
สังคมหลายๆประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ไม่ใช่จากสงครามหรือเรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาวะที่เรียกว่า “การปะทะระหว่างเจเนอเรชัน” (Generational Disruption) โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ที่เกิด และเติบโตในโลกที่อยู่กับดิจิทัลเป็นหลัก (Digital-first) ซึ่งกำลังท้าทายวิธีในการนิยามอำนาจ (Authority) ศีลธรรม (Morality) และวัฒนธรรม (Culture) ในมุมมองใหม่ๆ
เราจะเห็นว่านโยบายรัฐบาลในหลายประเทศๆ ทั้งในเรื่องของประเพณีทางวัฒนธรรม หรือแม้แต่บรรทัดฐานทางสังคม ต้องเผชิญกับปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ ซึ่งเกิดภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังมีประกาศอะไรออกมา ที่เป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เวลาหลายสิบปีในการพัฒนา แต่ตอนนี้กลับพังทลายลงในเวลาเพียงไม่กี่วันหรือเร็วกว่านั้น ภายใต้แรงผลักดันของความรู้สึกร่วมแบบหมู่คณะ (Public Sentiment) อย่างเช่น การประท้วงด้านสิ่งแวดล้อมที่นำโดยเยาวชน การต่อต้านการปฏิรูปการศึกษา หรือขบวนการออนไลน์เพื่อต่อต้านกฎหมายบางอย่างในหลายๆประเทศ โดยทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นถึงแบบแผนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพราะเมื่อคนรุ่นใหม่ไม่เห็นด้วยก็จะเกิดการต่อต้าน ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เปิดเผย และเต็มไปด้วยอารมณ์ รวมถึงความรู้สึกร่วมอย่างเต็มที่
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คือ “การจัดแนวทางวัฒนธรรมใหม่” (Cultural Realignment) ในกฎเกณฑ์เรื่องความเคารพ ความเชื่อ และอำนาจที่นำทางคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่แบบเรียลไทม์ในแต่ละวัน และในบทความนี้ผมได้รวบรวมภาพของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สรุปมาจากบทความต่างๆอย่าง “A Point of View: Societal Changes by Generations” โดย McKenzie Reed รวมไปถึง “Measuring Differences in Generational Values” โดย Erin Heys และ “Navigating Cultural and Generational Changes” โดย Kallol Mazumdar ที่มุ่งเน้นให้เข้าใจเหตุผลที่มาที่ไปว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับบรรทัดฐานใหม่ในสังคมทั่วโลก และเราควรจะเรียนรู้และปรับตัวกันอย่างไรครับ

การผงาดขึ้นของชุดความคิดคนรุ่นใหม่ (New Generation Mindset)
คนรุ่นใหม่ซึ่งมักหมายถึง Gen Z และ Gen Alpha เติบโตขึ้นมาพร้อมกับการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด และการแสดงออกที่ไม่ถูกจำกัด โดยพวกเขามองว่าตนเองเป็น “พลเมืองโลก” (Global Citizen) มากกว่าการเป็นเพียงประชากรภายใต้ระบบหรือวัฒนธรรมเดียว ค่านิยมของพวกเขาเน้นที่ “เสรีภาพ” (Freedom) “ความยุติธรรม” (Fairness) “การมีส่วนร่วม” (Inclusion) และ “ความโปร่งใส” (Transparency) โดยพวกเขามีคำถามต่อการจัดลำดับชั้น (Hierarchy) และเรียกร้องความรับผิดชอบ (Accountability) ที่ไม่เพียงแต่จากผู้นำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถาบันต่างๆ ภาคธุรกิจ และสื่อทุกรูปแบบอีกด้วย

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาได้รับอิทธิพลจากค่านิยม และความเคลื่อนไหวจากทั่วโลก ที่ไม่ได้ยึดติดกับกฎเกณฑ์ของชาติใดชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียกร้องในระดับโลก เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน และการที่พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย ทำให้พวกเขาไม่เชื่อถืออำนาจที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไป พวกเขาคาดหวังว่าผู้นำ สถาบัน และบริษัท จะต้องเปิดเผยการกระทำ และรับผิดชอบต่อความผิดพลาดอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมเดิมที่อาจยอมรับ “ความเงียบ” (Silence) ของผู้มีอำนาจ โดยคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับ “คุณสมบัติและคุณค่า” (Merit and Value) มากกว่า “ตำแหน่งหรืออาวุโส” (Rank or Seniority) พวกเขาจึงกล้าที่จะตั้งคำถามกับระบบโครงสร้างที่แข็งทื่อ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน สถาบันการศึกษา หรือการเมือง
หนึ่งจุดที่น่าสนใจที่สุด ก็คือ พวกเขาไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมที่สืบทอดกันมา เช่น “ทำตามผู้ใหญ่” แต่ใช้ “ความรู้สึกร่วม” (Collective Sentiment) ในกลุ่มเพื่อนหรือสังคมออนไลน์ เป็นตัวกำหนดว่าอะไรคือ “สิ่งที่ถูกต้อง” (The “Right” thing to do) หากคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการกระทำนั้น “ไม่จริงใจ” (Inauthentic) หรือ “ไม่ยุติธรรม” (Unfair) มันจะกลายเป็นความผิดทางศีลธรรมทันที ทำให้เกิดการตอบสนองที่รวดเร็วและรุนแรงมาก ทั้งในรูปแบบการคว่ำบาตรสินค้า (Boycott) หรือการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ได้คว่ำบาตรแบรนด์แฟชั่นใหญ่ๆ ที่ใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม ในขณะที่ในประเทศญี่ปุ่น นักกิจกรรมวัยหนุ่มสาวได้ท้าทายบทบาททางเพศ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าแตะต้องไม่ได้อย่างเปิดเผย
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก็คือ คำจำกัดความของ “สิ่งที่ถูกต้อง” (Right Thing) ของพวกเขามาจาก “การพูดคุยกับเพื่อน” (Peer Conversation) ที่ไม่ใช่จากขนบธรรมเนียมประเพณี โดยพวกเขาเชื่อว่า “ความจริงใจทางอารมณ์” (Emotional Authenticity) มีค่าเท่ากับ “ความถูกต้องทางศีลธรรม” (Moral Correctness) ถ้าพวกเขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม มันก็คือ ความไม่ยุติธรรม ตรรกะทางอารมณ์นี้เองที่ผลักดันพฤติกรรมส่วนรวมของพวกเขา ทั้งบนโลกออนไลน์และออฟไลน์

เมื่ออำนาจพบกับประชาธิปไตยยุคดิจิทัล (Digital Democracy)
รัฐบาลและสถาบันต่างๆถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ “อำนาจแนวดิ่ง” (Vertical Power) โดยอำนาจนั้นจะไหลจากบนลงล่าง เช่น (รัฐบาลสู่ประชาชน และผู้บริหารสู่พนักงาน) แต่การสื่อสารในปัจจุบันดำเนินไปในลักษณะ “แนวราบ” หรือ “อำนาจแนวราบ” (Horizontal Power) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ที่อำนาจมาจากการรวมตัว และการสื่อสารระหว่างคนที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้ “แพลตฟอร์ม” กลายเป็นแหล่งรวมอำนาจใหม่ เพราะเป็นที่ที่เสียงของมวลชนรวมตัวกันได้

ตัวอย่างในประเทศฝรั่งเศส เมื่อมีการเสนอการปฏิรูปบำนาญ พลเมืองวัยหนุ่มสาวไม่ได้รอคำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาจัดการประท้วงผ่าน TikTok และ Telegram ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย ขบวนการเยาวชนใช้มีม (Memes) และวิดีโอไวรัล (Viral Video) เพื่อท้าทายนโยบายรัฐบาล ที่สร้างแรงกดดันสาธารณะได้เร็วกว่าการถกเถียงอย่างเป็นทางการ
ประชาธิปไตยยุคดิจิทัล (Digital Democracy) ในรูปแบบใหม่นี้หมายความว่า ทุกคนสามารถท้าทายอำนาจได้ ไม่ใช่แค่ผ่านการเลือกตั้งแต่ผ่าน “การมีส่วนร่วม” (Engagement) แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีโอกาสท้าทายอำนาจผ่านการมีส่วนร่วม ผ่านการกดไลค์ กดแชร์ พิมพ์คอมเมนต์ แต่ข้อเสียที่สำคัญ ก็คือ “อารมณ์ความรู้สึก” (Feelings) อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า “หลักฐานข้อเท็จจริง” (Facts) การตัดสินความถูกผิดจึงไม่ได้มาจากข้อเท็จจริง หรือการวิเคราะห์นโยบายอย่างลึกซึ้ง แต่มาจากสิ่งที่ “ติดเทรนด์” และ “เป็นที่นิยมหรือพูดถึง” ในเวลานั้น ซึ่งมักจะถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกโกรธ ความไม่พอใจ หรืออารมณ์ร่วมเป็นหลัก
บทบาทของรัฐบาลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกกฎหมาย และการบริหารประเทศเท่านั้น แต่ต้องกลายมาเป็น “นักสื่อสารและนักจัดการความรู้สึก” (Sentiment Manager) อย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพราะนโยบายที่ดีแค่ไหนก็อาจล้มเหลวได้ หากไม่สามารถเอาชนะ “การรับรู้ของสาธารณะ” (Public Perception) ที่ถูกสร้างโดยกระแสออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว

ผลกระทบของสื่อและผู้มีอิทธิพล (Media & Influencer Effect)
ในอดีตเรามีสื่อหลัก (Traditional Media) ที่มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง คอยคัดกรอง และนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง แต่วันนี้สื่อดิจิทัล (Digital Media) และโซเชียลมีเดีย (Social Media) ถูกบีบให้ทำหน้าที่เป็น “กระจกสะท้อน” (Mirror) ความรู้สึกสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้มีอิทธิพล (Influencers) ผู้สื่อข่าว (Reporters) และนักวิจารณ์ (Commentators) มักจะเลือกยืนอยู่ข้างที่สอดคล้องกับ “ความรู้สึกยอดนิยม” เพราะ “ผู้ติดตามย่อมเท่ากับอิทธิพล” และ “อิทธิพลย่อมเท่ากับรายได้” เพื่อให้ได้ยอด Engagement (เช่น ยอดไลค์ แชร์ คอมเมนต์)
ในโลกออนไลน์ “ความมีอิทธิพล” ถูกวัดด้วยจำนวนผู้ติดตามและการมีส่วนร่วม เพื่อให้ได้มาซึ่งอิทธิพลและรายได้ ผู้สร้างเนื้อหา (Content Creators) รวมถึงสื่อ (Medias) เอง จึงต้องเลือกประเด็นและใช้ภาษาที่ “ปลุกเร้าอารมณ์” หรือ “สอดคล้องกับความเชื่อ” ของกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจมองข้ามประเด็นที่ว่า เนื้อหานั้นจะถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม (ทั้งความตั้งใจและความพลั้งเผลอ)

หากเนื้อหาใด “กลายเป็นไวรัล” (Viral Content) และได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น มันก็จะถูกตีความว่า “เป็นจริง” (Fact) โดยสาธารณะอย่างรวดเร็ว แม้จะขาดหลักฐานรองรับหรือข้อมูลที่รอบด้านก็ตาม “ความดังจึงเข้ามาแทนที่ความจริง” ซึ่งเป็นอันตรายต่อกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาลและสังคมโดยรวม
ตัวอย่างในเกาหลีใต้ ดาราบางคนเลือกเข้าข้างในการถกเถียงทางการเมือง เพื่อดึงดูดความสนใจบนโลกออนไลน์ ขณะที่ในสหรัฐฯและในหลายๆประเทศ นักข่าวบนโลกดิจิทัลใช้หัวข้อข่าว ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเพื่อเรียกยอดคลิก ยอดไลค์ และการมีส่วนร่วม ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกนี้ได้เปลี่ยน “อารมณ์ให้กลายเป็นสกุลเงิน” ไปโดยปริยาย
และเมื่อโครงการของรัฐบาลรวมไปถึงภาคธุรกิจ กำลังเผชิญกับปฏิกิริยาต่อต้าน บรรดา Influencer ต่างๆ ก็จะขยายผลมันให้ดังขึ้น ที่อาจไม่ใช่เพื่อการแจ้งข้อมูลเสมอไป แต่เป็นเพื่อ “สร้างความรู้สึกร่วม” และสิ่งนี้เองที่สร้างระบบนิเวศแห่ง “การแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว” (Virality) “กำหนดความถูกต้อง” (Validity) กลายเป็นว่า “เสียงที่ดังกว่าย่อมดูเหมือนจริงกว่า” นั่นเอง

ไม่มีจุดกึ่งกลางอีกต่อไป (The Vanishing Neutral)
ในช่วงทศวรรษก่อนๆที่ผ่านมา “ความเป็นกลาง” (Neutral) ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด และดูสุขุมนุ่มลึกทางการทูต แต่วันนี้ “ความเป็นกลาง” (Neutral) อาจถูกรับรู้ว่าเป็น “ความอ่อนแอ” (Weakness) หรือ “การสมรู้ร่วมคิด” (Complicity) บุคคลสาธารณะ นักวิชาการ และภาคธุรกิจจำนวนมากพบว่า ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนมุม “หากคุณไม่แสดงจุดยืน ต่อสาธารณชนก็จะถือว่าคุณอยู่ฝ่ายตรงข้าม”

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และคุณค่าที่ชัดเจน การไม่เลือกข้างถูกมองว่าเป็นการ “ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง” เมื่อ “ความเงียบ = การสมรู้ร่วมคิด” (Silence = Complicity) โดยหากคุณเงียบ ในประเด็นทางศีลธรรมหรือสังคมที่สำคัญๆ ผู้คนมักจะสรุปว่าคุณสนับสนุนสถานะเดิม หรืออยู่ฝ่ายที่ถูกต่อต้าน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ทุกคนต้องออกมาพูดและเคลื่อนไหว
และด้วยสภาพแวดล้อมในยุคดิจิทัล จะให้รางวัลแก่ “ความเป็นขั้ว” (Polarity) ซึ่งหมายถึง การแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน (ดี/ร้าย – ถูก/ผิด) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มักจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ชัดเจน และสร้างความขัดแย้งเพราะมันกระตุ้นให้เกิด “การมีส่วนร่วม” (Engagement) สูงสุด และจะลงโทษ “ความแตกต่างเล็กน้อย” (Nuance) หรือสภาวะที่ “ไม่มีจุดกึ่งกลาง” ที่ได้เปลี่ยนการพูดคุยไปสู่การ “ดวล” (Duel) และปะทะกันบนโลกออนไลน์ ดังงนั้นเนื้อหาใดก็ตามที่ละเอียดอ่อนและเป็นกลางมักจะ “ไม่สร้างยอดคลิกหรือกลายเป็นไวรัล” จึงถูกมองข้ามไปหรืออาจถูกลงโทษไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อ “เอาชนะฝ่ายตรงข้าม” และ “ยืนยันความถูกต้องของกลุ่มตน” ซึ่งทำให้การสนทนาสาธารณะนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดและอคติ
หากเราลองพิจารณาแบรนด์ระดับโลก ในช่วงที่มีเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม “ความเงียบ” (Silence) จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเพิกเฉย ทำให้พวกเขาต้องออกแถลงการณ์สาธารณะ (Public Statement) แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะแปลกแยกกับกลุ่มอื่นๆก็ตาม และในประเทศไทยเอง Influencers ที่หลีกเลี่ยงประเด็นการเมือง ในหลายๆกรณีก็ถูกกล่าวหาว่าขี้ขลาดบ้างหรือไม่ชัดเจนบ้าง ในขณะที่ผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นก็เผชิญกับการ “คว่ำบาตร” (Boycott) จากผู้ชมฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกลายเป็นวังวนของโลกยุคใหม่ไปแล้ว
โลกดิจิทัลได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับทุกคนต้อง “เลือกข้าง” เพราะการเป็นกลางนั้นเสี่ยงเกินไป และระบบนี้ได้กัดกร่อนโอกาสในการถกเถียงอย่างมีเหตุผลลงไปอย่างมาก

การกัดกร่อนทางวัฒนธรรมและจริยธรรม (Cultural and Ethical Erosion)
คำถามที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือ เราทุกคนกำลังเป็นพยานสำคัญในการ “กัดกร่อน” (Erosion) ของค่านิยมทางวัฒนธรรมร่วม หรือ “วิวัฒนาการ” (Evolution) ของค่านิยมเหล่านั้นไปสู่สิ่งใหม่กันแน่ โดยขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “ปัญญา” (Wisdom) ตอนนี้มักถูกมองว่าเป็น “ข้อจำกัดและลำดับชั้น” (Hierarchies) ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเคารพ กลับถูกตีความใหม่ว่าเป็น “การกดขี่” (Oppression) แต่ในขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ก็ได้ทำให้สังคมมีความ “เห็นอกเห็นใจ” (Empathetic) “ยอมรับความหลากหลาย” (Inclusive) และ “ตระหนักรู้ในตนเอง” (Self-aware) มากขึ้น
การปะทะกันของมุมมองเกิดขึ้น เมื่อคนรุ่นเก่ามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ “การกัดกร่อน” (Erosion) หรือ “การล่มสลาย” (Collapse) เพราะค่านิยมและโครงสร้างอำนาจที่ตนยึดถือมานาน ถูกสั่นคลอนและถูกมองว่าเป็นแง่ลบ ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ “วิวัฒนาการ” (Evolution) หรือ “การแก้ไข“ (Correction) เพราะพวกเขาต้องการสร้างสังคมที่ยึดหลัก “ความยุติธรรม” (Fairness) ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมยังขาดอยู่

ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย บางประเทศในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง แสดงให้เห็นว่าการท้าทายไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมือง แต่ครอบคลุมถึงโครงสร้างทางสังคมที่ฝังรากลึกที่สุด เช่น ชีวิตส่วนตัว (การแต่งงาน) ระบบชนชั้น อำนาจสูงสุด และสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน และบางทีความจริงอาจอยู่ระหว่างกลางของทั้ง 2 อย่าง ซึ่งนั่นก็คือ วัฒนธรรมไม่ได้กำลังจะตายไป แต่กำลัง “ปรับตัว” (Adapt) เพื่อความอยู่รอดในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างรวดเร็ว

จากห้องเสียงสะท้อนสู่กลไกขับเคลื่อนอารมณ์ (Echo Chamber to Emotional Engine)
เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสำหรับเชื่อมโยงผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการ “ขยายอารมณ์ความรู้สึก” ให้รุนแรงขึ้นด้วย หัวใจสำคัญอยู่ที่ “อัลกอริทึม” ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูด “การมีส่วนร่วม” (Engagement) ให้มากที่สุด และการมีส่วนร่วมนี้มักเติบโตได้ดีจากเนื้อหาที่สร้าง “ความโกรธ” (Outrage) “อารมณ์ขัน” (Humor) หรือ “ความเห็นอกเห็นใจ” (Empathy) มากกว่าการวิเคราะห์ที่สงบเงียบและดูเยือกเย็น

ผลที่ตามมา ก็คือ สังคมปัจจุบันกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใน “ห้องเสียงสะท้อน” (Echo Chambers) ซึ่งผู้คนจะมองเห็นแต่เนื้อหาที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของตนเอง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด “ภาวะความเป็นขั้ว” (Polarization) ในสังคมที่เร็วขึ้นมาก และสร้าง “ภาพลวงตา” (Illusion) ว่า “ทุกคนคิดเหมือนเรา”
ตัวอย่างเช่น ในช่วงการถกเถียงเรื่อง Brexit ในสหราชอาณาจักร สื่อสังคมออนไลน์ได้สร้าง “ฟองสบู่แห่งความเห็นพ้อง” ที่ยิ่งทำให้ความแตกแยกทางความคิดรุนแรงขึ้น ขณะที่ในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆรวมถึงประเทศไทย เนื้อหาการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ก็สามารถแพร่กระจายจนเป็น “ไวรัล” ได้เร็วกว่ารายงานข้อเท็จจริงใดๆ ดังนั้น เทคโนโลยีจึงได้เปลี่ยนบทบาทจาก “เครื่องมือข้อมูล” (Information Tool) ไปสู่ “กลไกทางอารมณ์” (Emotional Engine) ซึ่งเปลี่ยนความเชื่อส่วนตัวให้กลายเป็นการต่อสู้ในที่สาธารณะ
ต้นทุนของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ เรากำลังอยู่ในโลกที่ “ความรู้สึกว่าถูกต้อง” (Feeling Right) มีความสำคัญและมีอิทธิพลมากกว่า “การเป็นผู้ที่ถูกต้อง” (Being Right) ตามข้อเท็จจริง

รูปแบบทั่วโลกที่ทุกประเทศต้องเจอ (Global Patterns, Local Faces)
แม้ว่าบริบททางวัฒนธรรมและการเมืองของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ “การปะทะระหว่างเจเนอเรชัน” (Generational Disruption) ที่เป็นคนรุ่นใหม่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างแท้จริง ขบวนการเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกัน คือ การท้าทายอำนาจและเรียกร้องความยุติธรรม โดยใช้พลังของโลกดิจิทัลในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เช่น
- ในสหรัฐอเมริกา การเคลื่อนไหวของ Gen Z ได้ปรับเปลี่ยนวาระทางการเมือง บีบให้พรรคการเมืองต้องจริงจังกับประเด็นสำคัญอย่างสุขภาพจิต ภูมิอากาศ และการยอมรับความหลากหลายมากขึ้น
- ในประเทศไทย ขบวนการออนไลน์ที่นำโดยเยาวชน ได้นิยามวิธีการที่พลเมืองถกเถียงเรื่องสถาบันหลัก รัฐบาล และความยุติธรรมทางสังคมขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นหัวข้อที่เคยถูกมองว่า ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยในที่สาธารณะ
- ในฝรั่งเศส การประท้วงบนโลกดิจิทัลที่นำโดยนักเรียนและคนงาน ได้ท้าทายการปฏิรูปแรงงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงสมดุลอำนาจใหม่ ระหว่างพลเมืองกับรัฐอย่างชัดเจน
- ในอิหร่าน หญิงสาวได้ใช้แคมเปญโซเชียลมีเดียระดับโลก เพื่อท้าทายบรรทัดฐานทางสังคม การกระทำที่กล้าหาญของพวกเธอจึงถูกขยายผล ด้วยสายตาของคนทั่วโลกบนโลกออนไลน์

ทุกประเทศต่างเผชิญกับ “กระแสเรียกร้อง” ที่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน โดยคนยุคดิจิทัลเรียกร้องที่จะถูกรับฟังมากกว่าถูกปกครอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือ แต่ละสังคมจะเลือกตอบสนองต่อกระแสนี้ด้วย “ความเข้าใจ การปรับตัว หรือการต่อต้าน” เท่านั้น ซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “สมดุลอำนาจใหม่” (New Balance of Power)

การเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Inevitable Transformation)
การปะทะระหว่างเจเนอเรชัน (Generational Disruption) ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่เป็น “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เพราะสังคมย่อมวิวัฒนาการเมื่อค่านิยม เสียงสะท้อน และวิสัยทัศน์ ที่แตกต่างกันมาปะทะกัน ความท้าทายในปัจจุบันจึงไม่ได้อยู่ที่การพยายาม “ปิดปากคนรุ่นใหม่” หรือการ “ยอมรับทุกสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง” อย่างไร้การไตร่ตรอง
สิ่งที่สังคมควรทำ คือ “การเฝ้าสังเกตและทำความเข้าใจ” อย่างลึกซึ้งว่า “อารมณ์ความรู้สึก เทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม” ผสานรวมกันอย่างไร เพื่อหล่อหลอมรูปโฉมของอนาคต เรากำลังยืนอยู่บน “ทางแยก” ที่สำคัญระหว่าง “วัฒนธรรมกับความเปลี่ยนแปลง” (Culture and Change) “ประเพณีกับการปฏิรูป” (Tradition and Transformation) “ลำดับชั้นกับความเป็นมนุษย์” (Hierarchy and Humanity)

หากเราสามารถมองข้ามความเป็นฝ่าย และอคติทางอารมณ์ไปได้ เราจะตระหนักว่า การสั่นคลอนครั้งใหญ่นี้ ไม่ใช่จุดจบ ของสังคมที่เราคุ้นเคย แต่มันคือ “จุดเริ่มต้นของจิตสำนึกร่วมรูปแบบใหม่” ที่ซึ่ง “ความจริง” (Truth) เป็นสิ่งที่ต้อง “ถูกแบ่งปันและสร้างขึ้นร่วมกัน” ไม่ใช่ถูกผู้มีอำนาจประกาศออกมาจากข้างบน และ “วัฒนธรรม” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเฝ้ารักษาและเป็นสมบัติของคนกลุ่มเดียว “ได้กลายเป็นของทุกคน” ที่มีสิทธิ์ในการกำหนดทิศทางร่วมกันนั่นเอง
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น 
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น 
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ 
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop 
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร 
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา 
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง 
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594

 
				
 
		 
		