
ในโลกของการวางแผนเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม (Strategic Planning & Innovation) โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพหรือธุรกิจที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ การหาความชัดเจน คือ กุญแจสำคัญไปสู่ความสำเร็จ โดยคุณต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นว่าคู่แข่งอยู่ตรงไหน ลูกค้าให้คุณค่ากับเรื่องอะไร และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ช่องว่างและความเป็นไปได้ใหม่ๆอยู่ตรงไหน ที่เรียกกันว่า Strategy Canvas ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญจากกรอบแนวคิดของ Blue Ocean Strategy ที่ผมจะมาสรุปวิธีใช้งานให้อ่านกันในบทความนี้ครับ

Strategy Canvas กับการหาโอกาสทางธุรกิจ
Strategy Canvas เป็นกรอบแนวคิดแบบภาพที่พัฒนาโดย W. Chan Kim และ Renée Mauborgne ในหนังสือที่ชื่อว่า Blue Ocean Strategy โดยมันช่วยให้ธุรกิจสามารถ แสดงภาพข้อเสนอในตลาดปัจจุบัน เปรียบเทียบปัจจัยสำคัญที่คู่แข่งกำลังลงทุน รวมถึงการค้นพบโอกาสในการหลีกหนีจากการแข่งขัน ด้วยการนำเสนอคุณค่าที่ไม่เหมือนใคร (Unique Value) โดย Strategy Canvas ก็มีประโยชน์ ดังนี้
- ระบุพื้นที่ที่แออัดยัดเยียดในตลาดของคุณ
- ค้นพบปัจจัยที่ลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญจริงๆ
- ระบุความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง (Unmet Needs)
หรือได้รับการบริการไม่เพียงพอ
- คิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการส่งมอบคุณค่า
- สร้างภาพตลาด “Blue Ocean”
ที่เป็นไปได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ตลาดใหม่ที่ไม่มีการแข่งขัน
เครื่องมือนี้ช่วยลดการคาดเดา และแทนที่ด้วยข้อมูลเชิงลึกเชิงกลยุทธ์ (Strategic Insight) ที่ส่งเสริมนวัตกรรมโดยการเปลี่ยนความคิดของคุณ จากการเอาชนะคู่แข่งไปสู่การทำอะไรที่แตกต่าง

Strategy Canvas ประกอบไปด้วย 2 แกน ได้แก่
- แกนแนวนอน (แกน X) ที่กำหนดปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในอุตสาหกรรมของคุณ (Key Factors)
- แกนแนวตั้ง (แกน Y) ที่ระบุระดับการนำเสนอ (จากต่ำไปสูง) สำหรับแต่ละปัจจัย
Strategy Canvas จะช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบด้วยสายตาว่า ผู้เล่นต่างๆในตลาดส่งมอบคุณค่าอย่างไรในปัจจัยการแข่งขันที่สำคัญๆ แกนแนวนอนแสดงถึง “ปัจจัยที่อุตสาหกรรมใช้ในการแข่งขัน” (Key Factors) เช่น ราคา การเข้าถึง คุณสมบัติ เทคโนโลยี หรือองค์ประกอบของการบริการ ในขณะที่แกนแนวตั้งแสดง “ระดับการนำเสนอ” (Level of Offering) สำหรับแต่ละปัจจัย โดยผู้เล่นในตลาดหรือธุรกิจแต่ละรายจะถูกพล็อตเป็น “เส้นที่ไม่ซ้ำกัน” หรือที่เรียกว่า “เส้นโค้งคุณค่า” (Value Curve) โดยเชื่อมโยงคะแนนในทุกปัจจัย
จากตัวอย่างที่เปรียบเทียบข้อเสนอ 5 ปัจจัยในอุตสาหกรรมเดียวกัน คุณอาจเห็นว่าคู่แข่งส่วนใหญ่จะรวมกลุ่มกัน ที่ค่าใกล้เคียงกันสำหรับคุณสมบัติบางอย่าง ในขณะที่แนวคิดใหม่ที่มีหนึ่งเดียวอาจแตกต่างออกไป โดยนำเสนอสิ่งที่สำคัญกว่ามาก ความแตกต่างนี้ช่วยเผยให้เห็นโซนที่แออัดยัดเยียด (Overcrowded Zones) คุณค่าที่ถูกมองข้าม (Overlooked Value) และพื้นที่ว่างเปล่า (Gaps) ที่มีศักยภาพสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ตัวอย่างวิธีใช้ Strategy Canvas สำหรับการเริ่มธุรกิจใหม่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คือ คุณกำลังออกแบบธุรกิจใหม่ด้วยการเปิดตัว Fitness Application โดยจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลของคู่แข่งด้วยการใช้ Strategy Canvas ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ระบุปัจจัยการแข่งขันหลักในอุตสาหกรรมของคุณ
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมปัจจัยทั้งหมดที่สำคัญที่สุด ต่อลูกค้าในอุตสาหกรรมของคุณ โดยปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึงราคา (Price) การเข้าถึงเทรนเนอร์ (Trainer Access) การปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) การเล่นเกม (Gamification) คุณภาพวิดีโอ (Video Quality) ฟีเจอร์เพื่อการมีส่วนร่วมของชุมชนผู้ใช้งาน (Community Features) ความหลากหลายของการออกกำลังกาย (Workout Variety) และการเข้าถึงแบบออฟไลน์ (Offline Access)
ขั้นตอนที่ 2: ให้คะแนนคู่แข่งตามปัจจัยที่กำหนด
ประเมินคู่แข่งปัจจุบัน (เช่น แอปฯ A แอปฯ B แอปฯ C) โดยการให้คะแนนว่า แต่ละรายทำได้ดีเพียงใดในแต่ละปัจจัย โดยทั่วไปจะใช้มาตราส่วน 1-10 โดยในความเป็นจริงคุณสามารถอิงคะแนนเหล่านี้ จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ บทวิจารณ์จากผู้ใช้งาน คุณสมบัติของแอปฯ และความคิดเห็นจากคนทั่วไป ตัวอย่างเช่น
- แอปฯ B ได้คะแนนสูงในด้าน คุณภาพวิดีโอ (Video Quality) และความหลากหลายของการออกกำลังกาย (Workout Variety)
- แอปฯ C มีคะแนนปานกลางในทุกด้าน
- แอปฯ A ราคา (Price) ไม่แพง แต่ขาดคุณสมบัติขั้นสูงอื่นๆ
ขั้นตอนที่ 3: กำหนด Strategy Canvas

จาก Strategy Canvas เป็นการเปรียบเทียบภาพรวม ข้อเสนอของ Fitness Application จำนวน 4 แอปฯ ได้แก่ แอปฯ A แอปฯ B แอปฯ C และ แอปฟิตเนสใหม่ที่คุณเสนอขึ้นมา โดยพิจารณาจากปัจจัยการแข่งขันหลักแปดประการ ได้แก่ ราคา (Price) การเข้าถึงเทรนเนอร์ (Trainer Access) การปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) การเล่นเกม (Gamification) คุณภาพวิดีโอ (Video Quality) ฟีเจอร์เพื่อการมีส่วนร่วมของชุมชนผู้ใช้งาน (Community Features) ความหลากหลายของการออกกำลังกาย (Workout Variety) และการเข้าถึงแบบออฟไลน์ (Offline Access) แต่ละเส้นบนกราฟแสดงถึงเส้นโค้งคุณค่าของแต่ละแอปฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแอปฯนั้นมีคะแนนดีเพียงใดในแต่ละด้าน โดยใช้มาตราส่วนจาก 1-10
แอปฯ A ทำคะแนนได้ดีในด้านราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงคุณสมบัติพื้นฐานอื่นๆ แต่ยังคงล้าหลังในด้านการปรับแต่งเฉพาะบุคคลและการเล่นเกม ในทางกลับกัน แอปฯ B โดดเด่นในด้านการปรับแต่งเฉพาะบุคคล คุณภาพวิดีโอ และความหลากหลายของการออกกำลังกาย ซึ่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า ส่วนแอปฯ C มีประสิทธิภาพที่สมดุล แต่ก็อยู่ในระดับปานกลางสำหรับปัจจัยส่วนใหญ่
ในทางตรงกันข้าม “แอปฟิตเนสตัวใหม่” (New Fitness Application) ได้รับการออกแบบมาโดยตั้งใจให้แตกต่างออกไป โดยได้คะแนนสูงอย่างสม่ำเสมอในด้านที่คู่แข่งยังให้บริการได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน การปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) การเล่นเกม (Gamification) ฟีเจอร์เพื่อการมีส่วนร่วมของชุมชนผู้ใช้งาน (Community Features) และการเข้าถึงแบบออฟไลน์ (Offline Access) ความแตกต่างที่มองเห็นได้ชัดเจนนี้ เน้นย้ำว่าข้อเสนอใหม่นี้สามารถโดดเด่นได้อย่างไร โดยการมุ่งเป้าไปที่ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และสร้างเส้นโค้งคุณค่าใหม่ (New Value Curve) ที่แตกต่างจากบรรทัดฐานของอุตสาหกรรม
ขั้นตอนที่ 4: ใช้ ERRC Framework เพื่อสร้าง New Value Curve
ในขั้นต่อไปเราจะนำ ERRC Framework หรือ Four Actions Framework (กรอบแนวคิดสี่การกระทำ) เพื่อออกแบบเส้นโค้งคุณค่าใหม่ (New Value Curve) ที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยการวิเคราะห์ว่า ปัจจัยใดที่ควรถูกกำจัดทิ้งไป (Eliminate) ปัจจัยใดที่ควรลดลงให้ต่ำกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม (Reduce) ปัจจัยใดที่ควรยกระดับให้สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม (Raise) ควรสร้างปัจจัยใหม่ใดบ้าง ที่อุตสาหกรรมไม่เคยนำเสนอมาก่อน (Create) โดยสรุปออกมาได้ ดังนี้
Action | Fitness Application |
---|---|
กำจัด (Eliminate) | ระบบราคาแบบซับซ้อน หรือการใช้ Celebrity Trainers ที่ไม่มีผลต่อการฝึกแบบเฉพาะบุคคล |
ลดระดับ (Reduce) | การพึ่งพาการสตรีมวิดีโอคุณภาพสูง ที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตแรงๆ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกพื้นที่ |
ยกระดับ (Raise) | การปรับแต่งให้เหมาะกับผู้ใช้รายบุคคล (Personalization) การเข้าถึงแบบออฟไลน์ (Offline Access) และฟีเจอร์เพื่อการมีส่วนร่วมของชุมชนผู้ใช้งาน (Community Features) |
สร้าง (Create) | ฟีเจอร์ใหม่ เช่น การให้คำแนะนำจากกล้องแบบเรียลไทม์ ระบบ AI ปรับการฝึกอัตโนมัติ หรือระบบ ติดตามสุขภาพแบบองค์รวม |
แนวทางที่มีโครงสร้างนี้ช่วยให้มั่นใจว่า Fitness Application ของคุณ จะไม่เพียงแค่การเลียนแบบคู่แข่ง แต่ยัง “กำหนดนิยามใหม่ของตลาด” และเปิดพื้นที่ที่ไม่มีการแข่งขัน ด้วยข้อเสนอคุณค่าที่สดใหม่และน่าดึงดูด
ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบ New Value Curve ของคุณกับผู้ใช้จริง
ก่อนที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการสร้าง Fitness Applicaion ออกมา ให้ลองทดสอบสิ่งเหล่านี้กับกลุ่มผู้ใช้จริงก่อน
- กลุ่มผู้ใช้เป้าหมายตอบสนองต่อข้อเสนอคุณค่าใหม่ของคุณหรือไม่
- พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับความแตกต่างที่นำเสนอหรือไม่
- พวกเขาจะเปลี่ยนจากทางเลือกที่มีอยู่เดิมหรือไม่
- รวบรวมคำติชมเบื้องต้น
- ปรับเปลี่ยนปัจจัยของคุณหากจำเป็น
- ปรับปรุงเส้นโค้งคุณค่าของคุณให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การตรวจสอบกับผู้ใช้จริงถือว่าความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแนวคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) บนกระดาษกับความจริงของตลาด การวิเคราะห์ Strategy Canvas จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและระบุช่องว่างได้ แต่การได้รับ “ข้อมูลเชิงลึกโดยตรงจากผู้ใช้” (User Insights) จะช่วยยืนยันสมมติฐานของคุณ และเผยให้เห็นประเด็นที่คุณอาจมองข้ามไป
การทดสอบนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน อาจเป็นการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง (Focus Group) การทำแบบสำรวจขนาดเล็ก (Survey) หรือการสร้างต้นแบบง่ายๆ (Low-Fidelity Prototype) เช่น ภาพจำลองของแอปฯ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ลองสัมผัสและให้ความคิดเห็น การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วย “ลดความเสี่ยง” ในการลงทุน แต่ยังช่วยให้คุณสามารถ “ปรับปรุงข้อเสนอคุณค่า” ของคุณให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ทำให้คุณมั่นใจว่า “Blue Ocean” ที่คุณค้นพบนั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่การคาดเดาเชิงกลยุทธ์เพียงเท่านั้น
Strategy Canvas กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับผู้ประกอบการ และนักสร้างสรรค์นวัตกรรม เพราะมันได้มอบความชัดเจนในการวางกลยุทธ์ทางการตลาด และเผยให้เห็นว่า “นวัตกรรมด้านคุณค่า” สามารถเกิดขึ้นได้ในที่ใด ดังนั้น หากคุณกำลังจะเปิดตัวธุรกิจใหม่ หรือสำรวจแนวคิดผลิตภัณฑ์ ลองเริ่มต้นด้วย Strategy Canvas กำหนดแผนที่ว่าคู่แข่งอยู่ตรงไหน และที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ “พวกเขาไม่อยู่ตรงไหน” พื้นที่ว่างเปล่านั้นก็อาจเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่สำหรับคุณนั่นเอง