นวัตกรรมไม่ใช่แค่การสร้างสิ่งใหม่เพียงเท่านั้น แต่เป็นการนำเสนอสิ่งที่ให้คุณค่าอย่างแท้จริงในแบบที่แตกต่าง และด้วยการนำ ERRC Framework มาใช้ จะทำให้แบรนด์และธุรกิจของคุณนั้นมีวิธีคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเปิดพื้นที่ไปสู่ตลาดใหม่ อย่าง Blue Ocean Strategy ซึ่งถือว่าเป็นการท้าทายการคิดในแบบเดิมๆ ท้าทายบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมแบบเดิมๆ โดยมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกรอบการทำงานของ ERRC Framework และตัวอย่างความสำเร็จของแบรนด์ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ ERRC Framework เพื่อที่คุณจะนำไปใช้กับการออกแบบธุรกิจของคุณให้มีคุณค่าในอนาคตครับ
อะไรคือ ERRC Framework
ERRC Framework คือ กรอบการทำงานที่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Framework) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้แบรนด์และธุรกิจได้มีแนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับแนวทางการสร้างคุณค่า การสร้างมูลค่า และการสร้างความแตกต่างในตลาด ซึ่งย่อมาจาก Eliminate (กำจัด) Reduce (ลด) Raise (ยกระดับ) Create (สร้าง) ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะแสดงถึงขั้นตอนการดำเนินการที่สำคัญๆ ที่แนะนำให้แบรนด์และธุรกิจต่างๆปรับรูปแบบข้อเสนอถึงคุณค่า (Value Proposition) ของตนใหม่ กรอบการทำงานนี้สนับสนุนให้แบรนด์ธุรกิจต่างๆก้าวออกจากการแข่งขันที่ดุเดือดโดยตรงอย่าง Red Ocean โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับลูกค้า ซึ่งมักจะนำไปสู่ตลาด “มหาสมุทรสีฟ้าหรือสีน้ำงิน / น่านน้ำสีคราม” หรือ Blue Ocean นั่นเอง เรามาดูรายละเอียดองค์ประกอบของ ERRC Framwwork กันครับ
1. กำจัด (Eliminate)
การกำจัดคือการสนับสนุนให้ระบุกิจกรรมที่ขัดขวางความก้าวหน้า และการใช้ทรัพยากรโดยไม่เพิ่มมูลค่าหรือคุณค่าที่สำคัญให้กับลูกค้าและธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจมีเวลาเพิ่มขึ้น คิดได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรในเชิงกลยุทธ์ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อริเริ่มโครงการหรือทำผลิตภัณฑ์ที่ดีและสร้างประโยชน์ที่สูงกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่ผู้นำในตลาดแบบคล่องตัวมากขึ้น และหากเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็จำเป็นต้องระบุและลบคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือฟังก์ชันการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีคุณค่าหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าออกไป เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณพัฒนาได้ง่ายขึ้น ลดต้นทุนการผลิต และเร่งเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าของคุณ เช่น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจยกเลิกช่องเสียบหูฟังเพื่อลดปัญหาความซับซ้อนของฮาร์ดแวร์ และเพิ่มพื้นที่สำหรับความจุแบตเตอรี่ให้ดีขึ้นหรือคุณสมบัติอื่นๆที่สูงขึ้น
2. ลด (Reduce)
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรหรืออาจเป็นคุณสมบัติบางประการ โดยธุรกิจจะต้องประเมินการดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ ที่แม้ว่าจะมีความสำคัญแต่ก็อาจไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีประสิทธิภาพเสมอไป ด้วยการลดระดับการลงทุนในด้านต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปสู่การเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในด้านที่สำคัญได้อย่างสูงสุด ซึ่งเป็นการส่งเสริมแนวทางความเป็นผู้นำในตลาดที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น และหากเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็ควรปรับขนาดหรือลดคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง และขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องทำผลิตภัณฑ์ที่เกินจำเป็น จนส่งผลให้กระทบค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การที่บางสายการบินอาจยกเลิกการของเมนูอาหารและการกำหนดที่นั่ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเดินทางแบบราคาประหยัดแทน โดยสิ่งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่คำนึงถึงราคา และไม่ส่งผลเสียต่อเป้าหมายหลักซึ่งนั่นก็คือเที่ยวบินราคาประหยัด
3. ยกระดับ (Raise)
หัวใจสำคัญของ ERRC Framework ก็คือ แนวคิดในการยกระดับการดำเนินงานและกิจกรรมที่มีศักยภาพ ในการสร้างผลกระทบให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจำเป็นต้องพยายามลงทุนในสิ่งที่จำเป็น เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จและส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆที่ยังไม่มีใครค้นพบ หากเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมๆนั้น คุณก็จำเป็นต้องหาคุณลักษณะที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์แต่เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่าสูง เพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณ จะกลายเป็นสิ่งที่ส่งมอบคุณค่าได้มากขึ้นซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างความแตกต่างในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ยานยนต์ไฟฟ้าได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ เพื่อสร้างให้เกิดความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาวมากขึ้น
4. สร้าง (Create)
การปลดปล่อยนวัตกรรมและศักยภาพใหม่ๆ ถือเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของ ERRC Framework ที่เรียกร้องให้แบรนด์และธุรกิจสำรวจในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ด้วยการลงทุนในนวัตกรรมบางอย่างและเปิดรับมุมมองอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างให้เกิดคุณค่ากับทั้งองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน การสร้างสรรค์จะจุดประกายของวัฒนธรรมแห่งความอยากรู้อยากเห็นและความกล้าเสี่ยง และยังช่วยจุดประกายจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กร ด้วยแนะนำคุณลักษณะใหม่ๆรวมไปถึงขีดความสามารถใหม่ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาและความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองได้ (Unmet Needs) ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเปิดกลุ่มตลาดใหม่ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ จนกลายเป็นตลาดที่ไม่มีคู่แข่งขันได้ในระยะยาว ตัวอย่างเช่น แบรนด์เครื่องดูดฝุ่นอาจสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถทิ้งขยะเองได้ ซึ่งจะช่วยจัดการกับปัญหาที่เป็น Pain Point ของลูกค้า และนำเสนอมิติด้านความสะดวกสบายสู่ตลาด
ERRC Framework ช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร
ERRC Framework ทำให้คุณเห็นแนวทางเชิงกลยุทธ์ ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้ โดยการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น การบริหารทรัพยากรต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยยกกระดับกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
1. การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่กระชับและตรงเป้ามากขึ้น
ERRC Framework ช่วยให้การออกแบบผลิตภัณฑ์ง่ายขึ้น โดยเน้นไปที่การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นและลดองค์ประกอบที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานง่ายขึ้น ผลิตง่ายขึ้น และดูแลรักษาง่ายขึ้น เช่น Smartphone กำจัดฟีเจอร์ที่ไม่สำคัญออกไป เช่น ปุ่ม Home เพื่อให้การออกแบบนั้นดูใช้งานง่ายและไม่เกะกะหน้าจอ และลดฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นอย่างการใช้ Finger Scan หรือ Laptop ราคาประหยัดที่ลดความละเอียดหน้าจอจาก 4K เป็นแค่ Full HD สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับราคาและการใช้งานธรรมดาๆ
2. การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน
การกำจัดและลดองค์ประกอบที่มีมูลค่าต่ำจะช่วยลดต้นทุนและจัดสรรทรัพยากร ไปยังสิ่งที่สร้างคุณค่าได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น การประหยัดต้นทุนจากการใช้วัสดุน้อยลง ลดกระบวนการผลิตบางอย่างลง หรือการออกแบบที่ง่ายขึ้น เพื่อสามารถนำไปลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆหรือการปรับปรุงอะไรที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น IKEA ปรับต้นทุนให้เหมาะสมโดยการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถบรรจุแบบแบนได้ เพื่อการขนส่งและการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการประกอบเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูป ลดขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์ และลดต้นทุนการขนส่ง ทำให้สามารถออกแบบและนำเสนอเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึงได้
Source: https://www.fastcompany.com/3057837/the-man-behind-ikeas-world-conquering-flat-pack-design
3. มุ่งเน้นที่ความต้องการหลักของลูกค้า
การเพิ่มและการสร้างจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นตรงกับความคาดหวังของลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ที่ส่งผลให้เกิดการตอบรับที่ดีจากตลาดและอาจกลายเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น การเน้นความทนทาน ความง่ายในการใช้งาน ฟังก์ชันการทำงาน หรือการสร้างฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปัญหาลูกค้าได้ แล้วไม่มีคู่แข่งคนไหนทำได้ ตัวอย่างเช่น Dyson ที่มาพร้อมกับเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่เคลื่อนที่ได้สะดวก ทำให้แบรนด์กลายเป็นผู้นำในตลาดนั้นๆได้
Source: https://www.dyson.com.au/
4. กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
ERRC Framework ช่วยกระตุ้นให้ทีมคิดนอกกรอบและค้นหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เสมือนบังคับให้ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์มองหาความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริง และพัฒนาคุณลักษณะหรือเทคโนโลยีใหม่ๆที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดได้ เช่น Tesla ได้สร้างแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระยะไกล ที่ตอบโจทย์ความกังวลเรื่องระยะทางการขับขี่ และเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า และเราจะได้ยินว่าพักหลังๆ Tesla ก็ได้ซุ่มพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงาน Hydrogen ในการขับเคลื่อน ซึ่งอาจกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ในอุสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตอันใกล้
Source: https://www.caranddriver.com/tesla/model-s
5. ลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตัดองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นและลดความซับซ้อนลง สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาและเปิดตัวได้เร็วขึ้น ดังนั้นการออกแบบที่กระชับจะช่วยให้การสร้างต้นแบบ การทดสอบ และการปรับปรุงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมงานสามารถมุ่งเน้นไปที่ฟีเจอร์หรือคุณบัติสำคัญเพียงไม่กี่จุด เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าที่เกิดจากการเพิ่มอะไรที่มากจนเกินไป โดยเราจะเห็นธุรกิจ Startup โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการสร้างแอปพลิเคชั่น ก็มักจะใช้ ERRC Framework ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่มีคุณสมบัติที่สำคัญๆเพียงพอที่ตลาดต้องการ หรือ Minimum Viable Product (MVP) ออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว
6. เพิ่มความแตกต่างในตลาด
การรวม การกำจัด การลด การเพิ่ม และการสร้าง ช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นเกิดความโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ด้วยการนำเสนอคุณค่าที่ไม่ซ้ำใคร การลดและกำจัดบางสิ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูเรียบง่าย และตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่การเพิ่มและการสร้างจะช่วยให้แบรนด์ธุรกิจของคุณมีผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันใหม่ๆที่น่าดึงดูดใจ เช่น แบรนด์ Oatly จากประเทศสวีเดนได้ปฏิวัติตลาดทางเลือกสำหรับผลิตภัณฑ์นมใหม่ ด้วยการยกเลิกการพึ่งพาผลิตภัณฑ์นมจากสัตว์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับการผลิตนมแบบดั้งเดิมอื่นๆ และแบรนด์ได้สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความยั่งยืน โดยสร้างนมข้าวโอ๊ตให้เป็นทางเลือกที่คำนึงถึงสุขภาพ ซึ่งทำให้พวกเขาแตกต่างจากแบรนด์คู่แข่งมากยิ่งขึ้น
Source: https://www.oatly.com/
7. สนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน
การกำจัดและลดองค์ประกอบหรือกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น จะช่วยให้บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และกลายเป็นจุดแข็งของแบรนด์ได้ในอนาคต ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Patagonia กำจัดวัสดุที่เป็นอันตรายและลดของเสียในการผลิตลง พร้อมเพิ่มคุณภาพและความทนทานของเสื้อผ้าสาย Outdoor และยังส่งเสริมให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าแต่พอดีแต่จำเป็น โดยเอาเงินไปซื้อสิ่งที่สำคัญกับชีวิตก่อนที่จะซื้อเสื้อของ Patagonia อีกด้วย
Source: https://www.patagoina.com/
ตัวอย่างการใช้ ERRC Framework กับแบรนด์และธุรกิจต่างๆ
ERRC Framework ถือว่าเป็นกรอบที่บังคับให้แบรนด์และธุรกิจต่างๆ ถอยห่างจากการแข่งขันอันดุเดือดและมุ่งเน้นไปที่คุณค่าของลูกค้าเป็นหลัก ช่วยป้องกันไม่เกิดการใช้ทรัพยากรหรือการปรับปรุงอะไรที่ไม่เหมาะสม และส่งเสริมการสร้างแบรนด์และทำธุรกิจในเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการจัดการในแต่ละขั้นตอนอย่างมีระบบทั้งต่อตัวของธุรกิจและลูกค้า เรามาดูตัวอย่างจากการนำเอา ERRC Framework มาปรับใช้ในการสร้างแบรนด์และการดำเนินธุรกิจกันครับ
1. Spotify
- กำจัด (Eliminate) ยกเลิกการผลิต CD และการดาวน์โหลดเพลงที่ผิดกฎหมาย
- ลด (Reduce) ลดปริมาณการโฆษณาลงให้แตกต่างจากวิทยุในแบบเดิมๆ
- ยกระดับ (Raise) ปรับปรุงและเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้งาน ด้วยการสร้าง Playlist ส่วนตัว เช่น Discover Weekly และรายการแนะนำแบบเรียลไทม์
- สร้าง (Create) เปิดตัวการสตรีมเพลงแบบ On-Demand และ Playlist ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเดียวกัน
2. IKEA
- กำจัด (Eliminate) เลิกใช้พนักงานขายแบบเดิมๆ และความต้องการเฟอร์นิเจอร์แบบประกอบสำเร็จ
- ลด (Reduce) การออกแบบที่เรียบง่ายเพื่อเน้นไปที่ความคุ้มค่าและฟังก์ชันการทำงาน
- ยกระดับ (Raise) เพิ่มศักยภาพการเข้าถึงด้วยร้านค้าขนาดใหญ่ในเมืองต่างๆ และแคตตาล็อกออนไลน์ที่มีจำหน่ายทั่วโลก
- สร้าง (Create) แนะนำให้ผู้คนรู้จักวัฒนธรรมที่ต้องทำด้วยตัวเองแบบ Do-It-Yourself (DIY) และการออกแบบการเดินทางของลูกค้าในร้านของ IKEA ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยร้านอาหารภายใน IKEA เพื่อประสบการณ์แบบออฟไลน์ที่แสนอบอุ่น
3. UNIQLO
- กำจัด (Eliminate) การลบแบรนด์ที่เป็นแฟชั่นตามฤดูกาล ที่มักส่งผลให้เกิดการผลิตและเกิดเป็นสินค้าคงคลังที่มากจนเกินไป และยังขจัดความจำเป็นในการใช้โลโก้หรือการสร้างแบรนด์ที่มากเกินไป โดยมุ่งเน้นไปที่การออกแบบที่เรียบง่ายซึ่งดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างแทน
- ลด (Reduce) ลดการพึ่งพา Influencer สายแฟชั่นหรืองานแสดงบนรันเวย์ที่มีราคาสูง โดยมุ่งเน้นไปที่สไตล์ที่ใช้งานได้จริง กับการทำการตลาดกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวันโดยตรง และยังลดของเสียจากผ้าโดยการใช้กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
- ยกระดับ (Raise) ปรับปรุงคุณภาพเนื้อผ้าโดยการนำวัสดุคุณภาพขั้นสูง เช่น แอริซึ่ม (AIRism) ที่ช่วยระบายความชื้นและความร้อนพร้อมดูดซับเหงื่อ รวมไปถึง HeatTech กับการถักทอแบบพิเศษซึ่งจะทำให้เนื้อผ้าดักจับความอุ่นได้มากขึ้นมาใช้ โดยปรับปรุงความสะดวกสบายและการใช้งานที่ง่ายขึ้น เข้าถึงตลาดโดยการเสนอราคาที่เอื้อมถึงได้สำหรับเสื้อเชิ้ตคุณภาพสูงและมีความทนทาน
- สร้าง (Create) พัฒนาคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น เสื้อเชิ้ตไร้รอยยับ ผ้าควบคุมกลิ่น และวัสดุป้องกันรังสียูวี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนโดยการพัฒนาเสื้อ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล
Source: https://www.centralembassy.com/store/uniqlo/
4. Canva
- กำจัด (Eliminate) ขจัดความจำเป็นในการใช้ซอฟต์แวร์การออกแบบกราฟิกที่ซับซ้อนและมีราคาแพงออกไป
- ลด (Reduce) ลดเวลาและทักษะที่จำเป็นในการออกแบบในระดับมืออาชีพ โดยการนำเสนอเทมเพลตที่สร้างไว้แล้วล่วงหน้า ให้ง่ายต่อผู้ใช้งานที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านการออกแบบ
- ยกระดับ (Raise) การเข้าถึงด้วยอินเทอร์เฟซแบบลากและวาง (Drag & Drop) ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักออกแบบใดๆ
- สร้าง (Create) สร้างแพลตฟอร์มที่สามารถทำงานร่วมกันและการเข้าถึงบนระบบคลาวด์ได้ ช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันในแคมเปญโฆษณาหรือการออกแบบอื่นๆได้อย่างราบรื่น
ด้วยการนำ ERRC Framework มาใช้งานจะทำให้แบรนด์และธุรกิจต่างๆ สามารถคิดและสร้างกลยุทธ์แบบ Blue Ocean Strategy ได้ ด้วยการหลีกหนีจากการแข่งขันอันดุเดือด ซึ่งจะเป็นการสร้างเส้นทางแห่งนวัตกรรมที่มีคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและกลุ่มลูกค้า จึงนับเป็นวิธีปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างมีกลยุทธ์และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนให้กับแบรนด์ ธุรกิจ และลูกค้านั่นเอง