
ปัจจุบันเราอยู่บนโลกแห่งคอนเทนต์ที่กำลังล้นทะลัก การสร้างคอนเทนต์ที่ “ดี” เพียงอย่างเดียวอาจไม่มีพลังเพียงพอ แต่จำเป็นต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มี “ทิศทาง” (Direction) “ความลึก” (Depth) และ “ความแตกต่าง” (Differentiation) เพื่อดึงดูดผู้คนให้หันมาสนใจและจดจำแบรนด์ของคุณได้ ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ 7P Framework หรือกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์ ที่จะนำคุณไปสู่การสร้างคอนเทนต์ ที่เข้าถึงอารมณ์ผู้คน ให้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด และกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีเป้าหมาย เรามาเรียนรู้ถึงการทำ Content Marketing ด้วยหลัก 7P Framework กันในบทความนี้ครับ

รู้จัก 7P Framework กับการทำ Content Marketing
7P Framework หรือกรอบของกลยุทธ์การทำ Content Marketing ประกอบด้วย
- Purpose (เป้าหมาย / จุดประสงค์) – คุณอยากจะสร้างคอนเทนต์นี้เพื่ออะไร
- People (ผู้คน / กลุ่มเป้าหมาย) – คอนเทนต์นี้สร้างมาเพื่อใคร
- Problem (ปัญหา) – คอนเทนต์นี้พูดถึงปัญหาหรือความต้องการอะไร
- Product (ผลิตภัณฑ์) – คุณมีโซลูชันหรือข้อเสนออะไร
- Proof (หลักฐาน) – อะไรคือหลักฐานที่สร้างความน่าเชื่อถือ
- Personality (บุคลิกภาพ) – แบรนด์คุณแสดงตัวตนออกมาอย่างไร
- Promotion (การโปรโมท) – ผู้คนจะค้นหาและมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นี้ได้อย่างไร
“P” แต่ละตัว คือ จุดตรวจสอบที่จะช่วยให้คุณปรับคอนเทนต์ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแบรนด์ และความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง 7P Framework นี้ก็เหมาะสำหรับ
- การวางแผนและระดมความคิด ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์รูปแบบต่างๆ
- การพัฒนาและกำหนดการเผยแพร่คอนเทนต์
- กลยุทธ์การทำ Social Media Content
- การเขียนบล็อกหรือบทความต่างๆ
- การสร้างแคมเปญต่างๆ
- การสร้างชุดอีเมล์หรือแม้แต่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์


รายละเอียดของ 7P Framework
1. Purpose (เป้าหมาย / จุดประสงค์)
ก่อนที่จะเริ่มเขียนอะไรลงไป คุณต้องมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช่แค่อยากจะ “โพสต์อะไรสักอย่าง” แต่เป็นการตั้งคำถามว่า คอนเทนต์นี้มีบทบาทอะไรในภาพรวมของธุรกิจคุณ เช่น ต้องการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness) การให้ความรู้ (Knowledge) การหาลูกค้าใหม่ (Leads) เพิ่มยอดขาย (Sales) หรือเพิ่ม SEO Traffic โดยการตั้ง Purpose ก็มีหลักการ ดังนี้
- ยึดหลักการ SMART Goals
ในการตั้งเป้าหมาย ได้แก่ เจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Measurable) ทำได้จริง (Achievable) เกี่ยวข้อง (Relevant) มีกำหนดเวลาชัดเจน (Time-Bound / Timely)
- เชื่อมโยงจุดประสงค์ให้เข้ากับ Funnel Stages
(Top-Middle-Bottom) เช่น คอนเทนต์ให้ความรู้เหมาะสำหรับช่วงต้น (Top of Funnel) ส่วนคอนเทนต์ที่กระตุ้นการตัดสินใจเหมาะสำหรับช่วงท้าย (Bottom of Funnel)
ตัวอย่างเช่น
“เพื่อสอนผู้ประกอบการมือใหม่เรื่องการสร้างแบรนด์ และสร้างความน่าเชื่อถือในความเชี่ยวชาญของเรา”
2. People (ผู้คน / กลุ่มเป้าหมาย)
คุณต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ต้องเข้าใจว่าพวกเขามีความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมอย่างไร โดยมีเคล็ดลับในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
- สร้าง Audience / Customer Personas หรือภาพจำลองของลูกค้าในอุดมคติ
- พิจารณา Search Intent (ความตั้งใจในการค้นหา) หรือ Social Mindset (พฤติกรรมบนโซเชียลมีเดีย) เพื่อเลือกรูปแบบและภาษาที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น
“กลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิง Gen Y (อายุ 25-35 ปี) ที่สนใจผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบยั่งยืน และมักจะหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า”
3. Problem (ปัญหา)
คอนเทนต์ที่ดีต้องมีคุณค่า (Values) โดยคุณต้องมั่นใจว่า สิ่งที่คุณนำเสนอสามารถช่วยแก้ปัญหา เติมเต็มความต้องการ หรือคลายข้อสงสัยบางอย่างให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ โดยมีเคล็ดลับในการกำหนดปัญหา ดังนี้
- โฟกัสที่ปัญหาทั้งในเชิง “อารมณ์” (Emotional) และเชิง “หน้าที่” (Functional)
- วางตำแหน่งตัวเองเป็น “ผู้ให้คำแนะนำ” ที่ไม่ใช่แค่ผู้ขาย และใช้ “ความเข้าอกเข้าใจ” (Empathy) ในการเล่าเรื่อง
ตัวอย่างเช่น
“ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้สึกสับสนกับคำว่า Greenwashing (การตลาดสีเขียวจอมปลอม) และไม่ไว้ใจแบรนด์ใหญ่ๆ”
4. Product (ผลิตภัณฑ์)
เมื่อคุณระบุปัญหาได้แล้วขั้นตอนต่อไป คือ การนำเสนอทางออกไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ ของแถมฟรี หรือคำแนะนำ เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่า สิ่งที่คุณนำเสนอ คือ คำตอบของพวกเขา โดยมีเคล็ดลับในการนำเสนอ ดังนี้
- เน้นที่ “ประโยชน์” (Benefits) ที่ลูกค้าจะได้รับ
- เสนอโซลูชันที่ “ตรงจุด” (Direct) กับปัญหาที่ระบุไว้
- อย่าเน้นขายมากเกินไป โดยให้คุณค่าก่อน แล้วค่อยเสนอทางออก
ตัวอย่างเช่น
“เซรั่มแบบเติมได้ของเราทั้งช่วยลดขยะ และยังอ่อนโยนต่อผิวที่แพ้ง่าย”
5. Proof (หลักฐาน)
คำว่าหลักฐาน ก็คือ สิ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และคอนเทนต์ที่คุณนำเสนอ ที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายคลายข้อสงสัย และตัดสินใจในเรื่องนั้นๆได้ง่ายขึ้น โดยมีเคล็ดลับในการเลือก Proof ดังนี้
- เลือกหลักฐานที่ “สอดคล้อง” กับความกังวลของกลุ่มเป้าหมาย
- หลีกเลี่ยงการอวดอ้างสรรพคุณที่ดูเกินจริง
- มีการอิงถึง “แหล่งที่มา” ที่ไปอย่างชัดเจน
- ไม่สร้างหลักฐานขึ้นมาเองเพื่อหวังผลทางการตลาด
ตัวอย่างเช่น
“เซรั่มของเราได้รับคะแนน 4.9 / 5 จากลูกค้า ที่ยืนยันตัวตนแล้วกว่า 2,000 ราย และผ่านการทดสอบทางคลินิก”
6. Personality (บุคลิกภาพ)
สิ่งที่จะทำให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ใช่แค่ “คุณพูดอะไร” แต่คือ “คุณพูดอย่างไร” และมี “บุคลิกลักษณะ” อย่างไร ที่แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ โดยมีเคล็ดลับ ดังนี้
- กำหนดอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity)
ให้ชัดเจน ตั้งแต่การกำหนดบุคลิกภาพ (Personality) โทนและน้ำเสียง (Tone & Voice) วิธีการสื่อสาร (Communication Style)
- ใช้โทนเสียงและน้ำเสียงที่ “สม่ำเสมอ” ในทุกๆแพลตฟอร์ม
- สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)
และใช้คำหรือวลี ที่เฉพาะเจาะจงกับแบรนด์คุณ
ตัวอย่างแบบ Relax Style เช่น
“ผิวของคุณคู่ควรกับการพักผ่อน…และตัวของคุณก็เช่นกัน”
ตัวอย่างแบบ Formal Style เช่น
“ผลิตภัณฑ์ของเราถูกคิดค้นจากห้อง Lab ปฏิบัติการ เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้กับผิวของคุณ”
7. Promotion (การโปรโมท)
แม้ว่าคุณจะทำคอนเทนต์ออกมาได้ดีที่สุด แต่ก็อาจดูไร้ค่าได้หากไม่มีคนเห็น ดังนั้นคุณต้องวางแผนสำหรับการเผยแพร่ และโปรโมทไปยังกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างครอบคลุม ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Instagram Reels กับการใช้วิดีโอสั้นพร้อมเสียงที่กำลังเป็นกระแส SEO Blogs กับการเขียนบทความโดยใช้ Keywords ประเภทต่างๆ การยิง Facebook / IG Retargeting Ads การให้ Influencer ช่วยสื่อสาร การใช้ LinkedIn Post เพื่อแสดงความเป็น Thought Leadership หรือ E-Mail Marketing ที่ส่งไปหาลูกค้าแบบเฉพาะราย และอย่าลืมใช้ UTM tracking เพื่อวัดผลว่าช่องทางไหนที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเคล็ดลับในการโปรโมท ดังนี้
- คอนเทนต์เดิมนั้นสามารถนำไปใช้ซ้ำๆได้ แต่ต้องเปลี่ยนและทำออกมาในหลายๆรูปแบบ เช่น บทความบน Blog หนึ่งชิ้น สามารถนำไปทำวิดีโอสั้นหลายคลิปได้
- ใส่ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน เช่น ชวนให้แสดงความคิดเห็น แชร์ หรือกดลิงก์

ตัวอย่างการใช้ 7P Framework กับการทำ Content Strategy
สมมติว่าคุณกำลังจะเปิดตัว “Planner สำหรับการจัดสรรเวลาการทำงาน” ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยจัดสรรเวลาการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
7P Framework | Content Strategy |
---|---|
Purpose (เป้าหมาย / จุดประสงค์) | เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานที่ยุ่งวุ่นวาย หันมาสมัครรับข่าวสารทางอีเมล์ |
People (ผู้คน / กลุ่มเป้าหมาย) | พนักงานวัยทำงาน (อายุ 30-45 ปี) ที่ทำงานแบบรีโมตจากที่บ้าน |
Problem (ปัญหา) | พวกเขามีปัญหาในการจัดสรรเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัวให้สมดุลกัน |
Product (ผลิตภัณฑ์) | ไฟล์ PDF แพลนเนอร์รายสัปดาห์ แบบดาวน์โหลดได้ฟรี |
Proof (หลักฐาน) | “มีคนทำงานที่ประสบความสำเร็จกว่า 100,000 คน โดยให้คะแนน 4.8 / 5” |
Personality (บุคลิกภาพ) | เป็นมิตร เน้นใช้งานได้จริง และมีอารมณ์ขันเล็กน้อย |
Promotion (การโปรโมท) | โพสต์ Teaser บน Instagram Stories ทำเป็น Lead Magnet เพื่อลงบนเว็บไซต์ และโปรโมทผ่าน Influencer ด้าน Productivity |
เริ่มต้นด้วยการกำหนด Purpose (เป้าหมาย / จุดประสงค์) ให้ชัดเจนว่า ต้องการให้ลูกค้ามาลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารทางอีเมล์ จากนั้นจึงโฟกัสไปที่ People (ผู้คน / กลุ่มเป้าหมาย) ซึ่งก็ คือ พนักงานที่ทำงานจากที่บ้าน (Remote Workers) กลุ่มช่วงอายุ 30-45 ปี ที่กำลังมี Problem (ปัญหา) ในการจัดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เราจึงออกแบบ Product (ผลิตภัณฑ์) ที่เป็นไฟล์ PDF แพลนเนอร์แบบรายสัปดาห์ให้ดาวน์โหลดฟรี พร้อมทั้งเสริมสร้างความน่าเชื่อถือด้วย Proof (หลักฐาน) เช่น การอ้างอิงจำนวนผู้ใช้งานจริงกว่าแสนรายและคะแนนรีวิวที่สูง
และเพื่อให้แบรนด์มีความโดดเด่น เราใช้ Personality (บุคลิกภาพ) ที่เป็นมิตรและดูใช้งานได้จริงในการสื่อสาร และสุดท้าย เราวางแผน Promotion (การโปรโมท) ผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Instagram Stories สร้างคอนเทนต์สำหรับดึงดูดผู้เข้าชมในบล็อก (Lead Magnet) และร่วมมือกับ Influencer สาย Productivity เพื่อให้มั่นใจว่าคอนเทนต์นี้ จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง
7P Framework สำหรับการทำ Content Marketing จะช่วยให้คุณไม่สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับแบรนด์ และส่งผลกระทบเชิงบวกได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะวางแผนเขียนบทความ การโพสต์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย การทำวิดีโอบน TikTok หรือเขียนอีเมล์เพื่อเพิ่มยอดขาย กรอบแนวคิดนี้จะช่วยให้คุณมีหลักการ มีเป้าหมาย และยึดกลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลางอยู่เสมอนั่นเอง