
เมื่อคุณได้ยินวลีหรือคำพูดที่ว่า “ซื้อมากจะได้ถูกลง” นั่นหมายถึง คุณกำลังสัมผัสกับแนวคิดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในเศรษฐศาสตร์ (Economics) และกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business Strategy) ซึ่งนั่นก็คือ “หลักการประหยัดจากขนาด” (Economies of Scale) หรือพูดง่ายๆว่า หลักการประหยัดจากขนาดนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจสามารถ “ลดต้นทุน” ลงได้จากการ “ผลิตที่มากขึ้น” ยิ่งพวกเขาเติบโตใหญ่เท่าไหร่ พวกก็ยิ่งสามารถกระจาย “ต้นทุนคงที่” (Fixed Costs) เช่น ค่าเช่า เครื่องจักร หรือเงินเดือน ไปยังจำนวนหน่วยการผลิตที่สูงขึ้นได้มากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถผลิตสินค้า ในแต่ละรายการด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งรายเล็ก และสำหรับใครที่ยังงงๆและไม่เข้าใจกับแนวคิดนี้ เรามาเรียนรู้กับคำว่า Economies of Scale ในบทความนี้ไปพร้อมๆกันครับ

หลักการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) หมายถึงอะไร
หลักการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) คือ คำอธิบายถึงความได้เปรียบด้านต้นทุน ที่ธุรกิจได้รับเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ซึ่งก็คือ ยิ่งบริษัทผลิตมากเท่าไหร่ ต้นทุนต่อหน่วยในแต่ละรายการก็จะยิ่งถูกลงเท่านั้น โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก
- ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) เช่น ค่าเช่า เครื่องจักร หรือเงินเดือนพนักงาน ถูกกระจายไปยังสินค้าที่มากขึ้น
- ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) เช่น วัตถุดิบหรือค่าขนส่ง ที่มักจะลดลงเมื่อซื้อในปริมาณมาก
ตัวอย่างเช่น หากคุณทำพาสต้าจานเดียว คุณก็ยังต้องซื้อซอสทั้งขวดและเส้นพาสต้าทั้งห่อ แต่ถ้าคุณทำอาหารสำหรับ 10 คน ต้นทุนซอสและเส้นต่อจานก็จะถูกลง หรือการอบขนมปัง หากคุณอบขนมปังหนึ่งก้อนในเตาอบ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 10,000 บาท ต้นทุนของขนมปังก้อนเดียวนั้นคือ 10,000 บาท แต่ถ้าคุณอบขนมปัง 100 ก้อนในเตาอบเดียวกัน ทันใดนั้นต้นทุนเตาอบต่อก้อนก็จะเหลือเพียงแค่ 1 บาท เพียงเท่านั้น นี่คือพลังของการขยายขนาด (Power of Scale) ครับ


เหตุผลที่หลักการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) สำคัญต่อการตลาด
จากมุมมองทางการตลาด “หลักการประหยัดจากขนาด” (Economies of Scale) สามารถเปลี่ยนวิธีการแข่งขันของธุรกิจได้ ดังนี้
- อำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power)
บริษัทที่มีต้นทุนต่ำกว่าสามารถเสนอราคาที่ถูกกว่า ทำให้ผู้เล่นรายเล็กอยู่รอดได้ยาก ตัวอย่างเช่น IKEA เสนอเฟอร์นิเจอร์มีสไตล์ในราคาถูก เนื่องจากการผลิตและการจัดจำหน่ายทั่วโลกในปริมาณมหาศาล - การสร้างแบรนด์ (Branding)
บริษัทขนาดใหญ่สามารถกระจายงบประมาณการตลาดไปยังลูกค้าได้มากขึ้น แคมเปญโฆษณามูลค่า 100 ล้านบาท อาจดูเหมือนจะค่อนข้างสูงมาก แต่สำหรับ Coca-Cola ที่ขายได้หลายพันล้านขวด ก็ถือว่าเป็นต้นทุนต่อหน่วยที่เล็กน้อยมาก - ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty)
หลักการประหยัดจากขนาดมักจะหมายถึง คุณภาพที่สม่ำเสมอในราคาที่ต่ำลง ซึ่งทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก

การประหยัดจากขนาดภายใน (Internal Economies of Scale)
การประหยัดจากขนาดภายใน (Internal Economies of Scale) หมายถึง “ข้อได้เปรียบด้านต้นทุน” ที่บริษัทสามารถบรรลุได้จาก “การขยายขนาดการผลิตของตนเอง” ซึ่งแตกต่างจากการประหยัด ที่มาจากปัจจัยภายนอกอุตสาหกรรม (External Economies) ซึ่งโดยหลักการแล้ว ยิ่งบริษัทใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ และสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยได้มากขึ้นเท่านั้น โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
1. การประหยัดจากการจัดซื้อ (Purchasing Economies)
บริษัทขนาดใหญ่สามารถซื้อวัตถุดิบ วัสดุ หรือส่วนประกอบต่างๆ “ในปริมาณที่มาก” เช่น ซื้อยกโหลหรือเหมาล็อต ซึ่งทำให้พวกเขามีอำนาจต่อรองสูงขึ้นกับซัพพลายเออร์ และได้รับ “ส่วนลดต่อหน่วย” ที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น โรงงานขนาดใหญ่ซื้อเหล็ก 10,000 ตัน ในราคาต่อตันที่ถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับร้านเล็กๆที่ซื้อเพียง 10 ตัน

2. การประหยัดจากเทคนิค (Technical Economies)
บริษัทที่ใหญ่ขึ้นสามารถลงทุนใน “เครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูง” ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและมักมีราคาแพง ซึ่งถึงแม้จะมีราคาสูง แต่ก็สามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมหาศาล ทำให้ “ต้นทุนของเครื่องจักรต่อหน่วย” ลดลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ร้านเบเกอรี่เล็กๆใช้เตาอบบ้านหนึ่งเครื่อง ขณะที่โรงงานเบเกอรี่ขนาดใหญ่ ลงทุนในเตาอบอุตสาหกรรม ที่สามารถอบขนมปังได้หลายพันก้อนพร้อมกัน ทำให้ต้นทุนต่อก้อนถูกลง

3. การประหยัดจากการบริหารจัดการ (Managerial Economies)
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น แทนที่จะให้ผู้จัดการทั่วไปเพียงคนเดียวทำงานทุกอย่าง พวกเขาสามารถจ้าง “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล การเงิน หรือการตลาด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลาการทำงาน ตัวอย่างเช่น Founder และ Co-Founder ธุรกิจสตาร์ทอัพจัดการงานขาย บัญชี และ HR ด้วยตนเอง แต่บริษัทขนาดใหญ่จ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้การทำงานรวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิผลมากกว่า

4. การประหยัดทางการเงิน (Financial Economies)
บริษัทขนาดใหญ่มักถูกมองว่า “มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำกว่า” ในสายตาของธนาคารและนักลงทุน ทำให้พวกเขาสามารถ “กู้ยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า” หรือระดมทุนได้ง่ายและถูกกว่าบริษัทเล็กๆ ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟเล็กๆอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ 8% ขณะที่แบรนด์ที่มีเครือข่ายใหญ่อย่าง Starbucks อาจจ่ายเพียง 3%

5. การประหยัดทางการตลาด (Marketing Economies)
ต้นทุนคงที่ของการโฆษณา เช่น การผลิตโฆษณาทางทีวี หรือการซื้อเวลาโฆษณา จะถูก “กระจายไปทั่วหน่วยการผลิตนับล้านหรือพันล้านหน่วย” ทำให้ต้นทุนการตลาดต่อหน่วยต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ค่าโฆษณาทางทีวีมูลค่า 1 ล้านบาท อาจดูแพงมากสำหรับแบรนด์เล็กๆ แต่แทบจะไม่มีผลเลยต่อต้นทุนต่อหน่วยของแบรนด์อย่าง Redbull ซึ่งขายสินค้าได้หลายพันล้านกระป๋อง

6. การประหยัดจากการกระจายความเสี่ยง (Risk-Bearing Economies)
บริษัทขนาดใหญ่สามารถ “กระจายความเสี่ยง” ทางธุรกิจของตนเองไปในผลิตภัณฑ์ ตลาด หรือภูมิภาคที่แตกต่างกันได้ โดยหากผลิตภัณฑ์หนึ่งล้มเหลว หรือตลาดหนึ่งประสบปัญหา พวกเขาก็ยังคงมีรายได้จากส่วนอื่นๆมาชดเชย ตัวอย่างเช่น หากผลิตภัณฑ์หนึ่งของ Unilever ไม่ประสบความสำเร็จ บริษัทยังคงมีกำไรจากแบรนด์อื่นๆในเครือ เช่น Dove, Lipton หรือ Ben & Jerry’s

Image Source: https://www.unilever.com/
7. การประหยัดจากเส้นโค้งการเรียนรู้ / ประสบการณ์ (Learning Curve / Experience Economies)
เมื่อมีการผลิตเพิ่มขึ้นพนักงานและผู้จัดการจะ “เรียนรู้และปรับปรุงกระบวนการทำงาน” ทำให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ “สร้างของเสีย (Waste) น้อยลง” เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยลดลง ตัวอย่างเช่น คนงานใหม่ในโรงงานอาจทำผิดพลาดในช่วงแรก แต่หลังจากผลิตสินค้าไปแล้วหลายพันหน่วย พวกเขาจะทำงานได้เร็วขึ้นด้วยความผิดพลาด และของเสียน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด


การประหยัดจากขนาดภายนอก (External Economies of Scale)
การประหยัดจากขนาดภายนอก (External Economies of Scale) หมายถึง “ข้อได้เปรียบด้านต้นทุน” ที่บริษัทได้รับจากการที่ “อุตสาหกรรมทั้งหมดขยายตัวและเติบโตขึ้น” ข้อได้เปรียบเหล่านี้ไม่ได้มาจากผลลัพธ์ ของการเติบโตของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นประโยชน์ร่วมกันที่บริษัททุกแห่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน จะได้รับเมื่ออุตสาหกรรมนั้นใหญ่ขึ้น และมีความเข้มข้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
1. ความเชี่ยวชาญของซัพพลายเออร์ (Supplier Specialization)
เมื่ออุตสาหกรรมเติบโตขึ้นและมีขนาดใหญ่พอ จะดึงดูดให้มี “ซัพพลายเออร์เฉพาะทาง” และผู้ให้บริการด้านต่างๆ เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น ทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมนั้น สามารถเข้าถึงวัตถุดิบและบริการที่ต้องการได้ “ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีราคาถูกลง” ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่อย่าง Silicon Valley จะมีการรวมตัวกันของซัพพลายเออร์ผลิตชิป นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และที่ปรึกษาเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทุกแห่ง สามารถลดต้นทุนการจัดซื้อและบริการเฉพาะทางได้

2. แหล่งรวมแรงงานที่มีทักษะ (Skilled Labor Pool)
อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันในพื้นที่เดียวจะดึงดูด “แรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้าน” มายังบริเวณนั้น ทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆสามารถ “หาคนเก่งได้ง่ายขึ้น” ลดต้นทุนและเวลาในการสรรหา (Recruitment) และการฝึกอบรม (Training) ลง ตัวอย่างเช่น นักออกแบบแฟชั่นและช่างฝีมือที่มีทักษะ มารวมตัวกันอย่างหนาแน่นในเมืองมิลาน (Milan) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการสรรหา และฝึกอบรมสำหรับทุกห้องเสื้อได้

3. โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Shared Infrastructure)
อุตสาหกรรมที่เติบโตจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภาครัฐหรือเอกชนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่สำคัญ เช่น ถนน ท่าเรือ ศูนย์วิจัย หรือระบบขนส่งเฉพาะทาง ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันและช่วย “ลดต้นทุนการดำเนินงาน” ให้กับทุกบริษัทที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานนั้น ตัวอย่างเช่น ท่าเรือขนาดใหญ่ในร็อตเตอร์ดัม (Rotterdam) หรือสิงคโปร์ ให้บริการแก่บริษัทหลายร้อยแห่งพร้อมกัน ทำให้ต้นทุนการขนส่ง (Shipping Costs) โดยรวมของสินค้าที่ผ่านท่าเรือเหล่านี้ลดลง

4. การถ่ายเทความรู้ (Knowledge Spillovers)
เมื่อบริษัทจำนวนมากมาอยู่รวมกัน ความรู้ นวัตกรรม และเทคนิคการทำงานต่างๆ จะ “แพร่กระจายอย่างไม่เป็นทางการ” ผ่านการย้ายงานของพนักงาน การพูดคุย หรือการเลียนแบบ บริษัททุกแห่งจึงได้รับประโยชน์ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น วิศวกรที่ย้ายระหว่างบริษัทใหญ่อย่าง Google และ Meta หรือสตาร์ทอัพเล็กๆในพื้นที่เดียวกัน จะมีการถ่ายทอดความคิดและแนวทางปฏิบัติ (Best Practices) ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานทั่วทั้งอุตสาหกรรม


ตัวอย่างในชีวิตประจำวันจากแนวคิด Economies of Scale
1. การซื้อยกโหล
ถ้าคุณซื้อน้ำอัดลม 1 กระป๋อง ที่ร้านสะดวกซื้อ อาจมีราคา 30 บาท แต่ถ้าคุณซื้อแบบแพ็ค 24 กระป๋อง ที่ร้านค้าส่ง ราคาต่อกระป๋องอาจลดลงเหลือ 20 บาท โดยเหตุผล ก็คือ ซัพพลายเออร์จะให้ส่วนลดสำหรับการซื้อในปริมาณมาก ธุรกิจอย่าง Makro สร้างขึ้นบนแนวคิดนี้โดยสมบูรณ์
2. การกระจายต้นทุนคงที่ ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง
การที่คุณเช่าเตาอบในราคา 1,000 บาทต่อวัน ถ้าคุณอบขนมปัง 10 ก้อน ต้นทุนเตาอบคือ 100 บาทต่อก้อน แต่ถ้าคุณอบ 100 ก้อน ต้นทุนเตาอบจะเหลือเพียง 10 บาทต่อก้อน เท่านั้น โดยเหตุผล ก็คือ ใช้เตาอบเดิมแต่ต้นทุนถูกกระจายไปยังสินค้าที่ผลิตได้มากขึ้น
3. ต้นทุนการโฆษณา
ค่าใช้จ่ายในการผลิตและออกอากาศโฆษณาทางทีวี อาจอยู่ที่ 10 ล้านบาท บริษัทเล็กๆที่ขายสินค้าได้ 10,000 ชิ้น จะมีต้นทุนโฆษณาเท่ากับ 1,000 บาทต่อชิ้น บริษัทใหญ่ๆที่ขายได้ 10 ล้านชิ้น จะมีต้นทุนโฆษณาเหลือเพียง 1 บาทต่อชิ้น เท่านั้น และนี่คือเหตุผลที่แบรนด์น้ำอัดลม สามารถจ่ายเงินสำหรับแคมเปญโฆษณาขนาดใหญ่ได้ ในขณะที่แบรนด์น้ำอัดลมเล็กๆทำไม่ได้
4. การขนส่งในปริมาณมาก
การส่งกล่องเดียวผ่านบริษัทขนส่ง อาจมีค่าใช้จ่าย 200 บาท การส่ง 1,000 กล่อง ด้วยรถบรรทุกอาจมีค่าใช้จ่ายรวม 20,000 บาท ซึ่งคิดเป็นเพียง 20 บาทต่อกล่อง นั่นคือเหตุผลที่ Amazon และ Shopee สามารถเจรจาเกี่ยวกับอัตราค่าจัดส่งที่ถูกกว่าร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กได้
5. เส้นโค้งแห่งการเรียนรู้
ช่างตัดเสื้อที่ตัดเสื้อเชิ้ตตัวแรกอาจใช้เวลา 3 ชั่วโมง หลังจากตัดไปแล้ว 100 ตัว เขาจะเรียนรู้วิธีการที่เร็วขึ้น และใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงต่อตัว โดยเหตุผล ก็คือ การผลิตที่มากขึ้นจะลดต้นทุนต่อหน่วยผ่าน ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ในกระบวนการทำงาน
6. การวิจัยและพัฒนา
บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เมื่อพวกเขาขายผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้หลายล้านหน่วย ต้นทุน R&D เหล่านั้นจะถูกตัดแบ่งไปในแต่ละหน่วย ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Apple หรือ Samsung ใช้เงินพันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาชิปประมวลผลรุ่นใหม่ แต่เมื่อพวกเขาขายโทรศัพท์ได้ 100 ล้านเครื่อง ต้นทุนการพัฒนาชิปต่อเครื่องก็จะเหลือเพียงเล็กน้อย ทำให้พวกเขาสามารถลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง
7. การสร้างเครือข่ายพื้นฐาน
อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น สาธารณูปโภคมีต้นทุนคงที่สูงมาก ในการสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้ว การให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งราย แทบไม่มีต้นทุนเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตน้ำประปา ต้องลงทุนมหาศาลในการวางเครือข่ายท่อส่งน้ำทั่วประเทศ แต่การส่งน้ำให้กับบ้านหลังที่ 10,000 มีต้นทุนเพิ่มเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการวางท่อทั้งระบบ
8. การออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน
บริษัทขนาดใหญ่ที่ผลิตสินค้าหลายชนิด สามารถใช้ส่วนประกอบ (Component) ชิ้นเดียวกันในหลายผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อส่วนประกอบนั้นๆให้สูงขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนลดจากการซื้อจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อาจใช้ชิ้นส่วนเดียวกัน เช่น แพลตฟอร์มตัวถัง (Chassis Platform) หรือเครื่องยนต์เดียวกัน ในรถยนต์หลายๆรุ่น (เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล SUV รถตู้) ทำให้พวกเขาสั่งซื้อชิ้นส่วนนั้นในปริมาณที่สูงมาก และได้รับส่วนลดมหาศาลจากซัพพลายเออร์
โดยสรุปแล้ว “หลักการประหยัดจากขนาด” (Economies of Scale) คือ กลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการครองตลาดของบริษัทขนาดใหญ่ และสิ่งนี้เองจะช่วยให้ธุรกิจสามารถ “ลดต้นทุน” เสนอ “ราคาที่ถูกลง” และ “นำไปลงทุนต่อยอด” เพื่อการเติบโตได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลักการนี้ก็สร้างความท้าทายให้กับบริษัทขนาดเล็ก และก่อให้เกิดความเสี่ยงในการรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปในตลาด และสำหรับผู้ประกอบการในบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก ที่แม้ว่าคุณจะไม่อาจแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ด้วยขนาดที่ใหญ่โต แต่คุณสามารถชนะได้ด้วยการเป็น “ธุรกิจที่ว่องไว มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Niche)” และมีความ “ใกล้ชิดกับลูกค้า” มากกว่าได้นั่นเอง