Eco-Friendly_Background

ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าธุรกิจต่างก็มุ่งไปในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) เนื่องจากแนวโน้มหลายๆอย่างจากทั้งสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้น หลายๆธุรกิจพยายามสร้างแบรนด์ของตัวเองให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์แห่งความยั่งยืน (Sustainable Brand) ซึ่งแน่นอนครับว่ามีทั้งความต้องการจะช่วยสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง และการทำเพื่อตามกระแสของความเปลี่ยนแปลง

ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสแต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อผู้บริโภคตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ความคาดหวังของพวกเขาต่อแบรนด์ ที่พวกเขามีความเกี่ยวข้องด้วยก็เปลี่ยนแปลงไป โดยแบรนด์ที่นำแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้จะได้รับความไว้วางใจ (Trust) ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) และการเติบโตในระยะยาว (Long-Term Growth) และหากธุรกิจต้องการสร้างความเป็น Sustainable Brand หรือเปลี่ยนภาพลักษณ์ของการทำธุรกิจใหม่ ควรจะต้องทำอย่างไรเพื่อไปสู่ความเป็น Eco-Friendly ในบทความนี้อาจจะมีคำตอบให้กับธุรกิจของคุณครับ

🌱 การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนคืออะไร (Sustainable Branding)

การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน (Sustainable Branding) คือ กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) ที่ไม่เพียงแต่มอบมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) และสังคม (Society) อีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องของการปรับวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) ค่านิยมหลัก (Core Values) และการกระทำของแบรนด์ (Action) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมาย คือ การสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่าแบรนด์ของคุณ มุ่งมั่นในแนวทางปฏิบัติที่มีจริยธรรม (Ethical) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly) ที่ไม่ใช่แค่ในข้อความที่สื่อสารออกไป แต่รวมถึงทุกการตัดสินใจที่แบรนด์ทำทั้งหมด โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

  • ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย (Purpose-Driven)
    โดยแบรนด์ที่ยั่งยืนจะมีรากฐานมาจาก จุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่เหนือผลกำไร แบรนด์เหล่านี้มุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างจริงจัง
  • ความโปร่งใส (Transparency)
    การดำเนินงาน การจัดหาวัตถุดิบ และการริเริ่มโครงการด้านความยั่งยืน ต้องมีการเปิดเผยให้สาธารณชนด้วยความซื่อสัตย์ (Honest) ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงที่แบรนด์กำลังทำ
  • ความมุ่งมั่นระยะยาว (Long-Term Commitment)
    ความยั่งยืนไม่ใช่แคมเปญการตลาดแบบครั้งเดียวจบ หรือโครงการที่ทำขึ้นแบบผิวเผิน แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของแบรนด์ในระยะยาว (Long-Term Strategy)
AI_Generated_Image_of_Eco-Friendly_Interior_Design_Shop

แบรนด์ที่ยั่งยืนมุ่งมั่นที่จะสร้างมูลค่า ที่ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพนักงาน ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ และโลกโดยรวมอีกด้วยด้วย ซึ่งมันก็มีความสำคัญกับบริบทของโลกยุคนี้ เช่น

  1. ผู้บริโภคต้องการแบรนด์ที่มีจริยธรรม (Ethical Brands)
    • ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
      ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาผู้บริโภคตระหนักถึง ผลกระทบของการตัดสินใจซื้อของตนเองต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่าผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 66% เต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการจากแบรนด์ที่มุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการพิจารณาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emissions) การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม (Ethical Sourcing) และการลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด (Minimal Waste)
    • อิทธิพลของกลุ่ม Millennials (Gen Y) และ Gen Z
      คนรุ่นเหล่านี้ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ผู้บริโภคอายุน้อยจำนวนมากมองหาแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง (Personal Values) โดยมักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมของพวกเขา
  1. แรงกดดันจากนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแล (Investor and Regulatory Pressure)
    • การลงทุนแบบ ESG
      นักลงทุนให้ความสำคัญกับบริษัทที่ปรับธุรกิจ ให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG มากขึ้น ธุรกิจที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนอาจพบว่า ยากต่อการดึงดูดการลงทุนหรือเงื่อนไขสินเชื่อที่ดี
    • กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น
      รัฐบาลทั่วโลกกำลังออกกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emissions) การจัดการของเสีย (Waste Management) แรวมถึงแนวทางการปฏิบัติแรงงานที่มีจริยธรรม (Ethical Labor Practices) การไม่นำแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้ อาจทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงิน
  1. ความได้เปรียบทางการแข่งขันและความภักดี (Competitive Advantage and Loyalty)
    • ความแตกต่าง
      ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนั้นความยั่งยืน สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความแตกต่าง โดยแบรนด์ที่นำความยั่งยืนมาใช้ จะมีความได้เปรียบในการดึงดูดความภักดีจากลูกค้า และสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
    • ความภักดีต่อแบรนด์
      งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าแบรนด์ที่ยั่งยืน มีแนวโน้มที่จะสร้างความภักดีของลูกค้าที่แข็งแกร่งกว่า เพราะแบรนด์เหล่านี้ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ผลกำไร เมื่อแบรนด์แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ (Sincerity) ในความพยายามด้านความยั่งยืน ก็มักนำไปสู่ความผูกพันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งขึ้นกับลูกค้า

🔑 หลักการของ Sustainable Branding

การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่การทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการปรับทุกแง่มุมของแบรนด์ ให้สอดคล้องกับหลักการของความยั่งยืน เรามาดูกันครับว่า หลักการสำคัญของการสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนมีอะไรบ้าง

1. สร้างอัตลักษณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย (Purpose-Driven Identity)

การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนเริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน (Clear Purpose) แบรนด์ที่นำความยั่งยืนมาเป็นจุดมุ่งหมายหลัก ต้องอุทิศตนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จุดมุ่งหมายนี้ควรไปไกลกว่าการทำเงิน ที่ควรถ่ายทอดถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) หรือความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน (Community Well-Being)

ตัวอย่างเช่น Patagonia เป็นกรณีศึกษา (Case Study) ที่คลาสสิกที่ผมมักจะหยิบยกมาใช้ ในเรื่องของแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย ที่สร้างขึ้นจากกิจกรรมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อัตลักษณ์ของแบรนด์เชื่อมโยงกับความมุ่งมั่นในการปกป้องโลก และพวกเขาสนับสนุนให้ลูกค้าซื้อสินค้าน้อยลง และซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของตนเอง แทนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอยู่เสมอ

patagonia-advertising

Image Source: Patagonia.com


2. ความสม่ำเสมอในทุกช่องทาง (Consistency Across Touchpoints)

แบรนด์ที่ยั่งยืนต้องมีความสม่ำเสมอ ในแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนในทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการบริการลูกค้า ทุกส่วนของธุรกิจควรสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อความยั่งยืน ซึ่งหมายถึงการทำให้มั่นใจว่าการตลาด (Marketing) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และผลิตภัณฑ์ (Products) ที่นำเสนอทั้งหมด สอดคล้องกับค่านิยมหลัก (Core Values) ของคุณ

ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์มุ่งมั่นที่จะลดขยะ ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากเกินความจำเป็น หรือใช้วัสดุที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ความขัดแย้งใดๆที่เกิดขึ้นระหว่างการสื่อสาร ด้านความยั่งยืนของแบรนด์กับการปฏิบัติจริง อาจนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจและความสงสัยของลูกค้าได้ เช่น IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับโลกที่มีเป้าหมายที่จะเป็นธุรกิจแบบหมุนเวียน (Circular Business) ภายในปี 2030 โดยการนำวัสดุทั้งหมดในผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล พวกเขาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม้ไผ่และไม้รีไซเคิลในเฟอร์นิเจอร์ และพยายามลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์

Video Source: https://youtu.be/fpciI5SRO9E


3. ความแท้จริงและความโปร่งใส (Authenticity and Transparency)

ความแท้จริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน แบรนด์ต้องซื่อสัตย์และโปร่งใสเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของตน ไม่ว่าจะเป็นในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การจัดหาผลิตภัณฑ์ (Product Sourcing) หรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) ลูกค้ามองหาความโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ และการฟอกเขียว (Greenwashing) หรือการกล่าวอ้างเรื่องความยั่งยืนที่ทำให้เข้าใจผิด สามารถทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างที่ดี คือ แบรนด์ Everlane ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่อง “ความโปร่งใสอย่างถึงที่สุด” โดยแบรนด์เปิดเผยรายละเอียดต้นทุนของผลิตภัณฑ์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของกระบวนการผลิต ทำให้ผู้บริโภคเห็นภาพรวมทั้งหมดว่า ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาผลิตขึ้นมาอย่างไร

Everlane_Reveals_Transparency

Image Source: https://www.buzzfeednews.com/article/sapna/everlane-reveals-its-factories-in-push-for-radical-retail-tr


4. ความมุ่งมั่นระยะยาว (Long-Term Commitment)

ความยั่งยืนไม่ใช่แค่แคมเปญการตลาดระยะสั้น หรือโครงการที่ริเริ่มขึ้นแบบชั่วคราว แบรนด์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาว ต่อแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืน โดยแบรนด์อย่าง L’Oréal บริษัทเครื่องสำอางและความงามระดับโลกที่มีโครงการ “L’Oréal for the Future” ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาว ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจให้มีความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ภายในปี 2025 และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

L'Oréal_for_the_Future

Image Source: https://www.loreal-paris.com.hk/en-hk/loreal-for-the-future


5. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Inclusivity)

การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนไม่ได้มีแค่เรื่องของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมของพนักงาน คู่ค้าทางธุรกิจ และชุมชนรอบๆ การสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนจึงเกี่ยวข้องกับการรับฟัง และตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด แบรนด์อย่าง Ben & Jerry’s เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการยึดหลักการนี้ เนื่องจากพวกเขาทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้มั่นใจถึงแนวทางปฏิบัติที่มีจริยธรรม การใช้ส่วนผสมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการค้าที่เป็นธรรม สนับสนุนประเด็นด้านความยุติธรรมทางสังคม และการให้พนักงานและชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ทำให้ Ben & Jerry’s สร้างฐานลูกค้าที่ภักดีได้อย่างยาวนาน

Ben-Jerry’s-Campaign

Image Source: http://benjerry.com/

🧭 กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ไปสู่ความเป็น Eco-Friendly Brand

การสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนต้องอาศัยแนวทางเชิงกลยุทธ์ เรามาดูการกำหนดกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่จะช่วยให้คุณปรับแบรนด์ของคุณสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนกันครับ

1. กำหนดจุดมุ่งหมายที่ยั่งยืนของแบรนด์ (Sustainable Purpose)

เริ่มต้นด้วยการกำหนดจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อความยั่งยืน โดยลองถามตัวเองว่า “คุณต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโลก” “แบรนด์ของคุณทำให้โลกดีขึ้นได้อย่างไร” จุดมุ่งหมายของคุณควรเป็นของแท้และนำไปปฏิบัติได้จริง โดยขับเคลื่อนการตัดสินใจในทุกส่วนของธุรกิจของคุณ

ตัวอย่างเช่น จุดมุ่งหมายของ The Body Shop มีรากฐานมาจากการส่งเสริมความงามอย่างมีจริยธรรม โดยการจัดหาส่วนผสมที่เป็นธรรม สนับสนุนสิทธิสัตว์ และสนับสนุนประเด็นทางสังคมรวมถึงสิ่งแวดล้อม

the-body-shop-ethical

Image Source: https://marketingclubimi.wordpress.com/2018/08/27/the-body-shop-not-just-any-regular-shop/


2. พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Products & Services)

ประเมินผลิตภัณฑ์และบริการของคุณเพื่อให้แน่ใจว่า สอดคล้องกับเป้าหมายและพันธกิจด้านความยั่งยืน โดยพิจารณาวัสดุที่ใช้ กระบวนการผลิต และวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น

  • ใช้วัสดุรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ หรือนำแนวคิดการอัพไซเคิล มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดของเสีย
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของคุณไ ด้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนาน และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้

ตัวอย่างเช่น TOMS ที่ผสานรวมความยั่งยืนโดยใช้วัสดุรีไซเคิล และโดยการสนับสนุนชุมชนด้วยรูปแบบ One for One ที่มอบรองเท้าให้กับผู้ที่ต้องการสำหรับทุกคู่ที่ขายได้

toms-one-for-one

Image Source: https://hauteliving.com/2015/11/find-out-how-toms-is-saving-the-world-one-shoe-at-a-time/592060/


3. นำบรรจุภัณฑ์และการออกแบบที่ยั่งยืนมาใช้ (Sustainable Packaging & Design)

บรรจุภัณฑ์เป็นหนึ่งในด้านที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด ของความพยายามด้านความยั่งยืนของแบรนด์ โดยใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ หรือทำปุ๋ยหมักได้ คุณควรหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์ที่มากเกินความจำเป็น และลดการใช้พลาสติกลง นอกจากนี้ให้พิจารณาเปลี่ยนไปใช้ โซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบดิจิทัล (Digital-First Packaging Solutions) สำหรับสื่อการสื่อสารหรือฉลากผลิตภัณฑ์ของคุณ โดยไม่ต้องพิมพ์อะไรเป็นจำนวนมากเหมือนอดีต เช่น

  • การพิมพ์ QR Code บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคสแกนเพื่อเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เช่น โปรโมชั่น วิดีโอ หรือแม้แต่การตรวจสอบความถูกต้องของสินค้า
  • การฝังชิป NFC ในบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคแตะโทรศัพท์เพื่อรับข้อมูล โปรโมชั่นพิเศษ หรือประสบการณ์แบบ Interactive Experience
  • การใช้เทคโนโลยี AR ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสแกนและเห็นภาพเสมือนจริงเพิ่มเติม เช่น วิธีการใช้งาน เรื่องราวเบื้องหลังผลิตภัณฑ์ หรือเกมสนุกๆ

ตัวอย่างเช่น Lush Cosmetics มีชื่อเสียงในแนวทางการใช้บรรจุภัณฑ์น้อยที่สุด โดยมักใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้สำหรับผลิตภัณฑ์ของตน

Lush-Cork-Packaging

Image Source: https://www.greenqueen.com.hk/


4. สร้าง Green Visual Identity

ออกแบบองค์ประกอบทางภาพ (Visual) ของแบรนด์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืน ตั้งแต่โลโก้ เว็บไซต์ งานโฆษณา ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ ทุกองค์ประกอบของภาพควรสะท้อนถึง จิตวิญญาณที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ เช่น

  • ใช้สีธรรมชาติ เช่น สีเขียว สีน้ำตาล และสีฟ้า
  • ใช้พื้นผิวและการออกแบบที่สื่อถึงความเรียบง่าย ความบริสุทธิ์ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างเช่น Seventh Generation ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่ใช้ภาพและสีที่เป็นธรรมชาติ เพื่อสื่อถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน

Photo_of_Seventh_Generation_Banner

Image Source: https://www.facebook.com/SeventhGenerationSingapore


5. เล่าเรื่องราวความยั่งยืนที่ที่แท้จริง (Authentic Sustainability Story)

แบ่งปันเรื่องราวของคุณกับลูกค้าผ่าน Content Marketing ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบทความ วิดีโอ หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ด้วยการเล่าเรื่องราวความยั่งยืนของแบรนด์ รวมถึงความท้าทายที่คุณเผชิญ การเปลี่ยนแปลงที่คุณกำลังทำ และผลกระทบที่คุณกำลังสร้างให้กับโลกใบนี้

ตัวอย่างเช่น แคมเปญ “Worn Wear” ของ Patagonia สนับสนุนให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์มือสอง ซ่อมแซมเสื้อผ้า หรือรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และสื่อสารถึงความมุ่งมั่นในการลดของเสียของพวกเขา

Video Source: https://youtu.be/4IyTXRfnYmQ


6. การรับรองและสร้างความไว้วางใจ (Certified & Build Trust)

พิจารณาถึงเรื่องการได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Fair Trade, CarbonNeutral, B Corp หรือ LEED เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคุณต่อความยั่งยืน การรับรองเหล่านี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Credibility) และความไว้วางใจ (Trust) ให้กับข้อกล่าวอ้างด้านความยั่งยืนของแบรนด์ โดยแบรนด์ควรแสดงใบรับรองเหล่านี้ ให้เห็นอย่างเด่นชัดบนผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ และสื่อการตลาดของคุณ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าแบรนด์ของคุณมีความยั่งยืนอย่างแท้จริง

Certified_B_Corp

Image Source: https://www.our-trace.com/blog/b-corp-certification-carbon-neutral


🧭 ภาพลักษณ์ของการออกแบบอย่างยั่งยืน (Sustainable Brand Image & Design)

การสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยั่งยืนเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง เรามาดูกันครับว่าเราจะสร้างแบรนด์ที่โดนใจผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านการออกแบบและสร้างภาพลักษณ์ ได้อย่างไร

1. การเลือกใช้ตัวอักษร (Typography)

การเลือกตัวอักษรมีผลต่อความรู้สึก และภาพลักษณ์โดยรวมของแบรนด์ โดยความเรียบง่ายและความชัดเจนของตัวอักษร จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของความน่าเชื่อถือ ความตรงไปตรงมา และความใส่ใจในรายละเอียด การหลีกเลี่ยงตัวอักษรที่หวือหวาหรือมีรายละเอียดมากเกินไป จะช่วยให้ข้อความนั้นสื่อสารได้ง่าย และไม่เบี่ยงเบนความสนใจจากเนื้อหาหลักที่ต้องการสื่อถึงความยั่งยืน นอกจากนี้ การเลือกใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดิจิทัล ก็ยังแสดงถึงความใส่ใจต่อผู้บริโภคอีกด้วย

Coca_Cola’s_PlantBottle

Image Source: https://www.webfx.com/blog/marketing/sustainable-marketing-examples/

2. การใช้ภาพ (Imagery)

ภาพที่ใช้ควรสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและความยั่งยืน อาจเป็นภาพของวัตถุดิบจากธรรมชาติ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ หรือแม้แต่ภาพที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่แบรนด์มีต่อโลก เช่น การอนุรักษ์ป่าไม้ การลดมลพิษ หรือการสนับสนุนชุมชน การใช้ภาพถ่ายจริงแทนภาพกราฟิกที่ดูประดิษฐ์จนเกินไป จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของความแท้จริงและความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ การแสดงให้เห็นถึง “เรื่องราว” เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ผ่านภาพ เช่น ที่มาของวัตถุดิบ หรือผู้คนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิต จะช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคได้มากขึ้น

NATURE-CAMPAIGN

Image Source: https://www.voguebusiness.com/story/sustainability/anti-overconsumption-a-new-high-fashion-campaign-is-selling-nature


3. น้ำเสียงในการสื่อสาร (Tone of Voice)

การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนควรเป็นไปในเชิงบวกและสร้างสรรค์ แทนที่จะเน้นย้ำปัญหาหรือทำให้ลูกค้ารู้สึกผิด ที่ไม่ได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควรเน้นให้เห็นถึงโอกาสและผลดีที่ลูกค้าจะได้รับ จากการสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจความยั่งยืน การน้ำเสียงที่อบอุ่นและเป็นมิตร จะช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและความไว้วางใจ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน เกี่ยวกับความพยายามด้านความยั่งยืนของแบรนด์ จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจและเห็นคุณค่า นอกจากนี้ การสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภครู้สึกว่า พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ผ่านการสนับสนุนแบรนด์ของคุณ ก็จะช่วยสร้างความภักดีและความสัมพันธ์ระยะยาวได้

Patagonia_Trade_In_Project

Image Source: Patagonia.com


4. การใช้สี (Color Palette)

สีมีพลังในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การเลือกใช้สีที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยั่งยืน โดยสีเขียวมักถูกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ความสดชื่น และความยั่งยืน สีน้ำตาลสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ความอบอุ่น และความน่าเชื่อถือ สีฟ้าอ่อนอาจสื่อถึงความสะอาด ความโปร่งใส การใช้โทนสีเหล่านี้ร่วมกันอย่างลงตัว จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ทางภาพ (Visual Identity) ที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)

Sustainability_Color_Palette_Example_Pottery_Barn_X_Sherwin_Williams

Image Source: https://www.bhg.com/pottery-barn-x-sherwin-williams-paint-palette-2023-7509216

5. สัญลักษณ์และโลโก้ (Symbols and Logo)

โลโก้และสัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) การออกแบบที่สามารถสื่อถึงคุณค่า (Core Values) และความมุ่งมั่น (Commitment) ของแบรนด์ต่อความยั่งยืนได้ โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายมากมาย ด้วยการใช้รูปทรงที่เรียบง่ายและสื่อความหมายชัดเจน จะช่วยให้จดจำได้ง่ายและสร้างความรู้สึก ที่สอดคล้องกันในทุกช่องทางการสื่อสาร รวมถึงการใช้สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ หรือวงจรชีวิตก็ยังช่วยเน้นย้ำถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

Example_of_Sustainability_Logos_and_Symbols

Image Source: https://dekra-sustainability-magazine.com/en/management-governance/globally-connected-and-responsible/


6. วัสดุและการพิมพ์ (Materials and Printing)

การเลือกใช้วัสดุและการพิมพ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง การใช้กระดาษรีไซเคิลช่วยลดการตัดต้นไม้ การใช้หมึกพิมพ์จากพืชช่วยลดการปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตราย การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้จะช่วยลดปริมาณขยะ การใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อความยั่งยืนในระดับปฏิบัติ

Example_of_Sustainability_Printing_Materials

Image Source: https://www.linemark.com/the-rise-of-sustainable-printing-eco-friendly-materials-and-practices/


7. รูปแบบและการจัดวาง (Layout and Composition)

การออกแบบที่เน้นความเรียบง่ายและมีพื้นที่ว่าง (Whitespace) ช่วยให้สื่อสารข้อความได้อย่างชัดเจน และสร้างความรู้สึกสบายตา การจัดวางที่เป็นระเบียบยังสื่อถึงความเป็นมืออาชีพ และความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สอดคล้องกับแนวคิดของความยั่งยืน ที่มักให้ความสำคัญกับความมีประสิทธิภาพและความรับผิดชอบ

Liquibox-Sustainability-Report

Image Source: https://www.liquibox.com/


8. ประสบการณ์ของแบรนด์โดยรวม (Overall Brand Experience)

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยั่งยืนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกแบบภายนอก แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ทั้งหมดที่ลูกค้าได้รับ การออกแบบร้านค้าที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน การให้บริการลูกค้าด้วยความใส่ใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับคุณค่าด้านความยั่งยืน

H&M_Sustainable_Store_Design

Image Source: https://www.drapersonline.com/topics/sustainable-fashion/latest-developments-in-sustainable-store-design


การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน (Sustainable Branding) เป็นมากกว่าแค่กลยุทธ์ทางการตลาด แต่เป็นการสะท้อนถึงค่านิยมของแบรนด์ และความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวก การสร้างแบรนด์โดยมีพื้นฐานมาจากความยั่งยืน ไม่เพียงแต่จะเป็นการปกป้องโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับลูกค้าของคุณ และสร้างความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวนั่นเอง

Share to friends


Related Posts

ความเข้าใจผิดระหว่างการสร้างแบรนด์ (Branding) กับการสร้างธุรกิจ (Building a Business)

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding) แนวโน้มการสร้างแบรนด์ (Branding Trends) กันมากขึ้น และเรามักจะเห็นหลายๆคอร์สเรียนออนไลน์ที่พูดถึงเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding) แต่หลายๆครั้งก็กลายเป็นเนื้อหาที่ดูเกี่ยวข้องกับการสร้างธุรกิจ (Building a Business) แล้วนำคำว่าแบรนด์เข้าไปผสมผสานอยู่ในนั้นเสียมากกว่า สิ่งนี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าธุรกิจ (Business) และแบรนด์ (Brand) คือสิ่งเดียวกันทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย


แนวคิด CSV กับการทำธุรกิจแบบยั่งยืน

Creating Shared Value หรือ CSV ได้กลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model) ที่สำคัญสำหรับยุคนี้ไปแล้ว ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับธุรกิจของคุณ โดยมีเป้าหมายนั่นก็คือการทำธุรกิจแบบยั่งยืนครับซึ่งสามารถทำทั้งกำไรและสิ่งดีๆควบคู่กันไปได้ โดยหากจะบอกว่ามันเป็นการยกระดับจากการทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ Corporate Social Responsibility (CSR)


10 แบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน

แนวคิดการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน (Sustainable Brand) และการสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจได้ทวีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเราจะเห็นข่าวสารจากสื่อต่างๆว่าหลายๆแบรนด์นั้นขยับตัวในการปรับเปลี่ยนแนวคิดมาสู่ความยั่งยืน ทั้งการทำเพื่อประโยชน์ของสังคม รวมไปถึงการปรับการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแฟชั่นประเภทเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ในแต่ละปีนั้น



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์