การสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นบนโลกออนไลน์ ซึ่งนั่นส่งผลให้เกิดโอกาสการเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มมากขึ้นและเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจของคุณ โดยเว็บไซต์นั้นก็มีอยู่หลากหลายแบบและหลากหลายวัตถุประสงค์ ที่คุณจำเป็นต้องรู้จักประเภทธุรกิจที่ทำอยู่และวัตถุประสงค์ของการทำเว็บไซต์ ว่าคุณจะทำขึ้นมาเพื่ออะไรและกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรจะทำความเข้าใจก่อนที่จะออกแบบเว็บไซต์ให้กับธุรกิจของคุณ ซึ่งนั่นก็คือประเภทของเว็บไซต์ครับ เพราะการเข้าใจว่าเว็บไซต์นั้นมีกี่ประเภทและแต่ละประเภท แต่ละประเภทนั้นเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน แต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานและวัตถุประสงค์อย่างไร จะช่วยให้คุณวางแผนการออกแบบเว็บไซต์ได้เหมาะสมและดียิ่งขึ้นนั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักประเภทของเว็บไซต์ที่เห็นกันอยู่เป็นปกติในปัจจุบันครับ
ทำความรู้จัก 10 ประเภทเว็บไซต์
เว็บไซต์แต่ละประเภทก็จะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยแต่ละประเภทนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้
1. E-Commerce Website
E-Commerce เป็นประเภทเว็บไซต์ที่มีจุดประสงค์สำหรับขายสินค้าโดยตรง โดยเราจะเห็นข้อมูลรายละเอียดสินค้า โปรโมชั่นต่างๆ รูปภาพสวยๆ มีการวางเลย์เอ้าท์ที่โดดเด่น มีแคตตาล็อคออนไลน์ให้เลือก เว็บไซต์ประเภท E-Commerce จะมีลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ คุณสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์นั้นได้โดยตรง เพราะเว็บไซต์มีระบบในการสั่งซื้อสินค้าแบบเต็มรูปแบบ ทั้งการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ มีตะกร้าสินค้า มีการบอกถึงสถานะของสินค้า และยังเชื่อมต่อระบบการขนส่งสินค้าได้อีกด้วย และในปัจจุบันเราจะเห็นแทบจะทุกธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆที่เคยขายสินค้าตามห้างสรรพสินค้า ตามร้านแบบ Standalone หรือการขายแบบออฟไลน์ หันมาสร้างเว็บไซต์ประเภท E-Commerce กันจนสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Nike, Adidas, Vivo, NaRaYa เป็นต้น
เว็บไซต์ประเภท E-Commerce นั้นจะมีความพิเศษที่ต้องให้ความสำคัญนั่นก็คือ การใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนการซื้อสินค้าที่ง่าย ความปลอดภัยสูงสุด มีระบบการยืนยันการซื้อสินค้า มีทีมบริการลูกค้า (Customer Service) ที่ต้องมีทั้งช่องทางออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และออฟไลน์ และเปิดให้มีช่องทางการชำระเงินหลายรูปแบบ เป็นต้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าครับ (เว็บไซต์ประเภท E-Commerce อาจมีข้อมูลธุรกิจแบบ Business Website ได้เช่นกัน)
Source: NaRaYa.com
2. Business Website
Business Website หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Corporate Website ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของทุกธุรกิจที่เอาไว้โปรโมทธุรกิจในทุกๆมิติ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา โครงสร้างองค์กร ทีมงาน สินค้า บริการ กิจกรรม ข่าวสาร บทความที่น่าสนใจ และอื่นๆ โดยตัว Business Website ก็จำเป็นต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มีความครบถ้วนอ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ เพราะ Business Website ถือเป็นหน้าบ้านบนโลกออนไลน์ของธุรกิจคุณ ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจอยากรู้ว่าคุณคือใคร ขายสินค้าหรือบริการอะไร มันมีประโยชน์และข้อดีอย่างไร ก็จะพิมพ์ Google หาซึ่งมันก็จะลิ้งค์เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง และนั่นก็จำเป็นที่จะต้องมีการวางเลย์เอ้าท์และแบ่งสัดส่วนให้สวยงามใช้งานง่าย เขียนคอนเทนต์ให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย มีที่อยู่และช่องทางในการติดต่อสอบถามอย่างครบถ้วน ตัวอย่างของเว็บไซต์ประเภทนี้มีอยู่มากมายครับ เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, SCG, PTT และธุรกิจอื่นๆ เป็นต้น
Business Website ไม่ได้มีเป้าหมายไว้ขายสินค้าแบบ E-Commerce Website เพราะโดยส่วนใหญ่จะเน้นการแนะนำธุรกิจและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ แต่ก็มีบางธุรกิจที่ทำทั้ง Business Website และ E-Commerce Website แล้วจับเข้ามาอยู่ใน URL เดียวกัน แต่จะมีการออกแบบหน้าตาที่แตกต่างกัน
Source: Bangkok University
3. Blog Website
เราจะเห็นเว็บไซต์ประเภท Blog ค่อนข้างมากซึ่งมันก็คือเว็บไซต์ที่นำเสนอบทความที่เป็นความรู้ด้านต่างๆ โดยอาจเป็นบทความที่เจ้าของ Blog เขียนขึ้นมาเองทั้งหมด หรืออาจเป็น Blog รวมๆที่ให้คนอื่นๆแบ่งปันเนื้อหาความรู้ต่างๆก็ได้เช่นกัน อย่างเว็บไซต์ที่ผมทำ Popticles.com ก็ถือว่าเป็น Blog Website ที่ให้ความรู้ด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ รวมไปถึงความรู้อื่นๆที่เป็นประโยชน์
โดยส่วนใหญ่ Blog Website จะเน้นไปที่เนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือค่อนข้างมากผสมผสานกับรูปภาพที่เหมาะสม แบ่งหัวข้อและประเภทให้ชัดเจน วางเลย์เอ้าท์ให้อ่านง่ายสบายตา และอาจมีการเพิ่มในส่วนของการบริการเข้าไปบ้างเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมรู้ว่า ไม่ได้มีแค่คอนเทนต์ให้อ่านเพียงอย่างเดียวแต่อาจมีบริการอื่นๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ที่เขียนบนเว็บไซต์นั้นๆ เช่น ให้คำปรึกษาด้านการตลาด ให้คำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ รับสอนและบรรยายด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ เป็นต้น เว็บไซต์ลักษณะนี้จะมี Bounce Rate ค่อนข้างสูงที่สุด อยู่ในระดับเฉลี่ย 65-90% (หากไม่เกินนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากทำให้น้อยลงได้จะยิ่งดีมากขึ้น) เหมาะสำหรับคนสนใจในการอ่านบทความจริงๆและยังเป็นประโยชน์ในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ที่ส่งผลให้ติดอันดับการค้นหาต้นๆบน Google อีกด้วย
4. Portfolio Website
เว็บไซต์ประเภทนี้อาจเห็นค่อนข้างน้อยครับเพราะเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยใช้ในเชิงธุรกิจเหมือนประเภทอื่นๆ แต่มักจะเป็นการทำเพื่องานส่วนตัวเสียมากกว่าที่เอาไว้เก็บข้อมูลตัวอย่างผลงานที่เคยทำเพื่อประโยชน์ในการสมัครงานหรือรับงานเป็นหลัก โดยคนส่วนใหญ่ที่จะมี Portfolio Website เป็นของตัวเอง ก็เช่น นักออกแบบกราฟฟิก นักเขียน ช่างถ่ายภาพ ศิลปินในแขนงต่างๆ ทั้งนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อให้คนอื่นๆรู้ว่าคุณมีความสามารถและทักษะด้านไหนบ้าง และการออกแบบเว็บไซต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่ก็จะแสดงผลงานอย่างชัดเจน มีการอธิบายถึงแนวคิดและไอเดีย นำเสนอผ่านภาพผลงานที่สวยงาม เป็นต้น
Source: Robertlawler
5. Membership Website
เว็บไซต์ประเภท Membership Website มีเป้าหมายชัดเจนก็เพื่อต้องการให้ลูกค้าเก่านั้นกลับมาใช้บริการในรูปแบบสมาชิก โดยหากจะใช้บริการเว็บไซต์ประเภทนี้ได้ก็ต้องมีการสมัครและกรอกข้อมูลที่จำเป็นเพื่อตั้งรหัสผ่านก่อนใช้งานเท่านั้น บางเว็บไซต์ก็อาจมีการสร้างหน้าที่เป็นสำหรับสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้าไปอ่านข้อมูลลึกๆได้ และการสมัครนั้นก็อาจจะฟรีหรือเสียเงินซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาหรือข้อมูลที่คุณจะมอบให้ลูกค้าครับ ตัวอย่างเว็บไซต์ประเภทนี้ ก็เช่น Netflix, Disney+ หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับคอร์สเรียนออนไลน์อย่าง SkillLane
Source: SkillLane
6. Personal Website
เว็บไซต์ส่วนตัวที่เอาไว้ถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองรวมถึงการแบ่งปันความคิด ความชอบ ความสนใจ การสร้างแรงบันดาลใจ และยังสามารถนำแสดงผลงานต่างๆของเจ้าตัวได้อีก อันที่จริงเว็บไซต์ประเภทนี้อาจดูคล้ายคลึงกับ Portfolio Website แต่จะไม่ใส่รายละเอียดผลงานหรือการทำงานในอดีตแบบจัดเต็มครับ (แต่บางครั้งก็อาจใส่ทุกอย่างลงไปได้ซึ่งไม่ผิดแต่อย่างใด) และในบางครั้ง Personal Website ก็อาจมีผลกับการสมัครงานด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นการสะท้อนแนวทางการใช้ชีวิตที่คุณเอามาเล่าผ่านเว็บไซต์ ซึ่งอาจเป็นผลดีกับการพิจารณาโอกาสในการทำงานได้อีกทางหนึ่ง
Source: Quinton Harris
7. Non-profit Website
เว็บไซต์ประเภท Non-profit Website หรือเว็บไซต์สำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยอาจเป็นมูลนิธิ ชมรม สมาคม กองทุนช่วยเหลือ หรือโครงการพิเศษต่างๆ ส่วนใหญ่ข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ประเภทนี้จะเกี่ยวกับการนำเสนอวิสัยทัศน์ พันธกิจ และคุณค่าของหน่วยงาน รวมไปถึงรายละเอียดโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ และมีการนำเสนอประมวลภาพกิจกรรมในอดีตที่ผ่านมา เช่น UNICEF มูลนิธิคุณพ่อเรย์ บ้านคามิเลี่ยนเพื่อเด็กพิการซ้ำซ้อน เป็นต้น
Source: camillianchiangrai.org
8. Informational Website
เว็บไซต์ประเภทนี้เป็นแหล่งรวมชุดข้อมูลความรู้อันหลากหลาย และที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จักก็คือ Wikipedia นั่นเอง เว็บไซต์ลักษณะนี้จะรวบรวมข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียดในลักษณะ Long-form Content ที่อาจมีรายละเอียดลึกถึงต้นกำเนิดและเรื่องราวต่างๆ เพราะโดยส่วนใหญ่คนที่จัดทำเว็บไซต์ลักษณะนี้ จะเก็บและรวบรวมข้อมูลมาจากหลายแหล่งและใช้เวลานานจนได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หากมองดีๆแล้ว Informational Website ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสารต่างๆ (News) ได้เช่นกันครับ
Source: Wikipedia
9. Online Forum
เว็บไซต์สำหรับชุมชนออนไลน์เพื่อแบ่งปันความชอบความสนใจที่มีในหัวข้อเรื่องเดียวกัน มีการตั้งเป็นกระทู้ถาม-ตอบ ในหลากหลายหัวข้อไม่ว่าจะเป็นความสนใจหรือความรู้เกี่ยวกับ รถยนต์ ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ เกม และอื่นๆ โดยต้องมีการสมัครสมาชิกเพื่อยืนยันตัวตน เว็บไซต์ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยข้อมูลและความรู้ที่เป็นประโยชน์ ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนหลายล้านคน ตัวอย่างเช่น Pantip, Dek-D, Reddit เป็นต้น
Source: Pantip
10. Event Website
ประเภทเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวมกิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้น มีการแบ่งประเภทกิจกรรมให้เห็นชัดเจน เช่น งานอีเว้นท์เกี่ยวกับขายสินค้า งานแสดงศิลปะ งานคอนเสิร์ต งานที่เกี่ยวกับการขายอุปกรณ์กีฬา งานสัมมนา และอื่นๆ มีการระบุวันเวลาสถานที่อย่างชัดเจน โดยธุรกิจที่ดูมีความเกี่ยวของกับเว็บไซต์ประเภทนี้แบบตรงๆก็พวกศูนย์การประชุมและศูนย์การแสดงสินค้าอย่าง ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต อิมแพคเมืองทองธานี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจโดยตรงกับการจัดงานต่างๆ แต่ก็มีเว็บไซต์ที่รวบรวมกิจกรรมหรืออีเว้นท์ต่างๆอีกมากมาย เช่น ZipEvent, EventPass เป็นต้น
เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้นสำหรับธุรกิจอย่างศูนย์ประชุมหรือศูนย์จัดแสดงสินค้า ธุรกิจหลักนั้นเกี่ยวกับการจัดงานและกิจกรรมต่างๆอยู่แล้วซึ่งการออกแบบเว็บไซต์จะเป็น Business Website แต่จะมีการเน้นบริการที่ทำหน้าออกมาต่างหากที่เรียกว่า Event Calendar ซึ่งหน้าตาจะคล้ายๆกับเว็บไซต์ที่รวบรวมกิจกรรมอื่นๆ เพียงแต่อยู่ภายใต้เว็บไซต์ธุรกิจหลักของตัวเองนั่นเองครับ
Source: EventPass
เว็บไซต์แต่ละประเภทนั้นมีลักษณะที่แตกต่างและโดดเด่นไม่เหมือนกัน โดยการเลือกออกแบบเว็บไซต์ก็ต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้งานและประเภทของธุรกิจที่คุณทำอยู่ บางเว็บไซต์ก็อาจมีการผสมผสานประเภทต่างๆที่เหมาะสมเข้าไว้ด้วยกัน ที่เป็นการเพิ่มความน่าสนใจและประโยชน์ให้กับธุรกิจของคุณมากขึ้น เช่น Business Website ที่มีหน้า Blog หรือ บทความ Business Website ที่มีหน้า E-Commerce ใน URL เดียวกัน หรืออาจเป็น Business Website ที่มีการสมัครสมาชิก (Membership) เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง