
การเขียนเนื้อหาหรือสร้างคอนเทนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เฉพาะเรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) หรือการเล่าเรื่อง (Storytelling)
เท่านั้น แต่คือ การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ด้วยวิธีที่เป็นระเบียบ มีกลยุทธ์ และใช้งานได้จริง และนั่นก็คือ เหตุผลที่ “โมเดลรังผึ้งเนื้อหา” (Content Honeycomb Model) ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งกรอบแนวคิดที่สิ่งสำคัญ ที่สามารถใช้เพื่อพลิกเกมสำหรับผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) นักการตลาด (Marketing) และทีมงาน UX (User Experience) และผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับ Content Honeycomb Model ในบทความนี้กันครับ

Content Honeycomb Model สำหรับการทำคอนเทนต์ คืออะไร

Content Honeycomb Model หรือ “โมเดลรังผึ้งเนื้อหา” ดัดแปลงมาจาก “รังผึ้งประสบการณ์ผู้ใช้” (User Experience Honeycomb) ของ Peter Morville ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถวางแผนและประเมินเนื้อหาของตน ผ่านคุณสมบัติที่จำเป็น 7 ประการ เมื่อส่วนประกอบแต่ละช่องของรังผึ้งได้รับการเติมเต็ม เนื้อหาของคุณก็จะมีความหมาย ใช้งานได้จริง และสร้างผลกระทบได้มากขึ้น ดังนี้
- มีประโยชน์ (Useful)
- ใช้งานได้จริง (Usable)
- น่าดึงดูดใจ (Desirable)
- ค้นหาได้ (Findable)
- เข้าถึงได้ (Accessible)
- น่าเชื่อถือ (Credible)
- มีคุณค่า (Valuable)
โดย “ช่อง” แต่ละช่องของรังผึ้ง แสดงถึงเสาหลักที่เนื้อหาของคุณควรบรรลุ เพื่อประสบความสำเร็จทั้งในด้าน “การทำงาน” (Functionality) และ “ความดึงดูดทางอารมณ์” (Emotional Appeal) ที่เหมาะสำหรับ
- กลยุทธ์และการวางแผนเนื้อหา
- การเขียนและการออกแบบ UX
- การทำ SEO และการตรวจสอบเนื้อหา
- การทบทวนและแก้ไขเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ
- เนื้อหาบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
- การจัดการเนื้อหาหลายช่องทาง
เรามาดูรายละเอียดของทั้ง 7 ช่องใน Content Honeycomb Model กันครับ

1. มีประโยชน์ (Useful)
เนื้อหาของคุณต้อง “ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง” หรือบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง เนื้อหาไม่ควรถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีอยู่ แต่ต้องนำ “คุณค่า” มาสู่ผู้อ่านอย่างชัดเจน ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “เนื้อหานี้ช่วยให้ผู้ใช้บรรลุบางสิ่ง หรือแก้ปัญหาได้หรือไม่” ตัวอย่างเช่น บทความ How-to (วิธีการ) ที่อธิบายขั้นตอนการแต่งหน้าแบบทีละขั้นสำหรับผู้เริ่มต้น
2. ใช้งานได้จริง (Usable)
เนื้อหาต้อง “ง่ายต่อการบริโภค” “ง่ายต่อการนำทาง” และ “เข้าใจง่าย” นั้นแสดงถึงเนื้อหาต้องมีความชัดเจน มีโครงสร้าง เพราะต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการจัดระเบียบที่ดี หรือการมีแต่ตัวอักษรยาวเป็นพืด ผู้ใช้ก็มีแนวโน้มที่จะออกจากหน้านั้นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “เนื้อหานี้ถูกเขียนและจัดโครงสร้าง ในลักษณะที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้หรือไม่” ตัวอย่างเช่น การใช้หัวข้อ (Bullet Points) ย่อหน้าสั้นๆ หัวข้อที่เข้าใจง่าย และปุ่มกระตุ้นการตัดสินใจ (CTAs) ที่ใช้งานได้จริง
3. น่าดึงดูดใจ (Desirable)
เนื้อหาควร “ดึงดูดใจ” “สะท้อนความรู้สึกทางอารมณ์” เข้ากันได้ดีกับ “น้ำเสียง” และ “การออกแบบภาพลักษณ์” ของแบรนด์ องค์ประกอบนี้จะเน้นไปที่ประสบการณ์ทาง “อารมณ์และสุนทรียภาพ” (Aesthetics) ที่เนื้อหาส่งมอบให้ การออกแบบที่ดีและน้ำเสียงที่เข้าถึง จะช่วยเปลี่ยนผู้ใช้ให้กลายเป็นผู้ชื่นชอบแบรนด์ได้ ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “เนื้อหานี้ดึงดูดและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์กับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่” ตัวอย่างเช่น การถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ที่น่าสนใจ ที่เป็นการเล่าผ่านภาพที่อบอุ่นและภาษาที่ดูจริงใจ
4. ค้นหาได้ (Findable)
ไม่ว่าเนื้อหาของคุณจะดีแค่ไหนแต่หากไม่สามารถค้นพบได้ง่าย ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันครับ องค์ประกอบนี้เกี่ยวข้องกับการทำ SEO การติดแท็ก (Tagging) การเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) และระบบนำทาง (Navigation) โดยการทำให้เนื้อหา “ค้นหาได้” หมายความว่าคุณได้วางกลยุทธ์ทั้งสำหรับเครื่องมือค้นหา (Search Engines) และสำหรับผู้ใช้งานที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณแล้ว ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “ผู้ใช้สามารถค้นพบเนื้อหานี้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อพวกเขาต้องการหรือไม่” ตัวอย่างเช่น การมีส่วนคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ที่มีคำค้นหาที่ใช้งานได้จริง การตั้งชื่อเรื่อง (Titles) ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับ Google รวมถึง AI ในยุคนี้
5. เข้าถึงได้ (Accessible)
เนื้อหาของคุณต้อง “ครอบคลุม” (Inclusive) โดยได้รับการออกแบบ เพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา การรับรู้ การเคลื่อนไหว สามารถใช้และได้รับประโยชน์จากเนื้อหานั้นๆได้ โดยการเข้าถึงได้ (Accessibility) ไม่ใช่แค่การทำตามกฎหมาย แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และขยายฐานผู้ชมของคุณให้กว้างขึ้น ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “เนื้อหานี้สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ชมทุกคน รวมถึงผู้ที่ใช้เครื่องมือช่วยเหลือหรือไม่” ตัวอย่างเช่น การใส่ Alt-text สำหรับรูปภาพ การใช้ความต่างของสี (Color Contrast) ที่เหมาะสม การใช้ภาษาที่ชัดเจน (Clear Language) และแบบอักษรที่อ่านง่าย (Readable Fonts)
6. น่าเชื่อถือ (Credible)
ผู้คนจำเป็นต้อง “ไว้วางใจ” ในเนื้อหาของคุณ และความน่าเชื่อถือนั้นได้มาจากการใช้น้ำเสียง ความถูกต้องแม่นยำ หลักฐานอ้างอิง ความสม่ำเสมอ และชื่อเสียงของแบรนด์ ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “ข้อมูลนี้ถูกต้องแม่นยำ มีแหล่งที่มาที่ดี และเขียนด้วยน้ำเสียงที่น่าเชื่อถือหรือไม่” ตัวอย่างเช่น บทความที่อ้างอิงจากการวิจัย ข้อมูล คำพูดจากผู้เชี่ยวชาญ หรือบทวิจารณ์จากผู้ใช้จริง
7. มีคุณค่า (Valuable)
สุดท้ายนี้ เนื้อหาของคุณต้องมี “คุณค่า” สำหรับทั้งผู้ใช้และธุรกิจ ที่ควรขับเคลื่อนวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเป็นยอดขาย (Conversion) การให้ความรู้ (Education) การมีส่วนร่วม (Engagement) หรือการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) “คุณค่า” คือ จุดตัดที่สมบูรณ์แบบระหว่างความต้องการของผู้ใช้ และความต้องการของธุรกิจ เมื่อบรรลุองค์ประกอบนี้แล้ว เนื้อหาของคุณก็จะขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้ ด้วยการลองตั้งคำถามว่า “เนื้อหานี้สนับสนุนเป้าหมายทางธุรกิจ ไปพร้อมๆกับการช่วยเหลือผู้ใช้ด้วยหรือไม่”

ตัวอย่างการวางแผนเนื้อหาตาม Content Honeycomb Model
เรามาลองดูการปรับใช้ Content Honeycomb Model ซึ่งขอยกตัวอย่างสถานการณ์ แบรนด์เครื่องสำอางค์ออร์แกนิก ที่กำลังวางแผนทำบทความบล็อกเรื่อง “5 ขั้นตอนในการปลอบประโลมผิวแพ้ง่ายในช่วงเปลี่ยนฤดู” ดังนี้
ในการประชุมวางแผนคอนเทนต์ ทีมงานของบริษัทได้ใช้ Content Honeycomb Model เพื่อตรวจสอบคุณภาพของบทความ โดยเราจะเริ่มจาก “มีประโยชน์” (Useful ) คือ การให้วิธีแก้ปัญหาผิวแพ้ตามขั้นตอนที่ทำได้จริง จากนั้นทำให้บทความ “ใช้งานได้จริง” (Usable) ด้วยการใช้รูปภาพสินค้าจริงประกอบแต่ละขั้นตอน และมีการใช้ตารางสรุปส่วนผสมหลักที่ปลอดภัยต่อผิวแพ้ เพื่อให้ผู้อ่านสแกนข้อมูลได้ง่าย เพื่อให้คอนเทนต์ “น่าดึงดูดใจ” (Desirable) เราจะใช้ภาพถ่ายที่มีแสงธรรมชาติและโทนสีพาสเทล พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนและดูให้ความหวัง เพื่อสร้างอารมณ์ร่วม
ในส่วนของการค้นหาเราก็ต้องมั่นใจว่าเนื้อหานั้น “ค้นหาได้” (Findable) โดยการใช้คีย์เวิร์ด SEO เช่น ผิวแพ้ ผิวคัน สกินแคร์เปลี่ยนฤดู และมีการเชื่อมโยงภายใน (Internal Link) ไปยังบทความอื่นๆเกี่ยวกับการดูแลผิวแพ้ง่าย ในแง่ของการ “เข้าถึงได้” (Accessible) เราจะใส่คำบรรยายรูปภาพ (Alt-text) ในทุกภาพสำหรับผู้พิการทางสายตา และใช้สีตัวอักษรที่ตัดกับพื้นหลังชัดเจนเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น
เพื่อให้บทความ “น่าเชื่อถือ” (Credible) เราจะอ้างอิงข้อมูลจากแพทย์ผิวหนัง ที่ปรึกษาของแบรนด์ และใส่ผลลัพธ์จากผู้ใช้จริงที่เคยมีปัญหาเดียวกันไว้ในตอนท้าย สุดท้าย คือ “มีคุณค่า” (Valuable) โดยบทความนี้จะให้คุณค่าแก่ผู้ใช้ ด้วยการช่วยให้ผิวหายแพ้และให้คุณค่าแก่ธุรกิจ ซึ่งมีการแนบปุ่มกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ไปยังชุดผลิตภัณฑ์ “Rescue Kit” ของเราเพื่อกระตุ้นยอดขาย เป็นต้น
การจะเขียนเนื้อหาหรือทำคอนเทนต์ให้โดดเด่นออกมานั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่พาดหัวที่ฉูดฉาดเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น ความสามารถในการใช้งาน และคุณค่า แบบครบวงจร Content Honeycomb Model นี้จึงถือเป็นการบังคับให้ผู้สร้างสรรค์เนื้อหาทั้งหลาย ต้องคิดแบบองค์รวมโดยสร้างความสมดุลระหว่าง ความเข้าใจเอาใจใส่ (Empathy) ประโยชน์ใช้สอย (Utility) และผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact) นั่นเองครับ
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
