว้

A_Woman_Holding_iPhone

2. Cash Cows (วัวเงินสด) หรือส่วนแบ่งการตลาดสูง แต่การเติบโตต่ำ

ในส่วนที่ 2 หรือ Cash Cows นั้นมีเป้าหมาย คือ สร้างผลกำไรสูงสุดและนำเงินไปสนับสนุนธุรกิจส่วนอื่นๆ โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Cash Cows คือผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้และผลกำไร ให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ เป็นเสมือน “เครื่องผลิตเงิน” เพราะครองส่วนแบ่งการตลาดขนาดใหญ่ ในตลาดที่เติบโตช้าหรืออิ่มตัวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อแข่งขันอีกต่อไป โดยมีกลยุทธ์สำคัญๆที่เหมาะสม ได้แก่

  • กอบโกยผลกำไร
    ด้วยการลดการลงทุนครั้งใหญ่ในผลิตภัณฑ์ลง ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไว้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
    ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต และห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้น
  • ใช้กำไรเพื่อลงทุนใหม่
    นำเงินที่ได้ไปลงทุนในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Stars และ Question Marks ที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต

ตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์อย่าง Classic Coke ของ Coca-Cola เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Cash Cows ที่ชัดเจน เพราะโค้กครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มอัดลมมาอย่างยาวนาน แม้ว่าตลาดเครื่องดื่มประเภทนี้จะมีการเติบโตที่ช้าลง แต่ก็ยังคงสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท Coca-Cola จึงนำกำไรจากโค้กไปใช้สนับสนุนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่ๆ และนวัตกรรมทางการตลาดอื่นๆ เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัท

Coca-Cola_Classic

3. Question Marks (เครื่องหมายคำถาม) หรือส่วนแบ่งการตลาดต่ำ แต่การเติบโตสูง

ในส่วนที่ 3 หรือ Question Marks นั้นมีเป้าหมาย คือ ตัดสินใจว่าจะลงทุนเพื่อผลักดันให้เติบโตหรือจะถอนการลงทุน โดยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม Question Marks คือ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตสูง แต่กลับมีส่วนแบ่งการตลาดที่ต่ำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “เครื่องหมายคำถาม” เพราะยังไม่แน่ชัดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น Stars (หากลงทุนสำเร็จ) หรืออาจกลายเป็น Dogs (หากล้มเหลว) ได้เช่นกัน โดยมีกลยุทธ์สำคัญๆที่เหมาะสม ได้แก่

  • การลงทุนแบบเลือกสรร
    ประเมินว่าผลิตภัณฑ์นี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น Stars ได้หรือไม่ หากได้รับทรัพยากรเพิ่มเติม
  • การทดสอบตลาด
    ใช้วิธีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบนำร่อง (Pilot Launches) การส่งเสริมการขายแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Promotions) และการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
  • ตัดสินใจยุติหรือขยาย
    หากตัวบ่งชี้ในระยะแรกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่ดีพอ ควรยุติการลงทุนก่อนที่การขาดทุนจะเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์อย่าง Tesla Solar Roof เริ่มต้นจากการเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Question Marks เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดพลังงานทดแทนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มีส่วนแบ่งการตลาดเริ่มต้นที่ต่ำ Tesla จึงต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนอย่างหนักเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดหรือไม่ โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิต ความต้องการของลูกค้า และความสามารถในการแข่งขันกับโซลาร์เซลล์แบบเดิม

Image Source: https://onestepoffthegrid.com.au/volt-from-the-blue-as-australian-solar-tiles-take-on-tesla-and-the-world/


4. Dogs (สุนัข) หรือส่วนแบ่งการตลาดต่ำ และการเติบโตต่ำ

ในส่วนที่ 4 หรือ Dogs นั้นมีเป้าหมาย คือ ลดการขาดทุนและปลดปล่อยทรัพยากร โดยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม Dogs คือ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้น้อยและทำกำไรได้จำกัด เพราะอยู่ในตลาดที่เติบโตช้าหรือถดถอย และบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดที่ต่ำ กลยุทธ์หลักสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ คือ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะ “ปล่อย” หรือ “รักษา” ไว้ หากผลิตภัณฑ์ขาดทุนอย่างต่อเนื่องและไม่มีโอกาสเติบโต ก็ควรยุติการผลิตเพื่อนำทรัพยากร ไปใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพมากกว่า แต่หากผลิตภัณฑ์ยังคงมีลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่เหนียวแน่น และสามารถทำกำไรได้เล็กน้อย ก็อาจจะยังคงผลิตต่อไปได้โดยใช้ต้นทุนต่ำเพื่อไม่ให้ขาดทุน โดยมีกลยุทธ์สำคัญๆที่เหมาะสม ได้แก่

  • ขายทิ้งหรือยุติการผลิต
    หยุดการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้น้อยหรือขาดทุน
  • เน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Focus)
    หากผลิตภัณฑ์ยังคงตอบสนองกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ภักดีได้ ให้คงไว้แต่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ปรับตำแหน่งหรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่
    หากพิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้เชิงกลยุทธ์ ให้ปรับเปลี่ยนการใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องเล่น MiniDisc ของ Sony กลายเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Dogs หลังจากที่เครื่องเล่น MP3 และบริการสตรีมมิ่งเพลงเข้ามาในตลาด ทำให้ความต้องการเครื่องเล่น MiniDisc ลดลงอย่างรวดเร็ว Sony จึงตัดสินใจยุติการผลิต เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่นที่ทำกำไรได้มากกว่า

Image Source: https://www.minidisc.wiki/equipment/sony/portable/mz-r70

ตัวอย่างกลยุทธ์ของธุรกิจอื่นๆจากการใช้ BCG Matrix

เมื่อเราได้เรียนรู้ถึงกลยุทธ์ที่เหมาะสม กับการวิเคราะห์ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์กันแล้ว เราลองมาดูตัวอย่างของแบรนด์ในอุตสาหกรรมต่างๆกันครับ

Zara (INDITEX)

Close-Up_View_of_Zara_Dress_on_Hanger

Product LineQuadrantStrategy
ผลิตภัณฑ์หลักกลุ่ม Fast FashionStarsลงทุนในการวิเคราะห์เทรนด์ ขยายตลาดทั่วโลก
และเพิ่มความรวดเร็วในการนำสินค้าออกสู่ตลาด
ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าพื้นฐานCash Cowsคงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงดีไซน์เพียงเล็กน้อย เน้นประสิทธิภาพ
ในการดำเนินงาน
กลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้ายั่งยืนQuestion Marksเลือกทดลองในตลาดที่เลือกไว้แล้ว ประเมินการตอบสนอง
ของผู้บริโภค และลงทุนหากการเติบโตมีมากขึ้น
กลุ่มเครื่องประดับรุ่นเก่าๆDogsยุติกลุ่มที่ไม่ทำกำไร มุ่งเน้นเครื่องประดับที่กำลังเป็น
ที่นิยมในปัจจุบัน

สำหรับ Zara นั้นผลิตภัณฑ์หลักกลุ่ม Fast Fashion จัดเป็น Stars (ดาวเด่น) เพราะครองส่วนแบ่งการตลาด ในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วและขับเคลื่อนด้วยเทรนด์ ดังนั้น การลงทุนอย่างหนักในการวิจัยตลาด การออกแบบที่รวดเร็ว และการขยายสาขาทั่วโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าพื้นฐาน เช่น เสื้อเชิ้ตเรียบๆและกางเกงยีนส์ มีความต้องการที่คงที่แต่มีการเติบโตต่ำ ซึ่งทำหน้าที่เป็น Cash Cows (วัวเงินสด) ที่สร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากนัก

ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้ายั่งยืนเป็น Question Marks (เครื่องหมายคำถาม) เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นทั่วโลก แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Zara ในส่วนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงต้องมีการทดลองตลาดและลงทุนอย่างระมัดระวัง แต่ในทางกลับกันกลุ่มเครื่องประดับเก่า มียอดขายน้อยและไม่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ตลาดในปัจจุบัน จึงจัดอยู่ในกลุ่ม Dogs (สุนัข) ที่ควรพิจารณายกเลิกหรือปรับปรุงใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มในปัจจุบัน


Starbucks

Starbucks_Paper_Cup_on_the_Table

Product LineQuadrantStrategy
เครื่องดื่ม Cold Brew และ
เครื่องดื่มพิเศษ
Starsลงทุนในนวัตกรรม ขยายเมนูให้หลากหลาย
และโปรโมทไปทั่วโลก
กาแฟร้อนแบบดั้งเดิมCash Cowsรักษาคุณภาพ ทำให้กระบวนการผลิตเป็นมาตรฐาน
และเพิ่มผลกำไรสูงสุด
นมจากพืชและนมทางเลือกQuestion Marksทดสอบความต้องการในแต่ละภูมิภาค ขยายสาขาอย่าง
ระมัดระวังตามผลตอบรับ
แคปซูลกาแฟแบบบรรจุกล่อง
(ที่มียอดขายลดลง)
Dogsลดจำนวนรายการสินค้า มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม
หรือยุติการผลิต

สำหรับ Starbucks เครื่องดื่ม Cold Brew และเครื่องดื่มพิเศษ จัดเป็น Stars ดาวเด่น) เพราะเป็นสินค้าที่ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีตำแหน่งทางการแข่งขันที่แข็งแกร่ง ทำให้การลงทุนในนวัตกรรมและการตลาด กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ส่วนกาแฟร้อนแบบดั้งเดิมเป็น Cash Cows (วัวเงินสด) เนื่องจากยอดขายยังคงสม่ำเสมอ แม้ว่าตลาดจะเติบโตไม่มากนัก จึงเป็นแหล่งสร้างกำไรที่เชื่อถือได้

นมจากพืชและนมทางเลือกเป็น Question Marks (เครื่องหมายคำถาม) เพราะแม้ว่าตลาดนี้จะเติบโต แต่ Starbucks ต้องทดสอบการยอมรับของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ ขณะที่กลุ่มแคปซูลกาแฟแบบบรรจุกล่อง มียอดขายชะลอตัวลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงจัดเป็น Dogs (สุนัข) ที่อาจจะต้องลดจำนวนสินค้าหรือปรับโครงสร้างใหม่


Hilton Hotels & Resorts

Hilton_Hotel_in_City

Service / Business LineQuadrantStrategy
โรงแรมหรูในเมืองใหญ่Starsพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง
ขยายสู่ตลาดในเมืองที่เติบโตสูง ลงทุนในประสบการณ์
ระดับพรีเมียม
รีสอร์ตที่เปิดมานานCash Cowsรักษาคุณภาพการบริการ ปรับปรุงการดำเนินงานให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุด ใช้กำไรเพื่อเป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ
โรงแรมบูติกและไลฟ์สไตล์ใหม่Question Marksทดลองในทำเลที่เลือกสรรไว้แล้ว ปรับการนำเสนอ
ให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น และลงทุนอย่างระมัดระวัง
โรงแรมเก่าที่ทำกำไรได้น้อยDogsการ Renovate ใหม่ เปลี่ยนแบรนด์ หรือขายทรัพย์สินที่
ไม่ทำกำไรทิ้งไป

สำหรับ Hilton โรงแรมหรูในเมืองใหญ่ จัดเป็น Stars (ดาวเด่น) เพราะแบรนด์แข็งแกร่งและเติบโตสูง ทำให้ความต้องการมีมากขึ้น การลงทุนอย่างต่อเนื่องในสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบการจองแบบดิจิทัล และการขยายธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในส่วนของรีสอร์ตที่เปิดมานาน ทำหน้าที่เป็น Cash Cows (วัวเงินสด) ด้วยยอดจองที่คงที่ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม สร้างผลกำไรอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำมาลงทุนใหม่

โรงแรมบูติกและไลฟ์สไตล์ใหม่ จัดเป็น Question Marks (เครื่องหมายคำถาม) เนื่องจากอยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่มที่กำลังเติบโต แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Hilton ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงจำเป็นต้องมีการทดลองเชิงกลยุทธ์ ก่อนที่จะขยายขนาดต่อไป ส่วนโรงแรมเก่าที่ทำกำไรได้น้อย ในพื้นที่ที่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก จัดเป็น Dogs (สุนัข) ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแบรนด์ หรือขายทิ้งไป เพื่อปลดปล่อยทรัพยากรไปใช้ในตลาดที่มีศักยภาพสูงกว่า


BCG Matrix ก็เปรียบเสมือนกับแผนที่นำทาง สำหรับการตัดสินใจว่าจะต่อสู้ ยืนหยัด หรือถอยออกมา โดยหากนำไปใช้อย่างถูกต้องก็จะช่วยให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่า ทรัพยากรต่างๆจะถูกกระจายไปอย่างเหมาะสม และจะถูกนำไปลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ในจุดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนั่นเอง



หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594


Share to friends


Related Posts

รู้ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ด้วย BCG Matrix

BCG Matrix คือ หนึ่งในเฟรมเวิร์คที่นำมาใช้ในการประเมินกลยุทธ์ในการวางตำแหน่งตราสินค้า และศักยภาพของผลิตภัณฑ์ ภาวะตลาด ส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งสร้างขึ้นโดย Boston Consulting Group เป็นเฟรมเวิร์คที่ง่ายในการนำไปใช้ และทำให้เรารู้ว่าสินค้าได้อยู่ในจุดไหนของตลาด เราควรจะเดินหน้าต่อด้วยกลยุทธ์ใหม่ๆ


สร้างความโดดเด่นด้วย Differentiation Strategy

การอยู่รอดในธุรกิจสมัยนี้นับเป็นเรื่องที่ยาก เพราะด้วยความที่เกิดคู่แข่งขันในตลาดมากมายและทุกอย่างมีการเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น พร้อมกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต โซเชียล มีเดีย นับเป็นยุคของดิจิทัลแทบจะ 100% และด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้เราจำเป็นต้องหาจุดต่างในแบรนด์ สินค้า รวมถึงบริการ


วิธีสร้าง Brand Differentiation Strategy

หนึ่งในวิธีการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จก็คือการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม และกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ หรือที่เราเรียกว่า Brand Differentiation Strategy นั้น ก็เป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นเอาชนะคู่แข่งและเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้ ซึ่งมันก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์