การอยู่รอดในธุรกิจสมัยนี้นับเป็นเรื่องที่ยาก เพราะด้วยความที่เกิดคู่แข่งขันในตลาดมากมายและทุกอย่างมีการเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น พร้อมกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต โซเชียล มีเดีย นับเป็นยุคของดิจิทัลแทบจะ 100% และด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้เราจำเป็นต้องหาจุดต่างในแบรนด์ สินค้า รวมถึงบริการ หรือการทำอะไรใหม่ๆเพื่อต่อยอดธุรกิจของเราให้อยู่ได้ในระยะยาว กลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นการสร้างความแตกต่าง หรือที่เรียกว่า Differentiation Strategy ถือเป็นกลยุทธ์ที่เป็นสิ่งสำคัญในสภาพแวดล้อมการแข่งขันในปัจจุบันนี้ เรามาดูกันครับว่า ตัวอย่างของการวางกลยุทธ์ด้วยการสร้างความแตกต่าง มีอะไรกันบ้าง
แตกต่างด้วยนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี
หากเราสามารถสร้างความแตกต่างด้วยการนำเอาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาใช้ในตัวสินค้า หรือเป็นการสร้างสินค้าใหม่ๆขึ้นมา จะทำให้เรากลายเป็นผู้นำในตลาดทันที เพราะการที่เราจะเอาทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา ที่ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน คือ Apple และ Google
แตกต่างด้วยระดับของผลิตภัณฑ์
กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างสามารถทำได้ในระดับผลิตภัณฑ์ได้เช่นกัน เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แพคเกจทัวร์ของทุกบริษัทจะมีความแตกต่างกัน และแพคเกจทัวร์บางบริษัทอาจมีทัวร์ต่างประเทศ ในขณะที่บางบริษัทอาจจะมีทัวร์ในแค่ในประเทศหรือภูมิภาคเท่านั้น
แตกต่างด้วยราคา
นับเป็นกลยุทธ์ที่หลายๆแบรนด์นำมาใช้ และได้ผลเป็นอย่างดี บางแบรนด์อาจจะมีการตั้งราคาที่สูง เพราะเป็นแบรนด์ระดับหรู (High End) แต่ในทางกลับกันบางแบรนด์เป็นแบรนด์ทั่วไปหาได้ตามท้องตลาด ราคาก็จะค่อนข้างต่ำเข้าถึงได้ง่าย
แตกต่างด้วยการสร้างแบรนด์
เป็นแนวทางที่ระยะหลังหลายๆแบรนด์เริ่มนำมาใช้ ที่นำเอากระบวนการสร้างแบรนด์ให้มีความเป็นมนุษย์ และเข้ากับบุคลิกของลูกค้า เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับแบรนด์ยิ่งขึ้น ผ่านการทำแคมเปญโฆษณา และกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบต่างๆ เช่น กรณีของ Pepsi และ Coke ที่เราจะเห็นการทำโฆษณาและกิจกรรมต่างๆที่เน้นการมีส่วนร่วมของลูกค้า และใช้การสื่อสารที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพื่อน ดูมีความใกล้ชิดมากขึ้น
แตกต่างด้วยบรรจุภัณฑ์สินค้า
ปัจจุบันสินค้าภายในชั้นวางนั้นมีอยู่หลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ และหลายๆครั้งที่เราหยิบผิดหยิบถูกเพราะบางแบรนด์ก็มีการออกแบบมาคล้ายคลึงกัน ฉะนั้นความแตกต่างในการออกแบบบรรจุภัณฑ์นับว่ามีผลอย่างมากทั้งในเรื่องของการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน การใช้สีสัน การออกแบบตัวหนังสือ คำพูดที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์สินค้า ก็นับเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
แตกต่างด้วยการบริการ
การบริการทั้งช่วงก่อนการขายไปจนถึงหลังการขายนับเป็นอีกกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างให้แบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี และหากแบรนด์ของเราสามารถสร้างจุดต่างด้วยบริการที่ประทับใจให้กับลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ก็อาจทำให้เกิดการบอกต่อจากลูกค้าได้อีก
แตกต่างด้วยความสะดวกสบายของลูกค้า
ความสะดวกสบายของลูกค้าในการซื้อสินค้าหรือบริการ เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าอยู่เสมอ หลายๆธุรกิจก็นำจุดต่างด้านความสะดวกสบายมาใช้ เช่น ธนาคารที่มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล ที่มอบช่องทางในการทำธุรกรรมผ่าน Internet Banking หรือแม้แต่การนำแอปพลิเคชันมาใช้ ไม่ใช่แค่ในธุรกิจธนาคารเท่านั้นแต่หลายๆธุรกิจ เช่น ร้านค้าประเภทต่างๆก็นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากสิ่งเหล่านี้
แตกต่างด้วยสินค้าที่หลากหลาย
อีกวิธีหนึ่งในการนำกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างไปใช้ คือ ความหลากหลายที่มากขึ้นของผลิตภัณฑ์ ในยุคที่ลูกค้ามองหาสินค้าหลายๆอย่างที่สามารถตอบสนองความต้องการของเค้าได้ ลูกค้าจะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมด้วยตนเอง ดังนั้นยิ่งแบรนด์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากเท่าใด แบรนด์ๆนั้นก็จะได้ตำแหน่งในใจลูกค้าไปครองมากขึ้นเท่านั้น นับเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่สูงเพราะต้องลงทุนในการขยายสายการผลิต แต่มันมีประโยชน์และสร้างผลกำไรในระยะยาว
ทั้งหมดเป็นตัวอย่างของการนำเอาความแตกต่างมาปรับใช้ ซึ่งกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างนับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการขายสินค้าหรือบริการในยุคสมัยนี้ เราไม่สามารถการันตีได้ว่าลูกค้าจะจงรักภักดีกับสินค้าของเราไปได้ตลอด เพราะคู่แข่งก็จ้องที่จะแย่งลูกค้าไปจากเรา แต่เราสามารถสร้างจุดต่างให้เกิดในใจของผู้บริโภค เพื่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจได้
Cover photo by Bartosz Wac³awski from FreeImages