3 Metrics สำคัญในการใช้กลยุทธ์ Paid Search

สำหรับคนที่ทำงานกับการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะกับการทำ SEM (Search Engine Marketing) ที่เป็นการซื้อโฆษณาเพื่อดันให้เว็บไซต์ของคุณเข้าถึงและเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมาย ก็คงจะคุ้นเคยกับการซื้อโฆษณาโดยเฉพาะการซื้อ AdWords และกำหนดตัววัดผลอย่างแน่นอน แต่หากคนที่ยังไม่คุ้นเคยและเพิ่งจะเริ่มต้นกับการเข้าสู่โลกออนไลน์โดยเฉพาะกับการทำ SEM ก็อาจจะยังไม่รู้จักกับตัววัดผลที่โดยทั่วไปนั้นใช้กัน และในบทความนี้ผมได้สรุป 3 Metrics หรือ 3 ตัวชี้วัดสำคัญๆที่จำเป็นต้องรู้เวลาจะทำ SEM (Search Engine Marketing) มาฝากกันครับ


รู้จักกับ Paid Search

หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับ Paid Search หรือเพิ่งจะเข้ามาทำความรู้จักกับโลกออนไลน์ก็อาจจะงงๆกับคำนี้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งมันก็เป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) โดยการซื้อโฆษณาให้กลุ่มเป้าหมายนั้นเห็นโฆษณาของคุณบน Google Search Engine และหลักการทำงานของ Paid Search ก็คือการจ่ายเงินซื้อโฆษณาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) หรือก็คือการกดเข้าไปดูเนื้อหาบนเว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นในรูปแบบของการชำระเงินต่อเมื่อมีการคลิก 1 ครั้ง (Pay Per Click -PPC) หรือ การชำระเงินต่อเมื่อมีการเห็นโฆษณานั้นๆ (Pay Per View -PPV) โดยการซื้อโฆษณาในลักษณะนี้จะเป็นการ Bidding หรือ การประมูล (Auction) เสนอราคาสำหรับผู้ที่ให้ราคาสูงก็มีโอกาสขึ้นโฆษณาในตำแหน่งที่ดีกว่า และมันก็เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด (Keywords) ด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายถึงโอกาสในการที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นมากกว่านั่นเองครับ

เมื่อพูดถึงการโฆษณาแบบ PPC มันคือการโฆษณาธุรกิจแบบชำระเงินต่อเมื่อมีคนสนใจกดโฆษณานั้นๆ ที่หลักๆเราจะเห็นกับการโฆษณาผ่าน Google Search Engine และโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook โดยเมื่อคุณค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง ตรง หรือใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณซื้อโฆษณาไป มันก็จะแสดงผลให้เห็นบน Google ในตำแหน่งต่างๆนั่นเองครับ จุดสังเกตว่ามันคือโฆษณาหรือไม่ก็จะเห็นคำว่า Ad อยู่ด้านซ้ายสุดของผลการค้นหาและจะอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหาใน Google และแถบด้านขวามือ

Pay Per Click Ads (PPC)

โดย Paid Search นั้นก็มีประโยชน์อยู่หลายอย่าง อาทิ

  • ทำให้มีผลค้นหาได้เร็วขึ้น
  • สร้างให้เกิด Lead ที่มีคุณภาพมากขึ้น
  • การวัดผลก็ดีขึ้น
  • เพิ่มการรับรู้ในตัวแบรนด์
  • งบประมาณไม่สูงมากจนเกินไป

สำหรับบทความนี้ผมอาจจะไม่ได้เน้นไปที่รายละเอียดของ Paid Search, PPC หรือ PPV ครับ แต่จะเน้นสรุปรวมในตัวชี้วัด (Metrics) ที่ต้องรู้และควรนำมาใช้สำหรับการใช้กลยุทธ์แบบ Paid Search โดยมี 3 ตัวชี้วัดหลักๆ ดังนี้

What's next?

3 Metrics สำคัญในการวัดผล Paid Search

การวัดผลถือว่าสำคัญมากสำหรับการทำ Digital Marketing โดยเฉพาะเวลาคุณซื้อโฆษณา (Paid Search) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายนั้นกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์คุณให้มากที่สุดครับ ซึ่งตัวชี้วัด 3 ตัวนั้นประกอบไปด้วย Traffic Metrics, Conversion Metrics และ Efficiency Metrics ทีนี้เรามาดูรายละเอียดของแต่ละตัววัดกันครับ

1. Traffic Metrics

ตัววัดอัตราการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย (Traffic) ประกอบไปด้วย

  • Impression – การแสดงผลโฆษณาหรือการที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นโฆษณาของคุณ เช่น 1,000 Impression คือ การเห็นโฆษณาจำนวน 1,000 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่ากลุ่มเป้าหมายจะดูโฆษณาของคุณจริงๆ
  • Click – การกดลิงค์โฆษณาของคุณเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์
  • Click-Through Rate (CTR) – อัตราการคลิกหรือกดลิ้งค์ต่อการเห็นโฆษณานั้นๆ (Click / Impression) โดย CTR จะออกมาดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโฆษณา เนื้อหา และการรู้จักชื่อแบรนด์ด้วยเช่นกัน
  • Cost-Per-Click (CPC) – อัตราราคาที่ต้องชำระโดยเฉลี่ยต่อการคลิก 1 ครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมูลราคาด้วยเช่นกัน
  • Average Position – ตำแหน่งการขึ้นโฆษณาในแต่ละหน้าซึ่งมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาจากการ Bidding เพียงอย่างเดียว แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ Quality Score หรือคะแนนความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาด้วยเช่นกัน
  • Impression Share (IS) – ส่วนแบ่งการแสดงผล คือ ตัววัดที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณ กับประสิทธิภาพของโฆษณาอื่นๆในหมวดหมู่ ซึ่งคำนวณโดยการเปรียบเทียบจำนวนการแสดงผลทั้งหมดกับจำนวนการแสดงผลที่มีแนวโน้มจะได้รับ
  • Quality Score (QS) – ตำแหน่งการแสดงโฆษณาจะดีได้นอกเหนือจากราคาในการ Bidding แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ ก็มีส่วนส่งเสริมให้โฆษณาอยู่ในตำแหน่งที่ดีด้วย
ตัววัดผลด้านการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Traffic Metrics)

2. Conversion Metrics

ตัววัดการแปลงไปสู่ผลลัพธ์ (Conversion) ในแบบต่างๆ ที่ประกอบไปด้วย

  • Revenue Generated – การเปลี่ยนเป็นยอดขายคือค่าตัววัดพื้นฐานที่สุดของกิจกรรมทางการขาย
  • Margin Generated – ส่วนต่างหรือกำไรที่ได้ที่ทำให้เห็นว่าการซื้อโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
  • Orders – จำนวนคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นโดยตรง
  • Leads – การสร้างโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามากดลิงค์เพื่อสู่กระบวนการปิดการขายของทีมขาย (Sales Team) โดยเราจะเห็นในธุรกิจแบบ B2B ค่อนข้างเยอะ เช่น การให้ลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ การให้กรอกข้อมูลผ่านอีเมล์ หรือการให้กรอกชื่อเพื่อรับโบรชัวร์
  • Conversion Rate – อัตราหรือสัดส่วนการเปลี่ยนเป็นลูกค้าหรือยอดขายจากการคลิกลิ้งค์ ซึ่งมีผลจากประสิทธิภาพของการโฆษณา
  • Average Order Value (AOV) – มูลค่าคำสั่งซื้อเฉลี่ย คือ ตัววัดสำคัญอีกตัวที่เป็นการเปรียบเทียบโฆษณาแต่ละตัวแต่ละ Ad Group เพื่อดูว่า กลุ่มไหนมีอัตราราคาการโฆษณามากกว่ากันเมื่อเทียบกับการคลิกเข้ามาดู ซึ่งมันจะสะท้อนให้เห็นว่าอะไรดีอะไรไม่ดีที่ควรนำมาปรับเปลี่ยน

3. Efficiency Metrics

ตัววัดผลด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการซื้อโฆษณา ที่ประกอบไปด้วย

  • Return on Investment (ROI) – ตัววัดผลที่ทุกๆคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ที่ใช้วัดผลของความคุ้มค่าของยอดขายกับจำนวนเงินที่ใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาไป
  • Cost Per Lead / Order (CPL / CPO) – ลำพังแค่ ROI อาจจะไม่ชัดเจนที่สุด จึงจำเป็นต้องมีการวัดผลที่ราคาของการโฆษณาต่อการได้มาซึ่งลูกค้า (CPL) หรือการสั่งซื้อ (CPO) ในแต่ละคำสั่งซื้อ ความคุ้มค่าจะเกิดขึ้นเมื่อราคานั้นมีความเหมาะสมและสมเหตุสมผล โดยไม่จำเป็นว่าต้องต่ำที่สุดเสมอไปซึ่งอาจต้องนำมาเทียบกับหลากหลายปัจจัย เช่น ค่าเฉลี่ยของประเภทธุรกิจ การระบุกลุ่มเป้าหมาย
  • Lifetime Value (LTV) – มูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้าคนหนึ่งที่มีโอกาสคลิกเพื่อสั่งซื้อสินค้า ที่นำไปประกอบการวัดผลได้ว่าการใช้เงินโฆษณามันเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

ทั้ง 3 ตัววัดนั้นต้องมีการทดสอบและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาครับ เนื่องจากในโลกของ Digital และ Online Marketing นั้นไม่มีอะไรที่ตายตัว และมันขึ้นอยู่กับหลายตัวแปรไม่ว่าจะเป็นรูปแบบธุรกิจ รูปแบบสินค้า กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่งขัน และอื่นๆอีกมากมาย


Share to friends


Related Posts

วิธีวัดผล KPI บนโลกโซเชียล มีเดีย

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีใครรู้จักโซเชียล มีเดีย แทบจะไม่มีบริษัทไหนที่ไม่มีโซเชียล มีเดียเป็นของตัวเอง และทุกๆบริษัทรวมถึงคนทั่วๆไปที่ทำธุรกิจส่วนตัว ก็ล้วนแต่ใช้โซเชียล มีเดียในการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ด้านต่างๆ และคำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอ


เครื่องมือตรวจสอบ SEO Website Ranking ที่น่าใช้

เว็บไซต์นับเป็น Own Media ที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในยุคออนไลน์ เพราะมันเป็นหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดในการแสดงความเป็นตัวตนของแบรนด์ และความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ โดยหนึ่งวิธีในการโปรโมทเว็บไซต์ของธุรกิจให้เป็นที่รู้จักก็คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization


ดันเว็บไซต์ให้ปังด้วยเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

การทำ SEO (Search Engine Optimization) จะช่วยให้ผลการค้นหาเว็บไซต์สำหรับธุรกิจของคุณ มีโอกาสพบเห็นจากผู้ที่สนใจมากยิ่งขึ้น นับเป็นหนึ่งในแผนการตลาดที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องทำ เพื่อโอกาสทางธุรกิจที่ดีมากยิ่งขึ้นเพราะคงไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่อยากมีตัวตนบนโลกออนไลน์ใช่ไหมละครับ



copyright 2024@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์