
ในโลกแห่งนวัตกรรมและการพัฒนาความก้าวหน้าของธุรกิจ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่ว่าคุณจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ (Product Improvement) ออกแบบบริการใหม่ (New Service) หรือแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน (Solving Complex Problems) การนำเครื่องมือด้านการออกแบบความคิดสร้างสรรค์มาใช้ จะสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณปลดล็อกแนวคิดใหม่ๆให้กับการออกแบบได้ และหนึ่งในเครื่องมือที่หลายๆธุรกิจนำมาใช้มากที่สุด ก็คือ SCAMPER Technique นั่นเอง ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักเทคนิคนี้แบบเจาะลึกกันครับ

ความหมายของ SCAMPER Technique
เทคนิค SCAMPER คือ เทคนิคการคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา ที่ใช้ชุดคำถามนำทางเพื่อกระตุ้นการสร้างแนวคิด (Concept) และนวัตกรรม (Innovation) โดยมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า “แนวคิดใหม่ทั้งหมดเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนจากแนวคิดที่มีอยู่เดิม” และ SCAMPER นั้นเป็นคำย่อที่มาจาก
- S – Substitute (การแทนที่)
- C – Combine (การรวมกัน)
- A – Adapt (การปรับใช้)
- M – Modify (การปรับเปลี่ยน หรือ ขยาย/ลดขนาด)
- P – Put to Another Use (การนำไปใช้อย่างอื่น)
- E – Eliminate (การกำจัด)
- R – Reverse (การย้อนกลับ หรือ จัดเรียงใหม่)
แต่ละองค์ประกอบแสดงถึงมุมมองที่แตกต่างกัน ในการพิจารณาผลิตภัณฑ์ กระบวนการ บริการ หรือแนวคิด ซึ่งช่วยให้คุณคิดได้แตกต่างและสร้างสรรค์มากขึ้น เทคนิค SCAMPER นั้นมาจากแนวคิด “การวิเคราะห์สัณฐานวิทยา” (Morphological Analysis) และหลัก “การระดมสมอง” (Brainstorming) ของ Alex Osborn (Osborn เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง BBDO และเป็นผู้ริเริ่มคำว่า “Brainstorming”) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดย Bob Eberle นักเขียนและนักบริหารการศึกษา ผู้ต้องการมอบเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงสำหรับเด็กๆ เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน โดยเฉพาะในด้านธุรกิจ นวัตกรรม การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการตลาด

องค์ประกอบของ SCAMPER Technique

1. S – Substitute (การแทนที่)
ขั้นตอนนี้เป็นการท้าทายให้คุณลองแทนที่ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการด้วยสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ ส่วนผสม บทบาท วิธีการ หรือแม้แต่ผู้คน ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- เราสามารถใช้วัสดุอื่นได้หรือไม่
- มีบุคคลหรือทีมอื่นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้หรือไม่
- จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราใช้ส่วนประกอบหรือปัจจัยนำเข้าอื่นๆ
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “เบอร์เกอร์แบบไร้เนื้อ” โดยแบรนด์ต่างๆ เช่น Beyond Meat และ Impossible Foods ได้แทนที่โปรตีนจากสัตว์ (Animal Protein) ด้วยทางเลือกจากพืช (Plant-Based) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตลาดอาหารจานด่วน และร้านขายของชำอย่างมาก

Image Source: https://worldbranddesign.com/bulletproof-beyond-meat-the-future-of-protein/
2. C – Combine (การรวมกัน)
ขั้นตอนนี้สนับสนุนให้คุณรวมองค์ประกอบ 2 อย่างขึ้นไป เพื่อสร้างสิ่งที่ทรงพลังหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- เราสามารถรวมผลิตภัณฑ์หรือคุณสมบัติ 2 อย่างเข้าด้วยกันได้หรือไม่
- เราสามารถบูรณาการเทคโนโลยีต่างๆมาไว้ด้วยกันได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “สมาร์ทโฟน” โดยอุปกรณ์เหล่านี้รวมกล้อง GPS โทรศัพท์ เว็บเบราว์เซอร์ และแอปพลิเคชันต่างๆไว้ในเครื่องเดียว

3. A – Adapt (การปรับใช้)
ในขั้นตอนนี้ คุณจะมองออกไปนอกขอบเขตปัจจุบันของคุณเพื่อหาแรงบันดาลใจ โดยพยายามปรับใช้องค์ประกอบจากอุตสาหกรรมหรือระบบอื่นๆ ซึ่งเป็นการคัดลอกสิ่งที่คล้ายกันมาปรับใช้ ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- เราสามารถยืมแนวคิดอะไรจากธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ หรือคู่แข่งได้บ้าง
- เราสามารถเลียนแบบฟังก์ชันจากอุตสาหกรรมอื่นๆได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “Velcro” (ชื่อของตีนตุ๊กแก) ที่เราใช้ติดเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอื่นๆ โดยมี 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งเป็นห่วง (Loop) อีกด้านเป็นตะขอ (Hook) โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสชื่อว่า George de Mestral ได้พาสุนัขของเขาไปเดินป่า แล้วสังเกตว่า “เมล็ดของพืชชนิดหนึ่ง” (Bur/Burr) มักจะติดแน่นกับขนสุนัขหรือเสื้อผ้าของเขา พอเขานำไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดู ก็พบว่า เมล็ดพวกนี้มีลักษณะเป็น “ตะขอเล็กๆ” ที่เกี่ยวกับเส้นใยได้ดีมาก เขาจึงเกิดไอเดียในการ ดัดแปลงกลไกนี้จากธรรมชาติ มาเป็นระบบติดแน่นแบบตะขอและห่วง หรือที่เราเรียกกันว่าตีนตุ๊กแกนั่นเอง

Image Source: https://www.industrialwebbing.com/velcro-brand-industrial-strength-fastener-1-x-25-yard-roll/
4. M – Modify (การปรับเปลี่ยน หรือ ขยาย/ลดขนาด)
ขั้นตอนนี้ชวนให้คุณเปลี่ยนแปลงรูปแบบ รูปลักษณ์ หรือฟังก์ชัน โดยการขยาย (ทำให้ใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น) หรือลดขนาด (ทำให้เล็กลง เบาขึ้น ง่ายขึ้น) ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- จะเป็นอย่างไรถ้ามีขนาดเป็น 2 เท่า หรือเหลือราคาครึ่งหนึ่ง
- เราสามารถทำให้มันน่าดึงดูดหรือสนุกสนานมากขึ้นได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “Mini Cooper” รถยนต์ขนาดเล็ก ที่กำหนดนิยามใหม่ของความหรูหรา และสมรรถนะในรูปแบบที่กะทัดรัด “อาหารจานด่วนขนาดใหญ่พิเศษ” กับการเพิ่มขนาดอาหารจนกลายเป็นกลยุทธ์การขายทั่วไป

5. P – Put to Another Use (การนำไปใช้อย่างอื่น)
ขั้นตอนนี้กระตุ้นให้คุณนำสิ่งที่มีอยู่แล้วไปใช้ในวัตถุประสงค์ใหม่ ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- ผลิตภัณฑ์นี้สามารถนำไปใช้ที่อื่นได้หรือไม่
- เราสามารถกำหนดเป้าหมายไปยังตลาดใหม่ได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “เบกกิ้งโซดา” ที่เดิมใช้สำหรับการทำขนมปัง แต่ปัจจุบันสามารถนำไปใช้ดับกลิ่น ทำความสะอาด หรือล้างคราบต่างๆ

6. E – Eliminate (การกำจัด)
ขั้นตอนนี้เกี่ยวกับการลบสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อปรับปรุงคุณค่า ความสามารถในการใช้งาน หรือความคุ้มค่า ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- เราสามารถลบคุณสมบัติใดออกได้บ้าง
- เราสามารถลดความซับซ้อนของกระบวนการได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “เฟอร์นิเจอร์แบบน็อคดาวน์ของ IKEA” ที่ยกเลิกรูปแบบการขนส่งแบบเดิมๆและการประกอบที่ซับซ้อน เพื่อนำเสนอการประหยัดต้นทุนและการออกแบบที่ใช้งานง่ายกว่าเดิม

Image Source: IKEA.com
7. R – Reverse (การย้อนกลับ หรือ จัดเรียงใหม่)
องค์ประกอบสุดท้ายนี้สนับสนุนให้คิดใหม่ เกี่ยวกับลำดับหรือโครงสร้าง หรือพลิกสมมติฐานเดิม ด้วยการตั้งตัวอย่างคำถาม เช่น
- จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำสิ่งนี้แบบย้อนกลับ
- เราสามารถจัดเรียงขั้นตอนใหม่ได้หรือไม่
ตัวอย่างในการนำไปใช้จริงของ “ร้านขายยาแบบ Drive-Thru” พลิกประสบการณ์ร้านขายยาทั่วไปในร้าน โดยให้บริการลูกค้าจากรถยนต์ของพวกเขาแทน

Image Source: https://patch.com/illinois/northbrook/cvs-opens-northbrook-drive-thru-coronavirus-testing-site

วิธีและขั้นตอนการนำ SCAMPER Technique ไปใช้จริง
1. ระบุหัวข้อ (Subject)
“เลือกผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ หรือแนวคิด ที่คุณต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือปรับปรุง”
ขั้นตอนแรกคือการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน คุณต้องการใช้เทคนิค SCAMPER กับอะไร โดยอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วที่คุณต้องการพัฒนาให้ดีขึ้น บริการที่คุณต้องการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น กระบวนการทำงานที่คุณต้องการทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือแม้แต่แนวคิดใหม่ที่คุณต้องการต่อยอดให้เป็นรูปเป็นร่าง การเลือกหัวข้อที่ชัดเจนจะช่วยให้การระดมสมองมีทิศทางและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ตั้งคำถามแบบ SCAMPER (SCAMPER Questions)
“ทำตามตัวอักษรแต่ละตัวอย่างเป็นระบบ และระดมสมองเพื่อหาแนวคิดสำหรับแต่ละหมวดหมู่”
ในขั้นตอนนี้ คุณจะเริ่มใช้คำถามที่เกี่ยวข้องกับแต่ละองค์ประกอบของ SCAMPER (Substitute, Combine, Adapt, Modify, Put to Another Use, Eliminate, Reverse) เพื่อกระตุ้นความคิด ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังพิจารณาผลิตภัณฑ์ คุณอาจจะถามว่า “เราสามารถใช้วัสดุอื่นแทนวัสดุนี้ได้หรือไม่” (Substitute) หรือ “เราสามารถรวมคุณสมบัติสองอย่างเข้าด้วยกันได้หรือไม่” (Combine) การทำเช่นนี้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยพิจารณามาก่อน

3. บันทึกแนวคิด (Document Ideas)
“จดบันทึกความคิดที่เป็นไปได้ทั้งหมด แม้แต่ความคิดที่ดูแปลกประหลาด เพราะความคิดสร้างสรรค์มักเกิดขึ้นจากความวุ่นวาย”
สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การเปิดใจรับทุกความคิด ไม่ว่ามันจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่ในตอนแรก (อย่าเพิ่งตัดสินหรือวิจารณ์แนวคิดใดๆในขั้นตอนนี้) และเป้าหมายของขั้นตอนนี้ ก็คือ การสร้างปริมาณแนวคิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะบางครั้งความคิดที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ก็อาจนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่สร้างสรรค์อย่างไม่คาดคิด การจดบันทึกจะช่วยให้คุณไม่ลืมแนวคิดเหล่านั้น และสามารถนำกลับมาพิจารณาในภายหลังได้
4. ประเมินและคัดเลือก (Evaluate & Select)
“กรองแนวคิดตามความเป็นไปได้ ผลกระทบ และความสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ”
หลังจากที่คุณมีรายการแนวคิดมากมายแล้ว ขั้นตอนนี้คือการประเมินความเป็นไปได้ของแต่ละแนวคิด แล้วพิจารณาว่าแนวคิดนั้นสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จะมีผลกระทบต่อเป้าหมายของคุณอย่างไร และสอดคล้องกับทรัพยากรและข้อจำกัดที่คุณมีหรือไม่ การคัดเลือกแนวคิดที่ดีที่สุดจะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่ “แนวทางที่มีศักยภาพมากที่สุด”
5. สร้างต้นแบบและทดสอบ (Prototype & Test)
“เปลี่ยนแนวคิดที่ดีที่สุดของคุณให้เป็นต้นแบบ และทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง”
ขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำแนวคิดที่ได้รับการคัดเลือกมาสร้างเป็นต้นแบบ (Prototype) ซึ่งอาจจะเป็นแบบจำลองอย่างง่าย หรือผลิตภัณฑ์ / บริการในขนาดเล็ก จากนั้นนำต้นแบบไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อดูว่ามันทำงานได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ การทดสอบจะช่วยให้คุณได้รับข้อเสนอแนะ (Feedback) ที่มีค่า เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาแนวคิดของคุณต่อไป ก่อนที่จะนำไปใช้จริงในวงกว้าง

การประยุกต์ใช้ SCAMPER Technique
SCAMPER สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายกระบวนการ และเรียกได้ว่าสามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนี้
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ – เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติ การออกแบบ หรือการวางตำแหน่งทางการตลาด
- นวัตกรรมการบริการ – เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าหรือรูปแบบการให้บริการ
- กลยุทธ์ทางการตลาด – เพื่อสร้างแนวคิดแคมเปญใหม่ๆ หรือปรับเปลี่ยนการสื่อสารใหม่ๆ
- การปรับปรุงกระบวนการ – เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของขั้นตอนการทำงาน ระบบโลจิสติกส์ หรือวิธีการดำเนินงาน
- การทำ Design Thinking – สามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งของช่วงการระดมสมอง
- การศึกษาและการฝึกอบรม – เพื่อใช้ในโรงเรียนและโครงการนวัตกรรมต่างๆขององค์กร
การใช้ SCAMPER Technique กับแบรนด์ต่างๆ
Brand | SCAMPER Technique | ตัวอย่างนวัตกรรม |
---|---|---|
Netflix | Put to Another Use (การนำไปใช้อย่างอื่น) | เปลี่ยนจากการเช่า DVD ไปสู่ Online Streaming |
Airbnb | Combine + Adapt (การรวมกัน + ปรับใช้) | ให้บริการเปรียบเสมือนโรงแรมแบบ Local Style |
Dyson | Modify + Eliminate (การปรับเปลี่ยน + การกำจัด) | ปรับสู่พัดลมที่ไม่มีใบพัด และเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุง |
Uber | Reverse + Combine (การย้อนกลับ + การรวมกัน) | การเปลี่ยนจากรถยนต์ส่วนบุคคลไปสู่ Taxi |
Apple | Combine + Modify (การปรับเปลี่ยน + การรวมกัน) | iPhone = Phone + iPod + Internet |

ตัวอย่างการใช้ SCAMPER Technique แบบครบทุกองค์ประกอบ
เราลองมาดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น เมื่อนำ SCAMPER ทุกองค์ประกอบมาใช้กับธุรกิจ
Scenario 1: ร้านกาแฟต้องการออกแบบแก้วกาแฟใหม่
วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการออกแบบแก้วกาแฟสำหรับซื้อกลับบ้าน เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ ลดขยะ และสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์

- S – Substitute (การแทนที่)
จะสามารถแทนที่อะไรได้บ้าง- แทนที่ฝาพลาสติกด้วยฝาที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ทำจากแกลบหรือแป้งข้าวโพด
- แทนที่ปลอกกระดาษชั้นนอกแบบกันความร้อนในตัว
- C – Combine (การรวมกัน)
จะสามารถรวมหรือบูรณาการอะไรได้บ้าง- รวมแก้วกาแฟและบัตรสะสมแต้ม (แก้วมีรหัสที่สแกนได้สำหรับสะสมคะแนน)
- เพิ่มคลิปหนีบช้อนหรือที่คนแบบใช้ซ้ำได้ สำหรับลูกค้าที่เติมน้ำตาลหรือครีม
- A – Adapt (การปรับใช้)
เราสามารถยืมอะไรจากผลิตภัณฑ์อื่นได้บ้าง- ปรับใช้กลไกฝาหมุนจากขวดน้ำแบบใช้ซ้ำได้สำหรับฝาที่กันหก
- ใช้แนวคิดผนังฉนวนสองชั้นจากแก้วเก็บความร้อน เพื่อปรับปรุงการเก็บรักษาความร้อน
- M – Modify (การปรับเปลี่ยน หรือ ขยาย/ลดขนาด)
จะสามารถเปลี่ยนแปลงขนาด หรือรูปลักษณ์อะไรได้บ้าง- ขยายพื้นที่ผิวของแก้วเพื่อใส่คำคม ชื่อผู้ใช้ หรือข้อเสนอพิเศษผ่าน QR Code
- ลดขนาดส่วนล่างของแก้วเพื่อให้พอดี กับที่วางแก้วในรถยนต์ได้ดีขึ้น
- P – Put to Another Use (การนำไปใช้อย่างอื่น)
แก้วนี้สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้อีกบ้าง- ออกแบบแก้วให้พับเป็นภาชนะ ที่ลูกค้าสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำสำหรับใส่ของว่างได้
- เปลี่ยนแก้วให้เป็นกระถางดอกไม้หรือถาดเพาะเมล็ด (แก้วแต่ละใบมีฝาที่ฝังเมล็ดพืชได้)
- E – Eliminate (การกำจัด)
จะสามารถนำอะไรออกเพื่อลดความซับซ้อนหรือปรับปรุงได้บ้าง- กำจัดช้อนคนพลาสติก และออกแบบกลไกฝาคนเองแทน
- ลดความจำเป็นในการใช้ปลอกสวมแก้ว โดยปรับปรุงฉนวนกันความร้อนของตัวแก้ว
- R – Reverse (การย้อนกลับ หรือ จัดเรียงใหม่)
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเปลี่ยนลำดับหรือพลิกแนวคิด- พลิกการสร้างแบรนด์ โดยวางโลโก้ไว้ด้านในแก้วเพื่อให้ผู้ใช้เห็นขณะดื่ม
- เสนอการซื้อแบบย้อนกลับ โดยนำแก้วที่ใช้แล้วมาคืนเพื่อรับส่วนลด หรือนำกลับมาใช้ใหม่ในร้าน
💡 ผลลัพธ์จากการใช้เทคนิค SCAMPER
หลังจากใช้เทคนิค SCAMPER ทีมงานได้แนวคิดแก้วกาแฟใหม่ ซึ่งเป็นแก้ว “EcoCup+” แก้วกาแฟที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ออกแบบอย่างชาญฉลาด พร้อมมีชิปสะสมแต้มในตัว ชั้นเก็บความร้อนด้วยตัวเอง ฝาปิดเมล็ดกาแฟที่นำมาใช้ซ้ำได้ และฝาแบบบิดเพื่อป้องกันการหก หรือเรียกได้ว่า “เปลี่ยนทุกการจิบกาแฟให้เป็นการแสดงออกถึงความยั่งยืน”

Scenario 2: การสร้างสรรค์นวัตกรรมกระบวนการปฐมนิเทศพนักงานภายในองค์กร
วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การปฐมนิเทศ (Orientation) สำหรับพนักงานใหม่ เพิ่มความผูกพัน ลดความสับสน และช่วยให้พวกเขาสามารถเริ่มงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น

- S – Substitute (การแทนที่)
จะสามารถแทนที่อะไรได้บ้าง เพื่อให้การปฐมนิเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น- แทนที่คู่มือที่เป็นเอกสารด้วยแพลตฟอร์มการปฐมนิเทศแบบ Interactive (เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์)
- แทนที่วิดีโอแนะนำที่น่าเบื่อด้วยโมดูลการเรียนรู้แบบ Gamification หรือการทำภารกิจย่อยๆ
- C – Combine (การรวมกัน)
จะสามารถรวมองค์ประกอบใดได้บ้าง- รวมงานปฐมนิเทศเข้ากับการให้คำปรึกษาแบบเรียลไทม์ (มอบหมายพี่เลี้ยงให้กับพนักงานใหม่แต่ละคน)
- รวมเอกสาร HR การตั้งค่า IT และการแนะนำทีม เข้าสู่ Orientation Dashboard ที่คล่องตัวเพียงแห่งเดียว
- A – Adapt (การปรับใช้)
เราสามารถนำองค์ประกอบที่ประสบความสำเร็จ จากอุตสาหกรรมอื่นมาใช้ได้อย่างไร- ปรับใช้ระบบแถบความคืบหน้า (Progress Bar) จากวิดีโอเกม เพื่อแสดงความคืบหน้าการปฐมนิเทศด้วยภาพ
- ใช้รูปแบบ “เลือกเส้นทางผจญภัยของคุณเอง” เหมือนของแบรนด์ Duolingo
- M – Modify (การปรับเปลี่ยน หรือ ขยาย/ลดขนาด)
จะสามารถเปลี่ยนแปลงขนาด ความเร็ว หรือรูปแบบอะไรได้บ้าง- ลดขนาดนโยบายที่ยาวเหยียดให้เป็นบทสรุปที่เข้าใจง่าย และทำออกมาเป็นรูปภาพ Infographic
- เพิ่มความรู้สึกของการต้อนรับ โดยเพิ่มชุดของขวัญต้อนรับส่วนบุคคล และวิดีโอจากผู้บริหาร
- P – Put to Another Use (การนำไปใช้อย่างอื่น)
เครื่องมือหรือกระบวนการที่มีอยู่แล้ว สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้อย่างไร- ใช้แพลตฟอร์มภายในองค์กร (เช่น Slack, MS Teams) เพื่อสร้างกลุ่มต้อนรับแบบส่วนตัว สำหรับพนักงานใหม่ในแต่ละรุ่น
- นำ Video Footage การฝึกอบรมเก่าๆ หรือการสัมมนาผ่านเว็บไซต์ที่บันทึกไว้ มาใช้ใหม่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคลังความรู้สำหรับพนักงานใหม่
- E – Eliminate (การกำจัด)
จะสามารถนำอะไรออก เพื่อลดความซับซ้อนของกระบวนการได้บ้าง- ลดการกรอกแบบฟอร์มซ้ำๆ โดยการรวมระบบเข้าด้วยกัน (HR + IT + การเงิน)
- ยกเลิกตารางเวลาแบบครอบคลุมสำหรับทุกคน (ปรับเส้นทางการปฐมนิเทศตามแผนกและบทบาทหน้าที่)
- R – Reverse (การย้อนกลับ หรือ จัดเรียงใหม่)
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราพลิกลำดับ หรือวิธีการนำเสนอการปฐมนิเทศ- เริ่มการปฐมนิเทศก่อนวันแรก ด้วยชุดเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงานที่ส่งไปที่บ้าน
- ย้อนกระบวนการเรียนรู้โดยเริ่มจากความท้าทายจริง และให้พนักงานใหม่สำรวจเครื่องมือ ขณะที่พวกเขาแก้ไขปัญหา (เรียนรู้จากการลงมือทำ)
💡 ผลลัพธ์จากการใช้เทคนิค SCAMPER
หลังจากใช้เทคนิค SCAMPER เราได้ “WelcomeFlow+” ที่เพิ่มประสบการณ์การปฐมนิเทศอัจฉริยะในรูปแบบเกม ที่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนวันแรก (ส่งชุดความพร้อมไปที่บ้าน) โดยปรับแต่งทุกภารกิจให้เป็นส่วนตัว นำระบบพี่เลี้ยงเข้ามาใช้ และเปลี่ยนเอกสารต่างๆให้กลายเป็นความก้าวหน้าของภารกิจ ทำให้พนักงานใหม่รู้สึกได้รับการใส่ใจ การสนับสนุน และพร้อมลุยตั้งแต่เริ่มต้น
การใช้ SCAMPER Technique พิสูจน์ให้เห็นว่า นวัตกรรมไม่ได้หมายถึงการเริ่มต้นจากศูนย์เสมอไป เพียงแค่ถามคำถามที่ถูกต้อง คุณก็สามารถจินตนาการสิ่งใหม่ๆ นำอะไรบางอย่างกลับมาใช้ใหม่ และสร้างสรรค์สิ่งที่มีอยู่แล้วได้ใหม่ ซึ่งมันก็คือเรื่องของการเปลี่ยนมุมมองบางอย่างนั่นเอง